CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    คนในเมือง

    ตะวันเคลื่อนคล้อยจวนลับเหลี่ยมตึก  ลำแสงสีทองอมส้มทาบทาคุ้งฟ้าเมืองใหญ่    ภาพรถราจอแจที่เคลื่อนตัวยาวเป็นแพบนถนนสายหลัก   เป็นภาพที่สร้างความตื่นตาให้กับบุญคุ้มและคำแพงสองผัวเมียได้ไม่น้อย  
     
    บุญคุ้มกับคำแพงก็เหมือนหนุ่มสาวชาวบ้านนอกทั่วไป  ที่ละทิ้งความลำบากกับงานนาไร่  มาหาความอิ่มสบายในดินแดนใหม่    ดินแดนที่หลายต่อหลายปากพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า    ศิวิไลซ์และเต็มไปด้วยขุมทองให้แสวงหา      ต่างตรงที่เขากับเมียเป็นผู้มาใหม่   ยังคงต้องใช้เวลาอีกมากเพื่อปรับตัวและเรียนรู้ชีวิตเมือง      
     
    กว่าชั่วโมงเศษกับระยะทางไม่กี่สิบกิโลเมตร  บุญคุ้มกับคำแพงก็กระโจนลงจากรถเมล์อย่างเก้กังจนหัวแทบทิ่ม   กับการกระชากกระชั้นขณะที่รถออกตัว   ทั้งคู่หันไปสบถไล่หลังคนขับอย่างโมโห    ก่อนจะเดินไปตามฟุตบาท    มุ่งหน้าไปยังห้องเช่าราคาถูกที่อยู่ลึกเข้าไปเกือบก้นซอย
     
    “ แวะกินก๋วยเตี๋ยวก่อนไหมพี่  วันนี้ฉันขี้เกียจทำกับข้าว”  คำแพงหันไปชวนผู้เป็นผัว  ขณะเดินผ่านร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทาง  

    “ เฮ่ย...ข้าวที่บ้านก็ยังเหลือน่า   เจียวไข่กินกะน้ำพริกก็อิ่มแล้ว”  บุญคุ้มส่ายหน้าปฏิเสธ

    “ แหมพี่...วันนี้โอทีออกทั้งที  ฉันก็อยากกินอะไรอร่อยๆมั่ง”  

    บนบาทวิถีท่ามกลางแสงไฟวับแวม     ด้านข้างรถเข็นคันเก่าซึ่งจอดขนานไปกับถนน    สองผัวเมียหน้าตามันย่องด้วยเหงื่อไคล  กำลังก้มหน้าก้มตากินก๋วยเตี๋ยวไม่พูดไม่จา   กว่าสิบนาทีที่อาหารในชามพลาสติกสีฟ้าพร่องไปเกือบหมด  คำแพงก็เริ่มต้นเอ่ยขึ้นก่อน

    “เมื่อเช้านังบัวมันเอามือถือรุ่นใหม่มาอวด   ฉันว่าเราน่าจะซื้อไว้ซักเครื่องนะพี่    เห็นว่าไม่ต้องดาวน์….”

    “ไม่รู้จะซื้อไว้โทรหาใคร”    บุญคุ้มสั่นหัว

    “ซื้อมาก็รู้เองแหละว่าจะโทรหาใคร   น่านะ  ฉันว่าโก้ดีออก  ผ่อนไม่มีดอกเบี้ยด้วย เดือนละห้าร้อยกว่าบาทเอง”  น้ำเสียงของคำแพงฟังดูกระตือรือร้น  

    “เงินห้าร้อยบาทมันไม่น้อยเลยนา.....”     หนุ่มใหญ่ยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม  ขณะที่ใจคิดไกลออกไปถึงค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน  ทั้งค่าเช่าบ้าน  ค่าน้ำ ค่าไฟ  ค่าอาหาร  ค่ารถเมล์  หรือแม้แต่ค่าหยูกยาในยามป่วยไข้  

    “น่าพี่   อย่าคิดมากเลย    เงินสดกับเงินผ่อนราคามันก็ไม่ต่างกันหรอก     สู้เราผ่อนแล้วได้ของมาใช้ทันที     ดีกว่าเก็บเงินเดือนละห้าร้อยเป็นไหนๆ   คิดดูว่าจะต้องใช้เวลากี่เดือนถึงจะได้ใช้มือถือ”    ผู้เป็นเมียให้เหตุผลน่าคิด

    “ไม่จำเป็นมั้ง...”    บุญคุ้มลังเล

    “จำเป็นสิ   เราอยู่ในเมืองนะพี่    ขืนไม่มีมือถือใช้ก็อายเขาตาย”  

    ในที่สุด  มือถือรุ่นล่าสุด   ก็ตกอยู่ในมือของคำแพงจนได้  หล่อนดีอกดีใจนักหนากับของเล่นชิ้นใหม่   ออกจะเห่อจนออกนอกหน้า  เรียกว่าโทรหาคนโน้นคนนี้เขาไปหมดเกือบทั้งโรงงาน  ขณะที่บุญคุ้มเองก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก   ยกให้คำแพงเป็นคนครองตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเลยทีเดียว  

    “ห่าเอ๊ย..ไหนว่านาทีละสลึง”  

    เสียงบ่นของคำแพงดังเข้าหูในย่ำค่ำวันหนึ่ง    บุญคุ้มนอนเอามือเกยหน้าผาก  เหลือบมองเมียรักขูดบัตรเติมเงินใบใหม่แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่     นับจากได้มือถือใหม่  ค่าใช้จ่ายก็เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว  ที่บอกว่าจะเติมเงินเดือนละสามร้อยบาทนั้น  เอาเข้าจริงๆมันไม่ใช่อย่างที่ตั้งใจไว้  เบ็ดเสร็จทั้งค่าผ่อน  ค่าบัตรเติมเงินเฉียดเข้าสองพันบาทในแต่ละเดือน      ไม่รวมถึงการถูกรบกวนชีวิตส่วนตัว   ขนาดนั่งส้วมอยู่ดีๆ  มันก็ดังขึ้นมาเอาดื้อๆจนอุจจาระหดตดหาย    บางครั้งกำลังหลับกลางดึก  ก็มีไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้โทรหา  แล้วบอกว่า ‘ขอโทษครับโทรผิด’ ชวนให้หงุดหงิดใจ  

    “ขายเถอะ...มันเปลือง ”    บุญคุ้มตัดสินใจยื่นข้อเสนอ

    “จะบ้าเหรอ    ขายไปแล้วจะเอาอะไรโทร ”

    “เมื่อก่อน   ก็ไม่เห็นต้องใช้มือถือ    เราก็อยู่กันได้....”   เขาเปรย  พยายามชักแม่น้ำทั้งห้า     เพื่อโน้มน้าวเมียรักให้คล้อยตาม  

    “นั่นมันเมื่อก่อน พี่ก็เห็น  ที่ทำงานใครๆเขาก็มีมือถือกัน   ขนาดเด็กขายพวงมาลัยยังมีเลย ”    

    หล่อนสรรหาสารพัดเหตุผลมาหักล้าง ได้อย่างชนิดเถียงไม่ขึ้นเลยทีเดียว

    หลังจากนั้น  คำแพงก็ขนข้าวของเครื่องใช้ใหม่ๆเข้าห้องเช่าทีละอย่างสองอย่าง  ทั้งทีวี ตู้เย็น  พัดลม  เครื่องเสียง  ล้วนแล้วแต่เป็นสินค้าเงินผ่อนทั้งสิ้น

    “แค่เดือนละไม่กี่พันเอ๊ง   ดีกว่าเอาเงินไปกินเหล้ากินเบียร์   กินแล้วก็ขี้เยี่ยวออกหมด    ไม่ได้อะไร”

    บุญคุ้มเองก็เริ่มจะคล้อยตามเมีย    ติดในความสะดวกสบาย    จนนึกไม่ออกว่า  หากขาดพวกสิ่งของเหล่านี้แล้วชีวิตจะอยู่ได้อย่างไร    ทั้งคู่ลืมชีวิตเรียบง่ายที่บ้านนอกไปหมด     มือไม้ที่เคยกร้านกรำสู้งานหนัก  ตากแดดตากฝนกลางไร่นา    บัดนี้หากให้กลับไปหยิบจับจอบไถเหมือนเดิมคงทำกันแทบไม่เป็น
     
    “ เราคนในเมือง    ก็ต้องมีข้าวของเครื่องใช้ให้สมหน้าสมตา    จะได้ไม่อายเพื่อนเขา”

    * * * * *

    ตะวันดวงเก่าเคลื่อนคล้อยจวนลับเหลี่ยมตึก  ลำแสงสีทองอมส้มแดงทาบทาไปทั่วคุ้งฟ้าเมืองใหญ่    คลื่นรถยนต์เคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้าบนถนน    เป็นภาพชินตาของบุญคุ้มและคำแพงเสียแล้ว    ทั้งสองเดินออกมากับหลายชีวิตที่กำลังกรูออกจากประตูโรงงานแห่งหนึ่ง     ก่อนจะป้ายขาขึ้นรถจักยานยนต์สีแดงกลางเก่ากลางใหม่    ไม่นาน  บุญคุ้มก็บึ่งรถเบียดแทรกคลื่นรถยนต์  ซอกซอนมาจนถึงตรอกแคบๆ  ก่อนเลี้ยวเข้าจอดที่หน้าห้องเช่าภายในแค่เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง

    ที่หน้าบ้าน  หญิงร่างท้วมวัยราวสี่สิบเศษท่าทางภูมิฐานพร้อมกับชายฉกรรจ์อีกหนึ่งยืนรออยู่    แค่เห็นหน้าผู้มาเยือน  ทั้งคู่ก็ถึงกับหน้าถอดสี

    “เอ่อ...สวัสดีจ้ะเจ๊...เข้าไปดื่มน้ำดื่มท่าข้างในก่อนมั้ยจ๊ะ”   คำแพงส่งยิ้ม ทำใจดีสู้

    “วู้ยยย...ไม่ละย่ะ...จะรีบไป...แค่แวะมาเก็บดอกเฉยๆ”  
    คำแพงหันไปมองหน้าบุญคุ้ม  ซึ่งยืนหน้าซีดอยู่ไม่แพ้กันราวกับจะขอความเห็น
     
    “เอ่อ....ขอผัดไปอีกสักเดือนได้ไหมเจ๊   พอดีช่วงนี้หมุนเงินไม่ทันน่ะจ้ะ”

    ใบหน้ายิ้มแย้มที่ฉาบด้วยเครื่องสำอางชั้นดีจนขาวผ่องเมื่อครู่   เปลี่ยนเป็นเครียดขึ้งในทันที   ก่อนจะยื่นข้อเสนอจนทั้งสองตกใจหน้าซีด

    “งั้น....เอารถคันนี้ให้เจ๊ขัดดอกไปก่อนก็แล้วกัน   มีเงินเมื่อไหร่ค่อยเอาไปไถ่คืนทีหลัง”

    “โธ่...เจ๊...คราวที่แล้วเจ๊ก็ยึดมือถือไปขัดดอก   ยังไม่คืนให้เลย ”    บุญคุ้มโอดครวญ  

    “แค่มือถือกระจอก  ขายไปยังไม่คุ้มค่าดอกหนึ่งเดือนเลย   ว่าไง  ตกลงจะยอมให้ดีๆหรือจะให้ใช้กำลัง  อย่าลืมนะว่าผัวเจ๊  ใหญ่แค่ไหน ”    หนุ่มหน้าเสี้ยมที่ยืนอยู่ข้างๆขู่หน้าตาขึงขัง  

    ในที่สุดรถจักยานยนต์ที่เพิ่งผ่อนเสร็จหมาดๆ  ก็ถูกยึด   ทิ้งให้บุญคุ้มกับคำแพงยืนมองตามอย่างอาลัยและสิ้นหวัง

    “จะหาเงินที่ไหนไปใช้คืนเจ๊หงส์ล่ะพี่   โธ่... นี่เราก็ไม่รู้จะไปหยิบยืมใครได้อีกแล้ว  ”  

    จริงอย่างคำแพงว่า   ที่นี่เมืองใหญ่  ผู้คนมากมายก็จริง  แต่ต่างคนต่างอยู่  ต่างเอาตัวรอด  การพึ่งพากันและกันก็ล้วนแล้วแต่อยู่ในเงื่อนไขทั้งสิ้น    การหวังพึ่งใครโดยไม่มีสิ่งตอบแทนหรือผลประโยชน์แลกนั้นแทบเป็นไปไม่ได้เอาเลย

    “บอกแล้ว...ให้ประหยัด”    บุญคุ้มเปิดฉากต่อว่าเมีย    
    ราวกับทำนบทะลาย     คำแพงหมดความอดทน  ทรุดนั่งลงร่ำไห้สะอึกสะอื้นด้วยความคับแค้นใจ

    “ก็...ฮือ....เห็นมันผ่อนถูก...ฮือ...ฉันก็เลย...ฮือ...”

    บุญคุ้มนั่งลงโอบกอดเมียรัก    ไม่อยากกล่าวโทษอะไรคำแพงแต่ฝ่ายเดียว   เขาเองก็มีส่วนผิดอยู่มาก  ที่คล้อยตามไปเสียทุกเรื่อง  เห็นดีเห็นงามกับความสะดวกสบายฉาบฉวยไปเสียทุกอย่าง  หนุ่มใหญ่นึกถึงข้าวของเครื่องใช้ในบ้านที่ทยอยขนออกไปขายเพื่อนำเงินมาใช้หนี้บัตรเครดิตบ้าง  ดอกเบี้ยเงินกู้นอกระบบบ้าง  จนในห้องเช่าโล่งเรียบ  เหลือแค่ทีวีเครื่องเก่าๆ  กับหม้อหุงข้าวไฟฟ้าที่ตีราคาไม่ได้สองเครื่องเท่านั้น

    ชีวิตในเมืองใหญ่ทำท่าจะไปได้สวยในตอนแรก    พอมีเงินเหลือเก็บเข้าธนาคารบ้าง  ทั้งสองก็เริ่มเขว    อีกทั้งเริ่มคุ้นชินกับชีวิตเมืองและความสะดวกสบายจากบรรดาเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เวียนว่ายั่วกิเลสวันแล้ววันเล่า     เร่งให้เขากับเมียต้องเดินตามกระแส     จนบัดนี้  ล่วงเข้าปีห้า   ทั้งคู่ยังไม่มีเงินเก็บ    

    “เรากลับบ้านกันเถอะวะแพง.....”       บุญคุ้มตัดสินใจเอ่ยขึ้น   ขณะที่คำแพงเบิกตาโพลง   ส่ายหน้า

    “ไม่...ฉันไม่กลับ   ให้กลับไปทำนา ตากแดดหน้าดำฉันไม่เอาหรอก”

    “ตากแดดหน้าดำที่บ้านนอก   ก็ยังดีกว่าเป็นหนี้หน้าม้านอยู่ในเมืองละวะ”

    น้ำเสียงของบุญคุ้มดูขึงขังจริงจัง   แววตานั้นเล่าก็คมกร้าวกว่าทุกครั้ง

    “อย่างน้อยบ้านเรา   ยังมีผืนดินให้พลิกเป็นเงินเป็นทอง   มีพ่อแม่พี่น้องให้พึ่งพาในยามทุกข์ยาก ”  

    * * * * * *
    เย็นมากแล้ว  ดวงตะวันกลมโตเคลื่อนลงต่ำ   คุ้งขอบฟ้าด้านตะวันตกโอบคลุมไปด้วยลำแสงสีทองอมส้มเรื่อเรือง  ขณะที่อีกฟาก  กลุ่มเมฆค่อยเคลื่อนตัวจับกันเป็นก้อนโตทะมึน  บ่งว่าไม่นานเม็ดฝนก็จะพาความชุ่มฉ่ำลงสู่ผืนดินอีกครั้ง   บุญคุ้มยังคงเกร็งข้อมือบังคับรถไถนาแบบเดินตามอย่างสุดกำลัง  เหงื่อกาฬผุดพรายอยู่ทุกรูขุมขน   แม้เปลวแดดยามบ่ายจะหมดไปนานแล้ว    หากแต่หนุ่มใหญ่ยังไม่มีวี่แววว่าจะหยุดงานตรงหน้า  ยังคงตั้งหน้าตั้งตาพลิกผืนนาเตรียมการหว่านไถ   แข่งกับฟ้าฝนที่ส่งสัญญาณเตือนให้รีบเร่งกับงานในวันนี้
     
    “พี่....พอก่อนเถอะ....จะมืดแล้ว”      เสียงของคำแพงนั่นเอง    ที่บ่าของหล่อนแบกจอบคมกริบ     ขณะที่ปลายด้ามอีกด้าน  คอนถุงย่ามสัมภาระทำท่าเตรียมพร้อมจะกลับบ้าน  

    “เออ...กลับไปก่อนเถอะ ....อีกนิดเดียวก็เสร็จแล้ว ”   บุญคุ้มปาดเหงื่อ    ส่งยิ้มให้เมียรัก   แววตาแจ่มใส
       
    “ตามใจ....เดี๋ยวฉันจะ เลยไปรับตาหนูที่บ้านแม่ก่อนละกัน”  

    บุญคุ้มมองตามเมียรักที่เดินผ่านทิวแถวไม้ผลหลายชนิดที่ปลูกไว้บนคูนาขนาดใหญ่    ด้วยแววตาเปี่ยมสุข    การละทิ้งชีวิตเมืองที่แสนวุ่นวาย  กลับสู่อ้อมอกของวิถึชีวิตแบบดั้งเดิม   กลับไม่ได้ทำให้เขาต้องทุกข์ทุรนอย่างที่คิด   ตรงกันข้าม  เขากลับพบว่า  ไม่มีที่ใดที่จะ‘ให้’ ได้มากเท่ากับแผ่นดินถิ่นเกิดอีกแล้ว

    อย่างน้อย   ที่นี่ก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งเงินกู้ของเจ๊หงส์     ไม่จำเป็นต้องใช้บัตรเครดิต      ไม่มีควันพิษให้สูดดม   ไม่ต้องทนเบียดเสียดบนรถเมล์เป็นชั่วโมง    และที่สำคัญ  ไม่ต้องนอนผวาตื่นกลางดึกกับเสียงริงโทนกวนประสาทอีกต่อไป

    บุญคุ้มยิ้ม   เป็นร้อยยิ้มที่เต็มสุข   หลังจากที่ทนฝืนยิ้ม ให้กับความทุกข์มาเสียนาน

                                 ------------   จบ  ----------------

    จากคุณ : กีรติมา - [ 13 พ.ค. 49 12:07:14 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป