CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    ...<<-เรื่องสั้นขนาดย้าว...ยาว(รักอลวน หัวใจอลเวง ตอนที่ 6->>...

    สวัสดีครับ...ก่อนอื่นขอบคุณมาก ๆ ที่ช่วยติชมเข้ามา
    >>คุณพีทคุง:ขอบคุณเรื่องที่ช่วยแก้คำผิดให้ ผมแก้ไขเรียบร้อยแล้วครับ<<
    >>คุณก๊อตซิลล่า:ผมก็จำได้ว่าคุณช่วยเข้ามาอ่านเมื่อตอนแรก ๆ ดีจังครับที่ยังตามอ่านอยู่<<
    >>คุณscottie:ขานี้ชอบติ...แต่ตรงไปตรงมาดีผมชอบครับ...ยังไงก็ติชมต่อไปเรื่อย ๆ นะครับ ผมถือว่าเป็นกำลังใจให้กัน<<

    อ่านตอนเก่า ๆ แล้วมาต่อตอนที่ 6 เลยแล้วกันครับ...
    http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W4346588/W4346588.html
    .......................................................................
    ตอนที่ ๖ หอมกลิ่นชาวดอย

    อากาศเย็นลงเมื่อพระอาทิตย์ลอยลับทิวเขาไปแล้ว บรรยากาศรอบด้านเงียบเชียบ ได้ยินเพียงนกและแมลงแข่งกันร้องประสานเสียง

    รักเดียวกลับออกจากห้องน้ำขึ้นมาผลัดเปลี่ยนชุดใหม่เป็นเสื้อยืดแขนยาว สวมทับด้วยเสื้อกันหนาวชั้นดีกับกางเกงวอร์มตัวหนา และถุงเท้าสีชมพูลายหมีพูห์น่ารัก เดินลงมาที่ลานดินหน้ากระท่อมพบว่าปราบศึกนั่งรออยู่นานแล้ว

    “เสร็จแล้วเหรอ” เขาถามทันทีที่เห็นเธอ สายตาคมกริบที่เขามองเธอตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้านั้นเหมือนอย่างกับคุณครูตรวจความเรียบร้อยของลูกศิษย์

    “ค่ะ”

    “งั้นเรารีบไปกันเถอะ ป่านนี้ผู้ใหญ่ติ๊ซือคงรอแย่แล้ว” เขาฉวยไฟฉายกระบอกใหญ่แล้วสาวเท้าไปตามทางเดินที่เป็นดินลูกรังขรุขระ โดยมีรักเดียวก้าวยาว ๆ ตามมา

    “อ้าว...แล้วนาย...เอ๊ย คุณ...คุณอาบน้ำแล้วเหรอ อาบที่ไหนล่ะ ก็ฉันเห็นมีห้องน้ำแค่ห้องเดียวนี่นา” เธอรั้งเขาให้หยุดเดินด้วยคำถามสุดสะเหร่อในความรู้สึกของเขา

    “โธ่ คุณ...ที่นี่มีห้วย มีหนองน้ำให้อาบเยอะแยะไป” มัคคุเทศก์หนุ่มตอบเสียงเข้มแต่แอบนึกขำในใจ

    “อ๋อ...เหรอ” รักเดียวเลยหน้าแตก เดินตามหลังเขาไปโดยดี

    รักเดียวเดินตามมัคคุเทศก์หนุ่มต้อย ๆ แบบไม่ให้ทิ้งช่วงห่างนักเพราะรอบตัวตอนนี้มืดสนิท มีเพียงแสงไฟจากพระจันทร์บนฟ้ากับไปฉายกระบอกเดียวที่เขาถืออยู่เท่านั้น เธอนึกตำหนิตัวเองอยู่ในใจว่าไม่น่าลืมของสำคัญอย่างไฟฉาย แต่กับข้าวของบ้า ๆ บอ ๆ อย่างไดร์เป่าผมดันใส่ติดกระเป๋ามาด้วย

    รักเดียวกอดอกแน่นเดินตามปราบศึกขึ้นไปตามชั้นดินลูกรังสู่หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่เห็นเพียงแสงสว่างวอมแวมจากองไฟ  เธอรู้สึกว่าค่ำคืนที่เหน็บหนาวนี้ช่างเงียบงันราวไร้สิ่งมีชีวิต ทั้งที่ความจริงแล้วยังมีอีกหลายหมื่นหลายแสนชีวิตซ่อนตัวอยู่รายรอบ

    แสงสว่างค่อย ๆ แผ่เข้ามาใกล้มากขึ้นเมื่อเดินมาถึงหน้าบ้านผู้ใหญ่ ลูกบ้านหลายคนกำลังนั่งล้อมวงรออยู่ ไออุ่นจากกองไฟที่แผ่มาจากเตาผิงทำให้รู้สึกอุ่นขึ้น

    “ตะบรื๊อ...” ทุกคนที่นั่งรออยู่ต่างทักทายขึ้นเกือบจะพร้อมเพรียงกัน ปราบศึกทักทายตอบเป็นภาษาพื้นเมืองที่รักเดียวฟังไม่ออกเลย เขาหย่อนตัวนั่งร่วมวง รักเดียวเลยต้องรีบทำตัวให้กลมกลืนโดยการค้อมตัวทักทายเป็นภาษาไทยช้า ๆ ชัด ๆ ว่า

    “สวัสดีค่ะ” แล้วนั่งลงข้าง ๆ ปราบศึกอย่างเก้ ๆ กัง ๆ

    “นี่ผู้ใหญ่ติ๊ซือ คนที่จะให้ข้อมูลหมู่บ้านม่อนยะแก่คุณ” ปราบศึกแนะนำชายวัยชรา อายุร่วมแปดสิบให้รู้จัก รักเดียวรีบกระพุ่มมือไหว้ อีกฝ่ายก็รีบรับไหว้พร้อมส่งยิ้มยิงฟันหลอให้จนเธอแอบอมยิ้ม ลูกบ้านคนอื่นต่างพากันยิ้มแยกเขี้ยวยิงฟันให้เธอกันถ้วนหน้า

    ชาวบ้านที่นี่ดูอารมณ์ดี กิริยาท่าทางที่แสดงออกมาก็บ่งบอกว่าจริงใจและไม่มีอะไรเคลือบแฝง ส่วนลึกในใจตอนนี้รักเดียวรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยอย่างบอกไม่ถูก

    อาหารมื้อค่ำเริ่มต้นขึ้นอย่างอบอุ่นด้วยเมนูเชย ๆ อย่างต้มยำปลากระป๋อง ไข่เจียว และผัดผัก ทำเอารักเดียวต้องแอบผิดหวังอยู่ลึก ๆ เพราะทีแรกคิดว่าจะได้ลองลิ้มชิมรสอาหารพื้นเมืองแปลก ๆ เสียอีก

    “ชาวเขาที่นี่เค้ากินอาหารแบบนี้กันหรอกเหรอ...ฉันนึกว่าจะแปลกพิสดารซะอีก” รักเดียวกระซิบถามปราบศึกที่กำลังเปิบข้าวใส่ปาก เขารีบเคี้ยวและกลืนเพื่อจะตอบคำถามสะเหร่อ ๆ ของเธอ

    “ก็เพราะเค้ากลัวว่าคุณจะกินไม่ได้นะสิ...ปกติพวกเค้ากินอาหารป่ากัน อย่างหน่อไม้ ผักหวาน ผักเงือด หมูดอยผัดเผ็ด...แย้ผัดเผ็ด...งูจงอางทอดขมิ้น...” เขาร่ายยาวแต่เธอพอเดาออกว่าช่วงหลัง ๆ เขาตั้งใจแหย่เล่นมากกว่าเพราะพวกชาวบ้านที่พอฟังรู้เรื่องพากันหัวเราะสนุกสนาน รักเดียวเลยพูดอะไรต่อไม่ออกได้แต่ขยุ้มข้าวเข้าปากเคี้ยวอย่างเฝื่อน ๆ เท่านั้น

    หลังทานอาหารค่ำเสร็จผู้ใหญ่ติ๊ซือเล่าความเป็นมาของหมู่บ้านให้ฟังคร่าว ๆ ด้วยภาษาไทยที่กระท่อนกระแท่นเต็มที รักเดียวพยายามจำใส่สมองเพราะดันลืมหยิบเทปบันทึกเสียงติดตัวมา

    เท่าที่รักเดียวพอจะฟังเข้าใจนั้น เธอคงจะนำไปใช้เขียนสกู๊ปได้ แต่คงไม่ทั้งหมดเพราะเรื่องราวที่ผู้ใหญ่ติ๊ซือเล่านั้นเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ที่เรียบง่ายของชาวบ้านที่นี่ซึ่งออกจะวิชาการไปสักหน่อย

    “พรุ่งนี้ตอนเช้าตรู่ ผู้ใหญ่ติ๊ซือจะพวกเราขึ้นดอยแม่สะป๊อก” ปราบศึกหันมาแปลความหมายในประโยคยาวเหยียดที่ผู้ใหญ่ติ๊ซือพูดซึ่งรักเดียวมัวแต่ขมวดคิ้วหน้ายุ่งเพราะไม่ค่อยเข้าใจ

    “ที่นั่นมีทุ่งดอกบัวตอง และคุณอาจจะได้เก็บภาพสวย ๆ ของแม่คะนิ้งก่อนพระอาทิตย์ขึ้น” เขาบอก แล้วรักเดียวก็ทำตาโตอย่างสนใจ...แม่คะนิ้ง...หรือน้ำค้างที่แข็งตัว เธอเคยเห็นแต่ในภาพและบอกตัวเองอยู่เสมอว่าสักวันจะต้องสัมผัสด้วยสายตาตัวเองให้ได้

    “จริงเหรอคะ...แล้วฉันต้องตื่นกี่โมง” เธอเบิกตาโตด้วยความดีใจ

    “สักตีสี่ครึ่ง...ถ้าคุณไม่มัวแต่โอ้เอ้นะ” เขาตอบ ในท้ายประโยคนั้นเหมือนจะตีความได้ว่า...ถ้ารักเดียวไม่มัวแต่โอ้เอ้เข้าห้องน้ำ แต่งตัว หรือทำอะไรไร้สาระอยู่ การตื่นตีสี่ครึ่งคงสามารถเดินทางเพื่อให้ถึงที่หมายได้ทัน...

    ครู่หนึ่งชายชาวเขาสองคนเดินเข้ามาตามผู้ใหญ่ติ๊ซือให้ไปร่วมวงเหล้ากันที่หน้าบ้าน ผู้ใหญ่ติ๊ซือหันมาชวนปราบศึกกับรักเดียวด้วย ขณะที่พวกลูกบ้านผู้หญิงแยกย้ายกันไปดูแลความเรียบร้อยอื่น ๆ

    ...เออหนอ จะบนดอยหรือในเมือง พวกผู้ชายก็ชอบก๊งเหล้าเหมือน ๆ กัน...รักเดียวแอบตำหนิในใจก่อนจะเดินตามพวกผู้ชายไปอย่างไม่อาจปฏิเสธ

    ทุกคนนั่งล้อมวงกันรอบ ๆ กองไฟ ประกอบด้วยชายวัยกลางคนสามคน ชายชราอีกสองคน ผู้ใหญ่ติ๊ซือ ปราบศึกและรักเดียว งานนี้รักเดียวเลยได้แต่นั่งเงียบ ๆ เพราะเธอเป็นผู้หญิงคนเดียวท่ามกลางผู้ชายหน้าเข้มอีกเจ็ดคน

    ชายชาวเขาคนหนึ่งซึ่งรับหน้าที่ต้มเหล้ากำลังยกหม้อต้มเหล้าขึ้นจากไฟ กลิ่นหอมอ่อน ๆ ลอยเป็นควันสีขาวขุ่นผ่านความหนาวเย็นกระจายมาสู่ทุกคน รักเดียวเผลอสูดกลิ่นอ่อน ๆ นั้นเข้าปอดด้วยความรู้สึกอบอุ่น

    ผู้ใหญ่ติ๊ซือจัดแจงรินเหล้าแจกจ่าย โดยผ่านถ้วยเหล้ามาให้ปราบศึกส่งต่อถึงรักเดียวลองชิมเป็นคนแรก เธอส่ายหน้าปฏิเสธ แต่เขาก็ยังคะยั้นคะยอพร้อมดึงมือเธอที่กอดอกแน่นอยู่ให้แบออก

    “เหล้าข้าวโพดน่ะ...ไม่ดื่มเอาเป็นเอาตายจนเมาหัวทิ่มหรอกคุณ คนที่นี่ดื่มเพื่อเพิ่มความอบอุ่นแก่ร่างกายเท่านั้น” เขาบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แล้วจับถ้วยเหล้าอุ่นยัดใส่มือเย็นเฉียบของเธอ

    กลิ่นอ่อน ๆ ของเหล้าในถ้วยลอยขึ้นแตะจมูกชวนให้น่าลิ้มลองนัก แม้สายตาที่เธอมองเขานั้นดูไม่ค่อยเชื่อถือเท่าไหร่ แต่เขาก็เห็นเธอยอมยกถ้วยเหล้าขึ้นจิบ


    “เป็นไง” เขาถามเมื่อเห็นสีหน้าเธอแน่วนิ่ง

    หลังกลืนเหล้าอึกนั้นลงคอไปแล้ว รักเดียวจึงพบว่ารสชาติมันดีพิลึก เหล้าข้าวโพดที่กำลังเดินทางผ่านหลอดอาหารสู่กระเพาะนั้นทำให้ร่างกายที่หนาวเย็นรู้สึกอบอุ่นขึ้น เธอคลี่ยิ้มหันมองเขาที่ยังเฝ้ารอคำตอบอยู่

    “อร่อยดีค่ะ” เธอตอบพร้อมรอยยิ้มแรกที่เขารู้สึกว่าเป็นมิตรที่สุดตั้งแต่ได้เจอกัน

    ปราบศึกหันกลับไปบอกพวกชาวบ้านเป็นภาษาพื้นเมืองว่าลูกทัวร์ของเขาชอบเหล้านั้นมาก ชาวบ้านต่างยิ้มและพูดกันเสียงเซ็งแซ่ด้วยความปลาบปลื้มใจ แล้วเขากับพวกชาวบ้านก็จิบเหล้าพูดคุยกันต่อเป็นภาษาพื้นเมือง แต่ก็ไม่ลืมหันมาแปลความให้รักเดียวฟังเป็นระยะ


    เขาชวนให้ทุกคนแหงนหน้าขึ้นมองฟ้า รักเดียวเพิ่งเห็นในคราวนี้เองว่าการมองฟ้าจากตรงนี้สามารถเห็นดวงดาวได้ชัดเจนราวกับอยู่ใกล้แค่เอื้อม

    “คุณดูนั่นสิ” ปราบศึกชี้นิ้วไปที่กลางฟ้า

    “คุณเห็นไหม...กลุ่มดาวนายพราน” รักเดียวแหงนมองตามขึ้นไปด้วยความรู้สึกอบอุ่นอย่างแปลกประหลาดในหัวใจ

    “กลุ่มดาวนายพราน” เสียงของรักเดียวทำให้ปราบศึกต้องหันหน้าไปมองเหมือนจะค้นหาอะไรบางสิ่ง

    “ฉันเคยรู้จักดาวกลุ่มนี้ค่ะ...แต่นั่นก็นานมากแล้วจนจำไม่ได้อีก” เธอบอกเสียงอ่อนลง เขาเลื่อนสายตากลับขึ้นไปตรงกลางฟ้าแล้วพูดต่อ

    “คุณเห็นหรือเปล่าว่าในบรรดาดาวฤกษ์ทั้งแปดดวงนั้น มีอยู่ดวงหนึ่งสุกสว่างที่สุด...มันชื่อว่าดาวไรเจล จะเห็นชัดมากที่สุดในฤดูหนาว...ยิ่งช่วงปีใหม่นะคุณ จะเห็นชัดเหมือนอยู่ใกล้มากจนกระโดดคว้าได้เลยทีเดียว”

    “ขนาดนั้นเชียวเหรอคะ”

    “ชาวเขาที่นี่เชื่อว่าถ้าใครหลงป่าให้มองหากลุ่มดาวนายพราน แล้วเดินตามทิศที่สามารถเห็นดาวไรเจล อยู่ตรงหน้าพอดีก็จะออกจากป่ากลับสู่หมู่บ้านได้”

    “ดีจังนะคะ” รักเดียวพึมพำอย่างชื่นชม ...นี่สินะ ที่เรียกว่าใช้ชีวิตร่วมกับธรรมชาติ ต่างกับคนในเมืองที่ชอบใช้ชีวิตแปลกแยกไม่สอดคล้องกับธรรมชาติ...

    ผู้ใหญ่ติ๊ซือชวนคุยเรื่องสัพเพเหระ รักเดียวเริ่มคุ้นเคยกับชาวบ้านที่นี่มากขึ้น ถึงจะไม่ได้คุยเป็นภาษาพื้นเมืองแต่ดูเหมือนทุกคนจะพยายามฟังเธออย่างสนอกสนใจ ปราบศึกเองก็เป็นคนหนึ่งที่สนใจฟังเรื่องเล่าของเธอ

    “ชาวบ้านชอบมานั่งล้อมวงต้มเหล้าข้าวโพดอย่างนี้ทุกคืนเลยหรือคะ” เธอหันมาถามเขา

    “ครับ” ปราบศึกพยักหน้า

    “เฉพาะช่วงหน้าหนาวครับ พวกเขาต้องดื่มเหล้าเพื่อให้ร่างกายอบอุ่นจะได้ไม่ให้เจ็บป่วยง่ายและพร้อมที่จะต้องตื่นขึ้นมาทำไร่ทำสวนได้ในเช้าวันต่อ ๆ ไป”

    “เสียดายที่คืนนี้ฉันลืมหยิบกล้องติดมาด้วย...” รักเดียวบ่นก่อนจะหันหน้าบอกทุกคนในวงล้อมว่า

    “พรุ่งนี้ฉันขออนุญาตถ่ายภาพทุก ๆ คนหน่อยนะคะ จะเอาไปใช้เป็นส่วนหนึ่งของสกู๊ปต้อนรับปีใหม่ค่ะ” ทุกคนพยักหน้าอย่างเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง ผู้ใหญ่ติ๊ซือรีบพยักหน้ายิ้มรับด้วยความยินดี

    ปราบศึกก้มมองเวลาบนหน้านาฬิกา...เพิ่งจะสองทุ่ม แต่ผู้คนที่นี่นอนกันเร็วมาก เมื่อหันไปมองลูกทัวร์สาวก็เห็นเธอเริ่มตาเยิ้มแอบหาววอด

    “เราคงต้องกลับแล้วล่ะครับ” เขาบอกกับทุกคนแล้วลุกขึ้นยกมือไหว้ผู้ใหญ่ติ๊ซือกับชาวเขาอาวุโสอีกสองสามคน
    ปราบศึกเดินกลับมายังที่พักโดยมีลูกทัวร์สาวตามติดอยู่ข้าง ๆ  

    กว่าร้อยเมตรจากตัวหมู่บ้านมีเสียงพูดคุยของเขากับเธอคั่นกลางความเงียบตลอดทาง

    “ไม่น่าเชื่อเลยนะคะว่าจริง ๆ แล้วที่นี่น่าอยู่มาก...มากกว่าที่คิดเสียอีก” เธอว่างพลางแค่นยิ้มให้เขาเพราะเผลอหลุดปากพูดออกไปอย่างนั้น...ทีนี้แหละ เขาคงรู้ว่าก่อนนี้เธอวาดภาพที่นี่ไว้แย่มากแค่ไหน...

    “ตอนผมขึ้นมาครั้งแรกก็รู้สึกเหมือนคุณนั่นแหละ คิดว่าที่นี่คงบ้านนอกสุด ๆ ชาวเขาก็คงพูดไม่รู้เรื่อง สภาพแวดล้อมก็คงไม่น่าอยู่...ที่ไหนได้ ผมกลับหลงรักจนต้องพาใครต่อใครขึ้นมาเที่ยวอยู่บ่อย ๆ” รักเดียวหันมองเสี้ยวหน้าเขาผ่านความมืด แอบเห็นรอยยิ้มแช่มชื่นของเขาก็แปลกใจที่รู้สึกว่าเขาใจดีและอ่อนโยนมากกว่าที่เธอเคยคิด

    “เอาล่ะ คุณรีบ ๆ เข้านอนได้แล้ว พรุ่งนี้อย่าลืมนะ ตื่นให้ทันเวลาด้วยล่ะ” เขากลับมาทำเสียงเข้มเพื่อกลบเกลื่อนอาการเบิกบานเกินเหตุของตัวเอง

    รักเดียวเดินกลับเข้ากระท่อมของตัวเอง ความหนาวเย็นทำให้เธอต้องรีบกระโจนขึ้นไปนอนซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเก่าที่ชาวบ้านเตรียมไว้ให้

    เธอนอนขดตัวและพลิกไปมาหลายตลบแล้วก็ดีดตัวลุกขึ้นเพราะนึกได้ว่ายังไม่ได้ตั้งเวลาปลุก พอตั้งปลุกเสร็จก็วางโทรศัพท์มือถือไว้ข้างหมอนแล้วล้มตัวนอนอีกครั้งด้วยหัวใจที่เป็นสุข...

    .........................................................................

    แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 49 21:58:33

    จากคุณ : บุตรของเดือนและดาว - [ 13 พ.ค. 49 21:41:45 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป