CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    ปาฏิหาริย์(ไม่)มีจริง

    วันนี้ก็เป็นวันธรรมดา ๆ อีกวันหนึ่งของฉัน ไม่ใช่วันพิเศษสำคัญอะไร ชีวิตก็ยังคงดำเนินไปในแบบเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ซาก ๆ ไม่มีอะไรใหม่ ไม่มีอะไรให้ตื่นเต้นติดจะน่าเบื่อซะด้วยซ้ำไป…..เฮ้ย!!! ไม่รู้วันนี้ฉันถอนหายใจกับตัวเองมากี่ครั้งแล้ว มันมากจนขี้เกียจจะนับ เฮ้ย!!! ฉันมันก็แค่นักเขียนไส้แห้ง ชีวิตมันก็เลยแห้งเหี่ยวเหมือนกระเป๋าไม่มีผิด ชีวิตของฉันคงต้องพึ่งปาฏิหาริย์ซะละมั้งถึงจะมีอะไรดีขึ้น.....ว่าแต่ปาฏิหาริย์มันจะมีจริงเหรอ ?

    แต่แล้วภาพของชายหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งร้องไห้อยู่ตรงม้านั่งตัวโปรดของเธอ ก็ทำให้ความคิดของเธอหยุดลง

    เอ.....หรือว่าปาฏิหาริย์จะมีจริง

    หญิงสาวรำพันกับตัวเองแล้วเดินตรงไปที่ม้านั่งแล้วนั่งลงข้าง ๆ ชายหนุ่มแปลกหน้าคนนั้น แต่ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะไม่ใส่ใจต่อตัวเธอแม้แต่น้อย แต่เขายังคง.....ร้องไห้ ดูเหมือนน้ำตาของเขามันทำให้เธอพูดอะไรไม่ออก ปากมันอยากจะขยับแต่ใจบอกให้เงียบไว้ เวลาผ่านไปทุกอย่างก็ยังตกอยู่ในความเงียบ หญิงสาวทอดสายตามองไปข้างหน้า ท้องฟ้ากลายเป็นสีส้มเหมือนเป็นสัญญาบอกให้รู้ว่าความมืดมิดกำลังจะมาเยือน ส่วนดวงอาทิตย์กำลังจะหายไปเหมือนดังเช่นทุก ๆ วัน เธอสูดอากาศเข้าเต็มปอด แล้วหันกลับไปมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เธออีกครั้ง และดูเหมือนเขาจะหยุดร้องไห้แล้ว

    “โดนสาวบอกเลิกมาเหรอคุณ” เธอถามด้วยน้ำเสียงที่ติด ๆ จะอารมณ์ดี ชายหนุ่มหันมามองหญิงสาวผู้ถามก็เจอกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เขายิ้มน้อย ๆ ที่ดูเหมือนยิ้มเยาะ แล้วหันไปทอดสายตามองสิ่งตรงหน้าที่มันว่างเปล่าสำหรับเขา.....เหมือนใจของเขา

    “ทำไมคุณคิดอย่างนั้นละ” ชายหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ หญิงสาวหันหน้าไปมองเขาอีกครั้งแล้วยิ้มออกมาน้อย ๆ

    “มีไม่กี่เรื่องหรอกที่ทำให้ผู้ชายร้องไห้” แล้วเขาก็หันมามองหน้าเธออีกครั้ง คราวนี้ใบหน้าของเขาบ่งบอกถึงความเจ็บปวดในใจอย่างไม่ปิดบัง.....เธอเดาไม่ผิดจริง ๆ

    “คุณคงรักเธอมาก แล้วมันเกิดอะไรขึ้น” ที่เธอถามไม่ใช่เพราะอยากรู้ แต่เพราะต้องการให้เขาระบายออกมา แต่ก็ไม่มีคำตอบใด ๆ ออกมาจากปากของชายหนุ่ม

    “บางทีการระบายกับคนแปลกหน้า ก็ดีกว่าการเก็บมันไว้คนเดียวนะ” ชายหนุ่มหัวเราะออกมาเบา ๆ กับคำพูดของหญิงสาว

    “ฉันอาจจะช่วยอะไรคุณได้ไม่มาก แต่ฉันช่วยรับฟังคุณได้นะ” แต่ชายหนุ่มก็ยังคงเงียบ แต่ใบหน้าของเขายังคงบอกให้รู้ว่าในใจของเขามันเจ็บปวดแค่ไหน

    “ใจดำจัง เรื่องแค่นี้ก็เล่าให้ฟังไม่ได้” หญิงสาวทำเสียงงอน ๆ เหมือนเด็ก ๆ โดนขัดใจ ชายหนุ่มถึงกับปล่อยเสียงหัวเราะออกมาอย่างยอมแพ้

    “คุณนี่จริง ๆ เลยนะ” ชายหนุ่มพูดอย่างยอมแพ้ แล้วยืนขึ้นสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดแล้วหันมาพูดกับหญิงสาว

    “เดินไปเล่าไปละกัน” พูดจบเขาก็ก้าวเท้าเริ่มเดินในทันที หญิงสาวจึงรีบลุกเดินตามเขาไป แต่เดินอยู่นานเขาก็ไม่เริ่มเล่าสักที แล้วจู่ ๆ เขาก็หยุดเดินหันไปทอดสายตากับภาพของสระน้ำตรงหน้า หญิงสาวมองเขาอย่างงง ๆ แล้วเขาก็เริ่มพูดทั้ง ๆ ที่ยังหันหลังให้เธอ

    “ผมบอกรักเธอที่นี้ ผมคุกเข่าลงตรงนี้ เธอยืนอยู่ตรงหน้าผมตรงที่คุณยืนอยู่ เธอยิ้มให้ผมแล้วก็บอกผมว่าเธอก็รักผมเหมือนกัน” ความทรงจำในวันนั้นมันทำให้เขายิ้มได้อีกครั้ง

    “แต่วันนี้เธอบอกว่าเธอไม่รักผม เธอบอกให้ผมเลิกรักเธอ แล้วเธอก็เดินจากผมไป” รอยยิ้มเมื่อครู่หายไปกลับเป็นหยดน้ำตาที่ค่อย ๆ ไหลออกมา

    “ผมรักเธอมาก ต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิตผมก็เลิกรักเธอไม่ได้” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดที่คนฟังเองก็สะเทือนใจไม่น้อย หญิงสาวเดินมายืนข้าง ๆ เขา แล้วก้มลงเก็บก้อนหินขึ้นมาขว้างไปที่สระน้ำ

    “คุณคอยฟังเพลงก้อนหินก้อนนั้นไหม” หญิงสาวหันมาถามชายหนุ่ม แล้วก้มลงเก็บก้อนหินขึ้นมาสองก้อน เธอยื่นก้อนหนึ่งให้ชายหนุ่ม ส่วนอีกก้อนหนึ่งนั้นเธอถือไว้เอง

    “คุณเลือกที่จะเก็บก้อนหินก้อนนี้ไว้หรือว่าขว้างมันทิ้งไปละ” เธอหันมาถามชายหนุ่ม เขาก้มลงมือก้อนหินในมือ แล้วหันไปมองผืนน้ำเบื้องหน้า

    เคยมีใครสักคนได้บอกฉันมา.....
    ว่าเวลาใครทำให้เจ็บช้ำใจ
    ลองไปเก็บก้อนหินขึ้นมาสักอัน
    ถือมันอยู่อย่างนั้นและบีบมันไว้
    บีบให้แรงจนสุดแรง ให้มือทั้งมือมันเริ่มสั่น
    ใครคนนั้นยิ้มให้ฉัน.....ถามว่าเจ็บมือใช่ไหม
    ไม่มีอะไรจะทำร้ายเธอ
    ได้เท่ากับเธอทำตัวของเธอเอง
    ให้เธอคิดเอาเองว่าชีวิตของเธอเป็นของใคร
    ไม่มีอะไรจะทำร้ายเธอ.....ถ้าเธอไม่รับมันมาใส่ใจ
    ถูกเขาทำร้ายเพราะใจเธอแบกรับมันเอง
    ใครมาทำกับเธอให้เจ็บหัวใจ
    ก็แค่ให้ก้อนหินก้อนนั้นให้เธอรับมา
    เพียงเธอจับมันโยนให้ไกลสายตา
    หรือเธอปรารถนาจะเก็บมันไว้
    หากยังยอมยังแบกไป
    หัวใจของเธอก็ต้องสั่น
    หากยังทำตัวแบบนั้น.....ถามว่าปวดใจใช่ไหม
    ไม่มีอะไรจะทำร้ายเธอ
    ได้เท่ากับเธอทำตัวของเธอเอง
    ให้เธอคิดเอาเองว่าชีวิตของเธอเป็นของใคร
    ไม่มีอะไรจะทำร้ายเธอ.....ถ้าเธอไม่รับมันมาใส่ใจ
    ถูกเขาทำร้ายเพราะใจเธอแบกรับมันเอง…..

    “แบกไว้คุณก็เจ็บ สู้คุณโยนมันทิ้งไปไม่ดีกว่าเหรอ” พูดจบหญิงสาวก็ขว้างก้อนหินในมือทิ้งไป

    “ในมือผมมันเป็นแค่ก้อนหินไม่ยากหรอกที่ผมจะขว้างมันทิ้งไป” พูดจบเขาก็ขว้างก้อนหินในมือทิ้งไป แล้วหันมามองหน้าหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ

    “แต่ความเจ็บปวดที่หัวใจผมแบกเอาไว้ คุณคิดว่ามันขว้างทิ้งได้ง่าย ๆ เหมือนก้อนหินเหรอ” ใช่เขาพูดถูกเป็นเธอเธอก็ทำไม่ได้.....

    ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งและซบหน้าร้องไห้กับเข่าของตัวเอง ภาพตรงหน้าสะเทือนใจหญิงสาวไม่น้อย เธอค่อยทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ เขา ความเงียบเริ่มปกคลุมระหว่างเธอและเขาอีกครั้ง มีเพียงเลียงสะอื้นของชายหนุ่มที่ดังขึ้นเป็นระยะ ๆ

    “เมื่อเรื่องราวต่าง ๆ มันได้จบลงไปแล้ว คุณก็ควรจะทำใจยอมรับถึงความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อการก้าวต่อไปและพบเจอความสุขที่กำลังตามมา” ชายหนุ่มค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองหญิงสาว เธอส่งยิ้มให้เขาอย่างให้กำลังใจ

    “มาไปเรามาวิ่งแข่งกันดีกว่า การออกกำลังกายมันทำให้ร่างกายของเราหยั่งสารเอ็นโดฟินของมา มันอาจจะทำให้คุณดีขึ้นก็ได้” ชายหนุ่มหันมามองหญิงสาวอย่างงง ๆ แต่เธอกลับยิ้มทะเล้น แล้วลุกขึ้นวิ่ง ชายหนุ่มจึงจำเป็นต้องวิ่งตามหญิงสาวไป

    “เร็วเข้าคิมหันต์วิ่งเร็ว ๆ เข้า” อาริสาในวัยมัธยมต้นตะโกนเร่งคิมหันต์ที่วิ่งบ้างเดินบ้างหยุดหอบบ้างให้วิ่งตามเธอมาให้ทัน

    “ช้าเป็นเต่าแบบนี้เอ็นโดฟินมันจะหลั่งเหรอ นายอยากจะมีความสุขไม่ใช่เหรอ” คิมหันต์หยุดวิ่งซะอย่างนั้น นึกอย่างต่อยหน้าตัวเองนักไม่ถามไปถามหญิงสาวเลยว่าถ้าอยากจะมีความสุขควรจะทำอย่างไร

    “อ่ะคิมดื่มน้ำก่อนซิ” ฉัตรชมพูเด็กสาวหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มยื่นขวดน้ำให้คิมหันต์อย่างเขินอาย คิมหันต์เงยหน้าขึ้นขึ้นมองเจ้าของเสียง แล้วยื่นมือไปรับขวดน้ำมาจากเด็กสาว

    นี่ละมั้งความสุขที่อาริสาหมายถึง.....

    ส่วนอาริสานั่นได้แต่มองภาพนั้นด้วยความเสียใจ เธอหันหลังกลับแล้วโยนขวดน้ำในมือทิ้งลงถังขยะไป

    แฮ่ก ๆๆๆๆๆ

    หญิงสาวหยุดวิ่ง.....เหนื่อยไม่ใช่เล่นเลยนะเนี่ย หญิงสาวรำพันในใจ แล้วไม่นานชายหนุ่มก็วิ่งมาหยุดยืนหอบอยู่ข้าง ๆ เธอ

    “วิ่งเร็วไม่ใช่เล่นเลยนะคุณ” ชายหนุ่มพูดไปหอบไป

    “ก็ใครใช้ให้คุณวิ่งช้าละ” หญิงสาวตอบกลับอย่างร่าเริง ชายหนุ่มหัวเราะออกมากับคำกระเซ้าของหญิงสาวแล้วเดินไปนั่งพักเหนื่อยที่ม้านั่งใกล้ ๆ

    “อ่ะเช็ดหน้าซะ” เธอยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ชายหนุ่ม เขารับไปแล้วจัดการเช็ดเหงื่อบนในหน้าไล่ลงมาที่ลำคอ

    “เดี๋ยวฉันมานะ” พูดจบหญิงสาวก็ลุกเดินไป ไม่นานหญิงสาวก็เดินกลับมาไม่มือก็ถือขวดน้ำสองขวดมาด้วย

    “อ่ะ.....ดีนะที่ร้านค้าใกล้ ๆ ตรงนี้ยังไม่ปิด” หญิงสาวบ่นพลางนั่งลงข้าง ๆ ชายหนุ่ม แล้วหันไปมองหน้าเขาที่กำลังเปิดขวดน้ำแล้วยกขึ้นดื่มอย่างกระหาย

    ไม่รู้ซิ.....อยู่ ๆ เธอก็รู้สึกใจหวิว ๆ ผสมรวมกับอารมณ์น้อยใจเกิดขึ้นในใจ

    “คิมหันต์นายจำฉันไม่ได้จริง ๆ เหรอ” นั่นคือเสียงที่ร่ำร้องอยู่ในใจของเธอ

    “อืม.....คุยกันมาตั้งนานผมยังไม่รู้เลยว่าคุณชื่ออะไร” ขึ้นถามขึ้นเมื่อดื่มน้ำเสร็จ แต่เขาไม่รู้เลยว่าคำถามของเขามันสร้างความเจ็บปวดให้เขาแค่ไหน แต่เธอก็ฝืนยิ้มให้เขา

    “ถ้าฉันบอกคุณว่าฉันชื่ออะไร ต่อไปฉันก็ไม่ใช่แปลกหน้าของคุณแล้วซิ” ชายหนุ่มเลิกคิ้วมองหญิงสาวอย่างไม่เข้าใจ หญิงสาวยิ้มน้อย ๆ

    “เราไม่จำเป็นต้องรู้จักกัน คนแปลกหน้าที่เพียงแค่ผ่านมาพบเจอและก็จะจากกันไป ไม่จำเป็นต้องจดจำ ไม่ต้องกลัวว่าเราจะลืมเขา ไม่ต้องรู้สึกเสียใจเมื่อได้รับรู้ว่าใครอีกคนลืมเราไปแล้ว” หญิงสาวพูดยิ้ม ๆ

    “แต่จำไว้นะ เวลาคุณมีเรื่องทุกข์ใจกลับมาที่นี้ ที่เก้าอี้ตัวนี้ แล้วคุณก็จะเจอกับคนแปลกหน้าคนหนึ่ง ที่จะคอยรับฟังทุกเรื่องราวของคุณอยู่ที่นี้” ชายหนุ่มยิ้มให้หญิงสาวอย่างรู้สึกขอบคุณ

    “คุณยิ้มได้ ฉันก็ดีใจ”

    “อืม.....ฉันต้องไปแล้วละคะ” หญิงสาวพูดพลางลุกขึ้นยืน ชายหนุ่มจึงลุกขึ้นยืนตามเธอ

    “โชคดีนะคะ”

    “ขอบคุณนะครับ” เขายื่นมือไปจับมือของหญิงสาวที่ยื่นมาอยู่ก่อนแล้ว แล้วเงยหน้าขึ้นมองหน้าของเธอ แล้วจู่ ๆ ก็เหมือนเขาเห็นความเจ็บปวดในแววตาของเธอ แต่ไม่นานมันก็หายไปกลายเป็นรอยยิ้มแทน แล้วหญิงสาวก็กลับหลังหันเดินจากมา

    “นายจำฉันไม่ได้จริง ๆ เหรอคิมหันต์”ภายในใจของเธอยังคงร่ำร้องอยู่อย่างนั้น แล้วน้ำใส ๆ ก็ค่อย ๆ ไหลเอ่อลู่ลงมาตามร่องแก้มของเธอ

    สุดท้ายวันนี้ก็เป็นแค่วันธรรมดา ๆ อีกวันหนึ่งในชีวิตของฉัน ไม่มีปาฏิหาริย์อะไรเกิดขึ้นกับชีวิตของฉันเหมือนเช่นทุก ๆ วันที่ผ่านมา.....คิมหันต์วันก่อนฉันเป็นได้แค่เพื่อนนาย แต่วันนี้ซินายให้ฉันเป็นแค่คนแปลกหน้า หวังว่าต่อไปฉันคงได้เป็นคนที่นายต้องใช้เวลาทั้งชีวิตลืมฉันบ้างนะ.....

    เมื่อหญิงสาวเดินจากไปจนลับตา คิมหันต์ก็ทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิมอีกครั้ง เขายิ้มออกมาแต่เป็นรอยยิ้มที่เจือไปด้วยความเจ็บปวด.....เขายิ้มเยาะให้กับตัวเอง

    “วันนี้ฉันรู้แล้วละว่าอะไรที่ทำให้เธอมีความสุข.....ความสุขที่ไม่ได้เกิดจากเอ็นโดฟิน มันคือความสุขที่เกิดจากรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของใครสักคนหนึ่ง ขอบใจเธอมากนะ ฉันจะไม่ลืมเธอ.....อาริสา” มันดังก้องอยู่ในใจของคิมหันต์ แต่อาริสาไม่อาจจะได้ยินมัน

    หลังจากโยนขวดน้ำลงถังขยะอาริสาก็หันกลับไปมองคิมหันต์อีกครั้ง แต่ภาพเขากำลังหัวเราะอย่างมีความสุขและกำลังยิ้มให้กับหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขา อารมณ์ขุ่นมัวในใจของเธอก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความสุขในทันที

    “คิมหันต์.....รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของนายนี่แหละความสุขของฉัน”

    จบบริบูรณ์.....

    จากคุณ : Mi Youn - [ 14 พ.ค. 49 23:33:18 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป