หมู่บ้านไร้นามเป็นหมู่บ้านลึกลับที่ไม่ปรากฏในแผนที่ของประเทศใดๆ ไม่ปรากฏในGPRS หรือในความรู้จักของใครทั้งสิ้น
หมู่บ้านไร้นามก่อตั้งขึ้นเมื่อร้อยกว่าปีที่ผ่านมา โดยมีทวดของยายสายเป็นผู้นำ หมู่บ้านนี้ไม่มีผู้ปกครองเพราะไม่เคยมีการทะเลาะเบาะแว้งหรือข้อพิพาทใดในหมู่บ้าน ทุกครอบครัว ทุกหลังคาอยู่กันด้วยความเกื้อกูล
ทุกๆวันพระใหญ่(วันพระที่ตรงกับสิบห้าค่ำ) ยายสายจะเดินไปเคาะประตูบ้านทุกหลังเพื่อเชิญชวนให้ผู้คนออกมาร่วมสวดมนตร์ที่ศาลาร่วมใจ ทุกคนยินดีไปโดยไม่เกี่ยงงอน การงานใดมีก็ละไว้ก่อนเพราะไม่มีความเร่งรีบต้องทำให้เสร็จ และหลังพิธีกรรมทางศาสนาสิ้นสุด ยายสายจะขับกล่อมบทเพลงซึ่งเป็นบทเพลงที่ทุกคนได้ยินกันตั้งแต่เกิดและซึมซับลงสู่หยาดเลือดทุกหยดในกาย
วันหนึ่ง ยายสายเดินบนถนนหินมุ่งหน้าสู่ศาลาร่วมใจตามปกติ แต่เผอิญแกได้เจอหนุ่มแปลกหน้าสองคนนอนสลบอยู่ริมทาง จากการแต่งตัว สองหนุ่มไม่ใช่คนในหมู่บ้านแน่
ยายเรียกชาวบ้านให้ช่วยกันพาสองคนนั้นไปยังศาลา ชาวบ้านต่างห่วงใยเจ้าหนุ่มต่างถิ่นสองคน หญิงสาวคนสวยหลายคนก็เยียวยาทั้งสองอย่างไม่เกี่ยงงอน
หลายวันผ่านไป หนุ่มสองคนหายจากอาการบาดเจ็บ สองหนุ่มพอใจที่มีสาวสวยมาดูแลตนและได้รับรู้จากชาวบ้านว่ายายแก่คนหนึ่งเป็นคนช่วยเหลือพวกเขา
พวกเขาขอบคุณยายสายและขออาศัยอยู่ที่หมู่บ้านสักพักด้วยยังมีกะจิตกะใจชื่นชมสาวบ้านป่าไร้มารยา ทุกคนยินดี สาวๆดีใจ ทุกคนชื่นชอบสองหนุ่มมากยกเว้นยายสายที่มีลางสังหรณ์แปลก
เมื่อเทคโนโลยีไม่ก้าวหน้า ไร้สิ่งอำนวยความสะดวก และสีสันยามค่ำคืน พวกเขาก็เริ่มเบื่อ เบื่อบ้านป่าที่จืดชืด มีแต่เสียงสวดมนตร์สรรเสริญคุณพระพุทธเจ้าและบทเพลงขับกล่อมไม่คุ้นหูจากยายแก่บ้าๆ
หมู่บ้านนี้สำคัญเพราะหมู่บ้านนี้มีสายแร่ทองคำและทรัพยากรธรรมชาติอันสมบูรณ์
สองหนุ่มลาจากชาวบ้านเพื่อกลับยังถิ่นฐานสองคน พวกเขาให้สัญญาว่าจะกลับมาใหม่ สาวๆร้องไห้น้ำตาตกเมื่อรู้สองหนุ่มจะไป แต่ยายสายโล่งใจแต่อึดอัดบอกไม่ถูก
จากนั้น การดำรงชีวิตของชาวบ้านก็กลับสู่ภาวะเดิม
หลังจากสองหนุ่มจากไปร่วมเข้าขวบปี พวกกลับมาใหม่ หากครั้งนี้พวกเขาไม่ได้มาแต่ตัว พวกเขาพาคนงานมา พร้อมเครื่องไม้เครื่องมือสารพัดเพื่อสร้างสรรค์สิ่งที่พวกเขาเรียกว่า "อารยะ" ให้เกิดในหมู่บ้านนี้
สองหนุ่มสอนชาวบ้านให้รู้จักใช้เทคโนโลยี เครื่องจักรกล และเครื่องอำนวยความสะดวกทั้งหลาย พวกเขาบอกว่าพวกเขานำความเจริญมาให้ นำเศรษฐกิจที่ดีมาสู่เพื่อตอบแทนบุญคุณทุกคน
พวกเขาตอบแทนบุญคุณของยายสายด้วยธนบัตรหลากสีหลายใบ ยายสายมองสิ่งล้ำค่านั้นอย่างงงๆและปฏิเสธ
"ยายแก่หน้าโง่!" หนุ่มหนึ่งสบถเบาๆให้เพื่อนได้ยิน
ธุรกิจมากมายโถมถาเข้าสู่หมู่บ้านทุกรูปแบบ การท่องเที่ยว อุตสาหกรรม พาณิชย์ ร้านอาหารดังๆที่เปิดหลายร้อยสาขาบนโลกก็มาเปิดที่นี่ หมู่บ้านไร้นามไม่ใช่หมู่บ้านที่ไร้ชื่อเสียงอีกต่อไป
ศาลาร่วมใจบัดนี้ดูหมองไปเมื่ออยู่ใกล้กับผับชื่อดังของหมู่บ้าน คนที่เคยมาศาลาเพื่อสวดมนตร์ไหว้พระเริ่มทยอยหายทีละคน สองคน จนในที่สุดก็เหลือเพียงยายสายคนเดียวที่ดำรงตนเช่นนั้น เสียงเพลงดึ๋งดึ่งในผับมันยั่วยวนให้คนออกไปดิ้นส่าย ปลดปล่อยสัณชาตญาณดิบที่ปกติคนเป็นมนุษย์ต้องปกปิดไว้ออกมา
แต่ยายสายดำรงมั่นในถ้อยแห่งพุทธะ นางเป็นดั่งไม้ใหญ่ที่หยั่งรากแก้วลงลึก ยากเกินจะถอน ความเชื่อมั่นของนางทำให้ชาวบ้านที่เคยอยู่ร่วมกันมาหาว่านางเป็นคนแปลก บางคนบอกว่านางเป็นพวกไร้อารยธรรม และเมื่อวิทยุทีวีได้ยินกิตติศัพท์ของนาง พวกเขาก็เริ่มมาทำข่าวเกี่ยวกับยายสาย ไม่มีชาวบ้านคนไหนพอใจเลย ทุกคนอิจฉาตาร้อนที่ยายสายโด่งดัง ชาวบ้านจึงรวมหัวกันรื้อถอนศาลาร่วมใจเสีย
ศาลาร่วมใจอันเป็นที่ให้หวนรำลึกถึงความหลังบัดนี้พังทลาย เหลือเพียงตอไม้กับซากปรักหักพัง เสี้ยนไม้เล็กๆหล่อนเกลื่อนเช่นเดียวกับความทรงจำของหมู่บ้านไร้นามที่พลัดพรายจากไป ที่พักใจของยายสายเป็นเพียงสุสานเเห่งวันวารเท่านั้น
ยายสายค่อยๆตัดไม้และเริ่มสร้างศาลาขึ้นมาใหม่ด้วยน้ำพักน้ำเเรงของนางคนเดียว แต่เมื่อนางทำฝาได้หนึ่งฝา เสาศาลาก็หายไป ตอกเสาลงฝาก็พังล้ม ยายเพียรสร้างใหม่อย่างอดทน อดทน และอดทน ชาวบ้านบอกว่าไม่มีเวลาปฏิบัติธรรมะแต่พวกเขามีเวลาสำหรับแกล้งยายเหลือเฟือ
โพธิ์ใหญ่คงสงสารนาง จึงปรากฏขึ้น ณ ที่เก่าของศาลาร่วมใจ ยายสายยึดมั่นต้นไม้ใหญ่นี้แทนศาลาแห่งความทรงจำที่หายไป ชาวบ้านหลายคนหมั่นไส้นาง จึงควงมีดคว้าเลื่อยออกจากบ้านมาที่ต้นโพธิ์หมายจะโค่นล้มทิ้ง ยายสายร้องห้ามเพียงไรก็ไม่มีใครฟัง
สายฝนโหมกระหน่ำสายฟ้าฟาดผ่านเปรี้ยงปร้างล้อมรอบต้นโพธิ์ ใครก็เข้าใกล้โพธิ์นั้นไม่ได้ ทุกคนหวาดกลัวและกล่าวหายายสายว่านางคือแม่มดร้าย ทุกคนเบนหน้าหายายสาย โค่นโพธิ์ไม่ได้ก็จะทำร้ายคน อยากให้นางแก่ข้างหน้าบาดเจ็บ อยากให้มันทุกข์ร้อนทุรนทุราย อยากให้มันปวดช้ำให้สาใจ แต่ก็ได้แค่คิด แผ่นดินสะเทือนเลือนลั่น ไม่มีใครกล้ายุ่งกับนางแม้แต่คนเดียว
วันพระใหญ่เวียนมาบรรจบอีกครั้ง ยายสายปฏิบัติตนเช่นเคยคือชักชวนให้ชาวบ้านออกปฏิบัติธรรมใต้ต้นโพธิ์ แต่ทุกคนปฏิเสธนางหมด บ้างปิดประตูใส่ บ้างพูดไล่ ที่แย่หน่อยก็ขว้างหินขว้างไม้หวิดหน้าหวิดตา แต่ยายสายไม่เคยท้อ
เด็กหญิงมอมแมมอาศัยใต้สะพาน น้ำเน่าเหม็นคร่ำสกปรก น้ำเสียเจือสารพิษไหลจากโรงงานบ้าง ร้านอาหารบ้างทำให้เด็กหญิงเป็นแผลพุพองเน่าเหม็น ไม่มีใครอยากใกล้แม่หนู่ ไม่ แม้แต่จะมอง ปากทุกคนบอกสงสารแต่ที่แฝงในความสงสารคือความรังเกียจ
"หนูอยากฟังยายร้องเพลงไหมจ้ะ"
มือเหี่ยวกับมือสกปรกจับกัน เดินไปบนเส้นทางคอนกรีตที่ราดทับถนนหิน ผ่านสายตาอันชิงชังของชาวบ้านทุกคน
"เข้ากันดีแล้ว นังแก่บ้ากับอีเด็กสกปรก"
"โสโครกด้วยกันทั้งคู่"
บทเพลงของหมู่บ้านลอยตามลมไปทุกที่ เพียงแค่เงี่ยหูฟังจะได้ยิน บทเพลงแฝงเร้นในท่วงดนตรีจากผับ แฝงตัวในความวุ่นวายของผู้คน
...เหน็ดเหนื่อยไหมกับการไล่กวดใครเขา
กับการที่ต้องเท่าคนทั้งหลาย
เพื่อให้ทันต้องวิ่งอีกเท่าไร
หรือต้องวิ่งจนตายเพียงเพื่อตาม
สงบจิตสงบใจดีไหมหนอ
แค่รู้จักคำว่าพอสุขล้นหลาม
ปิดประตูโลภโกรธหลงที่ว่างาม
เลิกไล่กวดไล่ตามใครต่อใคร
..........................................................................
แก้ไขเมื่อ 15 พ.ค. 49 15:08:37
จากคุณ :
คายตรี
- [
15 พ.ค. 49 15:01:21
]