สวัสดีค่ะ ^^ คุยกันก่อนค่ะ
แหะๆ แปลกใจไหมคะกับชื่อนำเรื่อง "เรื่องสั้นคั่นบรรยากาศ"
ไม่มีอะไรค่ะ นอกจากเรื่องสั้นชุดนี้ (ที่พยายามจะนำมาลงทุกวันอังคาร หรือ พุธ) เป็นเรื่องสั้น "คั่น" บรรยากาศหวานๆของเรื่องรักๆที่ตัวเองลงไป (ไม่ว่าจะเป็นนิยาย White Wind ที่จบไปแล้ว หรือ เรื่องสั้นชุด Seasonal Love ที่จะพยายามนำมาลงทุกวันเสาร์หรืออาทิตย์)
"ทางเดินบนดวงดาวสีฟ้า" คือเรื่องสั้นๆจบในตอนที่แต่งไว้ เรียกไม่ถูกว่าเป็นแนวอะไร แต่คำว่า 'ดวงดาวสีฟ้า' เหมือนที่หลายๆคนรู้ ก็คือโลกใบนี้ของเรานี่แหละค่ะ ทางเดินบนดวงดาวสีฟ้าคือเรื่องสั้นที่พยายามจะรวมเอาแต่ละเส้นทางชีวิตของคนบนโลกนี้มารวบรวมเป็นเรื่องราวง่ายๆ สั้นๆ แต่คาดว่าน่าจะทำให้ผู้อ่านได้ค้นพบแง่มุมของดวงดาวสีฟ้าบนโลกนี้เพิ่มขึ้นค่ะ ^^
ยังไงรบกวนฝากเรื่องสั้น(แนวไม่รักโรแมนติก)เรื่องนี้ไว้อีกเรื่องนะคะ
ปล.สำหรับการตอบคอมเมนต์ในเรื่องสั้นชุด Seasonal Love นั้น จะขอนำไปตอบใน Seasonal Love: Love in the Rain (ฉ่ำรักฤดูฝน) ตอนที่ 2 ค่ะ
-------------------------------------------------------------------------------
ตอนที่ 1 พวงมาลัยและรอยยิ้ม
เสียงสายฝนเทกระหน่ำดังก้องไปทั่วทุกพื้นที่ ดังกลบเสียงที่ปัดน้ำฝนหน้ารถในขณะนี้ เสียงสายฝน..หนวกหูเสียจนผมต้องเร่งเสียงวิทยุในรถตัวเองให้ดังยิ่งขึ้น
ข่าว ข่าว ข่าว ไม่ว่าจะกดไปช่องไหนๆก็มีแต่ข่าวทั้งนั้น ข่าวฆ่ากันตายบ้าง ข่าวคนดังไปทำโน่นทำนี่ที่นั่นที่นี่บ้าง ไม่มีอะไรที่มันสร้างสรรไปกว่านี้รึยังไงกันนะ ผมปิดเสียงวิทยุอย่างหงุดหงิดใจเต็มที พลันรถมีอาการกระตุกอย่างเห็นได้ชัด
เวรแล้วมั๊ยล่ะ ฝนตกรถติดทีไร หม้อน้ำเดือดทุกทีสินะ ว่าจะเอารถไปเข้าอู่สักสิ้นเดือนให้พอมีเงินจ่ายค่าหม้อน้ำเสียก่อน แต่ครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่สามแล้วในรอบอาทิตย์ เห็นทีต้องเอารถไปเข้าอู่ก่อนกำหนดแล้วกินมาม่าประทังชีวิตไปถึงสิ้นเดือนซะแล้ว
แต่วันนี้ก็ถือว่าโชคดีขึ้นมาหน่อยมีสะพานเป็นกำบังฝนอยู่ข้างหน้าแต่กว่าจะทุลักทุเลฝ่าดงรถติดมาใต้สะพาน หม้อน้ำก็คงจะแทบพังไปซะหมดแล้วจริงๆ
ยิ่งคิดยิ่งเบื่อในชีวิต
คุณครับ คุณเคยสงสัยบ้างมั๊ยว่าคนเราเกิดมามีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร? ใช้กรรมเหรอ? ผมอยากจะรู้จริงๆว่าใครเป็นคนคิดค้นคำนี้ขึ้นมา อยากจะบอกเหลือเกินว่ามันเหมาะที่จะปลอบใจคนที่ชีวิตไม่มีอะไรอย่างผมชะมัด
ตั้งแต่จำความได้ก็รู้สึกว่าชีวิตตัวเองต้องเดินไปตามทางที่ใครก็ไม่รู้มาขีดไว้ เรียน ทำงาน ตาย เออ..น่าขำดีเหมือนกัน ว่าจะทำงานไปทำไม เดี๋ยวถึงเวลาก็ตายแล้ว ทำงานเพื่อหาเงินซื้อความสุขเหรอ ผมก็ชักไม่แน่ใจไอ้สุขจอมปลอมเหล่านั้นซะแล้ว ซื้อบ้าน ซื้อรถ กินอาหารดีๆ ใครกันกำหนดว่าสิ่งเหล่านี้คือความสุข
รู้ตัวอีกทีผมก็ชินชากับความสุขจอมปลอมพวกนั้น จนในที่สุดก็รู้สึกว่าชีวิตมันเคว้างคว้างเต็มทน หรือความรู้สึกแบบนี้จะเกิดขึ้นเฉพาะกับผู้ชายโสดๆแบบผมกันแน่ โอ๊ย แล้วใครตีกรอบกันวะ ว่าทุกคนต้องเกิดมามีชีวิตคู่เนี่ย หรือผมจะโดนม๊าเป่าหูถึงคำๆนี้จนจะบ้าไปแล้ว
เพียงแค่ใช้ผ้าบิดฝาหม้อน้ำเบาๆ ก็รู้สึกได้ถึงน้ำที่กำลังเดือดปุดๆอยู่ภายใต้ รู้สึกได้เลยว่าถ้าเปิดฝาออกมาทีเดียวตอนนี้น้ำร้อนๆคงพุ่งกระเซ็นไปได้ถึงไหนๆ แต่เอาวะ ยังไงก็ได้ให้เครื่องมันเย็นขึ้นเร็วที่สุด เปิดให้มันระบายความร้อนออกมา แต่จะหาน้ำที่ไหนมาเติมล่ะวะเนี่ย จำได้ว่าเมื่อวานใช้น้ำไปจนหมดสองขวดที่เตรียมไว้หลังรถ ใครจะทันคิดว่าหม้อน้ำมันจะมาเดือดติดๆกันสองวันแบบนี้กันเนี่ย
"รถเสียเหรอคุณ"
เสียงแหบแห้งของหญิงสาวดังขึ้นจากข้างหลังผม พร้อมด้วยเสียงหัวเราะของทารกตัวน้อยในอ้อมแขนของเธอ ทำให้ผมหยุดชะงักและเปลี่ยนใจที่จะเปิดฝาหม้อน้ำในทันที บ้าจริง ถ้าเธอส่งเสียงเรียกผมช้ากว่านี้อีกหน่อยอาจโดนน้ำร้อนๆกระเด็นเข้าใส่ก็เป็นได้
"ครับ" ผมเช็ดไม้เช็ดมือก่อนที่จะหันไปมองหล่อนเต็มตา หญิงสาวอายุไล่เรี่ยกับผมกำลังหอบลูกน้อยและแผงพวงมาลัยด้วยมือคนละข้าง ยิ้มบางๆให้ผม ด้วยผมเผ้าเปียกปอน ไม่ต่างกับเด็กน้อยในอ้อมกอดของเธอที่มีเสื้อเก่าๆที่เปียกปอนคลุมศีรษะอยู่
นึกออกแล้ว ผู้หญิงขายพวงมาลัยที่มักจะประจำอยู่ใต้ทางด่วนแห่งนี้ ผมเห็นเธอบ่อยครั้งกับรอยยิ้มอันนั้น ยิ่งทำให้ผมไม่เข้าใจ ว่าเธอมีความสุขอะไรนักกับชีวิตแบบนี้
"ฉันมีน้ำ เอาไหม" เธอพูดพลางพยักเพยิดไปที่ในถุงย่ามของเธอที่สะพายอยู่ด้านขวา ด้านเดียวกับเหล่าพวงมาลัยที่ห้อยเรียงรายมาจากไม้แขวน
"เอ่อ..คือ.."
"เอาไปเถอะ เติมให้มันพอขับได้ จริงๆปั๊มมันก็อยู่ไม่ไกล แต่รถติดแบบนี้กว่าจะขับไปถึงคงลำบากแย่ ฝากหน่อยสิคุณ"
เธอไม่รอฟังคำตอบพร้อมๆกับส่งแผงพวงมาลัยมาให้ผมถือ ผมรับมาด้วยความงงงันในตัวเอง จริงๆแล้วแผงพวงมาลัยมันก็ไม่ได้เบาขนาดถือลอยไปลอยมาได้ทั้งวันเหมือนที่ผมเคยคิด อดคิดไม่ได้ว่าน้ำหนักขนาดนี้หากต้องถือเดินทั้งวันพร้อมๆกับทรงตัวไม่ให้มันเอียงเททับกันอีก จะต้องใช้ความอดทนแค่ไหนนะ
น้ำดื่มขวดหนึ่งที่น้ำในนั้นพร่องไปเล็กน้อยถูกยื่นมาให้ผม ผมเดาเอาว่ามันคงเป็นขวดเดียวที่เธอมีอยู่ในตอนนี้ แต่ทำไมล่ะ..ทำไมกัน เธอจึงไม่ลังเลเลยที่จะหยิบยื่นให้ผม
"เอ่อ ขอบคุณครับ นี่ครับ" ผมคืนแผงพวงมาลัยให้เธอพร้อมๆกับรับน้ำเปล่าขวดนั้นมา แล้วไม่ลืมที่จะล้วงเข้าไปในกระเป๋าสตางค์ตัวเองเพื่อหยิบยื่นแบงค์ร้อยให้เธออย่างอดไม่ได้
"ไม่ต้องๆ ฉันช่วยเพราะอยากช่วย ไม่ได้หวังเงินของคุณหรอก เก็บไว้เถอะ เราต่างคนก็ต่างทำมาหากินเหมือนกัน จะเบียดเบียนกันทำไม"
คำพูดง่ายๆของผู้หญิงตรงหน้า ทำให้ผมเหมือนกลืนก้อนบางอย่างลงคอได้อย่างยากเย็นนัก รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นผู้ชายแย่ๆ ที่ประเมินน้ำใจคนเป็นตัวเงินไปเสียหมดแบบนี้
"ขายดีไหมครับ พวงมาลัยนั่น" ผมเบี่ยงเรื่องถามแก้เก้อไปเสียอย่างนั้น
"ขายได้ ไม่รู้ขายดีคืออะไร ไม่เคยหวังว่ามันจะต้องได้เท่านั้นเท่านี้สักครั้ง เอาพอมีเงินซื้อนมให้ไอ้หนูนี่ มีข้าวให้อยู่รอดกันไปวันๆก็พอแล้ว ไหนๆก็เกิดมาแล้วนี่ ก็ต้องอยู่ต่อไปให้ได้นั่นแหละ"
"เอาน้องมาตากลมตากฝนแบบนี้ เดี๋ยวแกจะไม่สบายนะครับ"
"ช่วยไม่ได้หรอกคุณ มีกันสองคนแม่ลูก อยากเกิดมาเป็นลูกแม่ค้าขายพวงมาลัย ก็ต้องอดทนให้ได้เหมือนแม่มัน จริงมั้ยไอ้หนู"
หญิงสาวผู้นั้นหันไปหยอกเอินกับลูกอย่างมีความสุข เพียงแค่เสี้ยววินาทีนั้น ความสุขเล็กๆระหว่างแม่กับลูกคู่นั้นกลับทำให้ผมอบอุ่นใจอย่างประหลาด น่าแปลกนักภายในโลกสีครึ้มในวันนี้ แต่ความอบอุ่นเล็กๆก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนสีโลกทั้งโลกไปได้ยังไงยังงั้น
"ชอบงานนี้เหรอครับ"
"หืม?" คำถามนี้ทำให้เธอทำสีหน้าปั้นยาก "ไม่เคยมานั่งถามตัวเองแบบนี้หรอก เคยทำอะไรก็ทำไปแบบนั้น ถือว่าได้อยู่กับไอ้หนูนี่ทั้งวันด้วย ไอ้เจ้านี่เห็นใครก็เล่นกับเขาไปหมด ช่วยกันทำมาค้าขายกันดี"
เธอหัวเราะยิ้มแย้มพร้อมๆกับเสียงของเด็กชายวัยทารกที่คอยหัวเราะเฮฮาไปด้วย บางทีการมองแต่สิ่งงดงามของบางสิ่งบางอย่าง มันก็สามารถทำให้โลกสดใสขึ้นได้ดีไม่น้อย อย่างตอนนี้ ผมเองก็แทบจะลืมไปหมดเสียแล้ว กับไอ้อาการหัวเสียกับเครื่องกระป๋องนี้เมื่อครู่
"เอ่อ ผมมีร่มคันเล็กๆนะครับ เผื่อว่า.."
"โอ๊ย อย่าเลยคุณ ฉันไม่มีมือจะถือหรอก ไม่ต้องคิดมากหรอก โนพลอมแพลม" หล่อนยิงฟันให้ด้วยใจบริสุทธิ์อีกครั้ง
แต่ก็นั่นแหละที่ทำให้ผมนึกขึ้นได้ที่จะถอดแจ๊คเกตของตัวเองมายื่นให้
"ไม่รับไม่ได้นะครับ ผมกลัวเด็กจะเปียก เป็นหวัดไป ใครจะช่วยเรียกลูกค้าล่ะครับ"
"ขอบใจนะคุณ คุณดีเหลือเกิน รับพวงมาลัยไปสักพวงเถอะ มันหอมจริงๆนะ รถติดแบบนี้คุณจะได้ไม่หงุดหงิด" เธอรับมันไปคลุมให้กับเจ้าลูกชายตัวน้อยของเธออย่างไม่ลังเล พร้อมๆกับยื่นพวงมาลัยกลิ่นหอมอบอวลมาให้ผมก่อนที่จะเดินจากไปทำหน้าที่ของเธอต่อไป
รถกระป๋องของผมสตาร์ทติดแล้ว แต่ก็ยังมีอาการสำลักไอร้อนของตัวเองอย่างทุลักทุเลพอควร แต่ไม่เป็นไร คงพอพยุงไปจนถึงปั๊มข้างหน้าได้ไม่ยาก
กลิ่นดอกมะลิคละเคล้ากลิ่นดอกจำปีลอยอบอวลไปทั่วรถ จนอดสงสัยไม่ได้ว่าความรู้สึกปลอดโปร่งในตอนนี้ เป็นเพราะความอ่อนหวานของดอกไม้ หรือความอ่อนโยนของความเป็นมนุษย์กันแน่
ผมรู้แล้วล่ะว่า มนุษย์เกิดมาเพื่ออะไร?
บางทีมนุษย์อาจเกิดมา..เพื่อรับความล้ำค่าจากผู้อื่น และเพื่อส่งต่อความล้ำค่าเหล่านั้น..ให้งดงามในใจผู้อื่นต่อไปเฉกเช่นกัน
เห็นทีตั้งแต่วันนี้ ผมคงจะกลายเป็นผู้ชายที่อดไม่ได้ที่จะต้องซื้อพวงมาลัยติดรถไว้บ้างแล้วล่ะมั้ง ในเมื่อกลิ่นอ่อนหวานของมัน..ลอยล่องเข้าไปได้ถึงในจิตใจได้ถึงเพียงนี้
พรุ่งนี้..ผมก็คงต้องต่อสู้ต่อไปบนชีวิตแบบเดิม กรอบเดิม เส้นทางเดิม เพื่อเติมเต็มความสุขของตนเอง และแน่นอน คงไม่ลืมที่จะเพิ่มเป้าหมายการเติมเต็มความสุขให้คนอื่นไปด้วย
เริ่มจากอะไรดีนะ..จริงสิ ซื้อเป็ดพะโล้ที่ป๊ากับม๊าชอบไปฝากก็แล้วกันวันนี้ นานๆทียอมกินมาม่าเพื่อแลกกับความสุขของท่านสักมื้อ...จะเป็นไร
(จบค่ะ)
จากคุณ :
ฟองคลื่น คืนจันทร์ พันดาว
- [
16 พ.ค. 49 07:54:39
]