CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    ...{{เรื่องสั้นขนาดย้าว-ยาว}}... "รักอลวน หัวใจอลเวง "... (ตอนที่ 7 ครับผม)

    ...>> k.scottie : ขอบคุณครับที่ชมชื่อนางเอก...(บังเอิญว่าผมแอบชอบคนชื่อนี้อยู่นะ)...


    ...>> k.ก๊อตซิลล่า : ตะบรื๊อ เป็นภาษา สะกอ แปลว่า สวัสดี-ขอบคุณ...ครับผม


    ...***(เราใช้คำว่า ปากะญอ หรือ ปกาเกอะญอ เรียกชาวกะเหรี่ยง เหมือนที่เราเรียกชาวจีนว่า "จีน" ไม่เรียกว่า"เจ๊ก" และ ชาว"ออสเตรเลี่ยน" แทนที่จะเรียกว่า "ออสซี่" ครับ...มันสุภาพกว่านั่นเอง...)


    ...>> k.พีทคุง : ผมดีใจนะที่คุณก็ชอบบรรยากาศแบบนั้น ตอนผมฝึกงานแล้วได้ไปพักกับชาวเขาก็เกือบจะหลงรักจนไม่อยากกลับลงมาเลยล่ะ...

    .....................................................................

    Link ตอนที่ 5 ครับ...

    http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W4365184/W4365184.html

    ........................................................................

    ตอนที่ ๗ คำตอบจากสายลมหนาว

    เช้าตรู่ที่แสนเหน็บหนาวอีกวัน ปราบศึกได้ยินเสียงปลุกจากโทรศัพท์มือถือของรักเดียวในเวลาตีสี่เศษ เขาเองเพิ่งจะตื่นก่อนหน้านี้ไม่กี่นาทีก็ออกจากที่พักมายืนรอเธอพร้อมไม้พลองสองอันสำหรับช่วยค้ำยันตอนเดินป่าที่เหลาไว้ตั้งแต่เมื่อวาน

    รักเดียวเดินออกมาจากกระท่อมในชุดเดิมแต่สวมหมวกและถุงมือไหมพรมให้อุ่นยิ่งขึ้น เธอหอบเอาอุปกรณ์ทุกอย่างที่จำเป็น กล้องถ่ายภาพ เทปบันทึกเสียง ปากกากับสมุดบันทึกครบครัน สิ่งแรกที่ปราบศึกเห็นคือรอยยิ้มบนใบหน้าซีดจืดที่เธอส่งมาทักทาย

    “อรุณสวัสดิ์ค่ะ” รักเดียวเอ่ยอย่างอารมณ์ดีทั้งที่ยังง่วงอยู่ไม่หาย

    “เก่งนะครับ ตื่นก่อนเวลาเสียอีก” เขาพูดเป็นเชิงแหย่ แต่อีกฝ่ายก็เชิดหน้ายิ้มท้าทาย

    “อ้อ แน่นอน...คนอย่างรักเดียว ตั้งใจจะทำอะไรแล้วก็ต้องทำให้สำเร็จสิ” เธอยืดอกบอกเขาอย่างภาคภูมิใจ
    ปราบศึกรับเอาอุปกรณ์ทั้งหลายแหล่อันพะรุงพะรังจากเธอไปช่วยถือแล้วส่งไม้พลองอันหนึ่งให้ก่อนจะพากันเดินขึ้นไปที่บ้านผู้ใหญ่ติ๊ซือตามที่นัดหมายไว้

    ไม่ถึงสิบนาทีจากที่พักของเขามายังบ้านผู้ใหญ่ติ๊ซือ แต่ปราบศึกกลับรู้สึกว่าช่างเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานและสบายใจทุกครั้งที่หันไปเห็นรักเดียวเดินอยู่ข้าง ๆ  สิ่งหนึ่งที่เขาแปลกใจคือไม่เห็นแววตาขวาง ๆ ของรักเดียว แล้วก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดใจที่จะต้องเดินทางร่วมกับเธออีก

    ผู้ใหญ่ติ๊ซือในชุดพื้นเมืองรุ่มร่ามแต่ดูอุ่นสบายกล่าวทักทายเมื่อเห็นปราบศึกกับรักเดียวมาถึง ผลัดกันถามไถ่ว่าหลับสบายไหม ก่อนจะรีบนำทางขึ้นสู่ดอยแม่สะป๊อกซึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้านม่อนยะไม่กี่กิโลเมตร แต่ลำบากตอนเดินขึ้นเพราะเส้นทางค่อนข้างชันและรกร้าง

    ปราบศึกแม้จะขึ้นไปบ่อยครั้งแต่ก็ยังจำเส้นทางไม่ได้ จึงจำเป็นต้องให้ผู้ชำนาญทางตัวจริงเดินนำจะดีกว่า ผู้ใหญ่ติ๊ซือนำอยู่หน้าสุด รักเดียวอยู่กลางแถว และปราบศึกเดินรั้งท้ายเพื่อให้แน่ใจว่าลูกทัวร์ของเขาจะไม่ผลัดหลงไปไหน
    รอบ ๆ ตัวเงียบเชียบและมืดสนิท บรรดาดวงดาวบนฟ้ายังคงทอแสงระยิบระยับ รวมทั้งเจ้ากลุ่มดาวนายพรานด้วย

    “เดินระวังหน่อยนะคุณ พื้นดินชื้นแบบนี้อาจลื่นไถลได้ง่าย ๆ” เขาบอกขณะเดินตามเธออยู่ไม่ห่าง

    “ไม่ต้องห่วงค่ะ...ฉันเดินตามหลังผู้ใหญ่ไปติด ๆ แบบนี้ปลอดภัยแน่นอน อีกอย่างฉันก็มีไม้ค้ำยันของคุณที่ช่วยผ่อนแรงได้ดีมากเลย” เธอบอก แม้จะไม่ได้หันมามองแต่พอเดาได้ว่าเขาต้องแอบดีใจอยู่ลึก ๆ

    ทางเดินเป็นดินสีแดงแซมด้วยหญ้าคลุมดินเตี้ย ๆ แสงสว่างจากไฟฉายของผู้ใหญ่ติ๊ซือและของปราบศึกทำให้มองเห็นเส้นทางข้างหน้าได้ชัดเจนและแน่ใจว่าไม่มีสัตว์ร้ายหรือพืชพิษใด ๆ

    ทั้งสามคนเดินทางถึงจุดหมายในชั่วโมงถัดมา ฟ้ายังกระจ่างไปด้วยดวงดาว ปราบศึกกับผู้ใหญ่ติ๊ซือพากันไปนั่งกอดเข่าดูดาวอยู่ห่าง ๆ ปล่อยรักเดียวให้เริ่มทำงานของตัวเองไปอย่างอิสระ

    รักเดียวรีบจัดเตรียมกล้องถ่ายภาพกับขาตั้งในองศาที่เหมาะเจาะเพื่อรอรับแสงแรกจากดวงอาทิตย์ที่กำลังจะเคลื่อนตัวขึ้นมาจากทิวเขาในอีกไม่ช้า พอเสร็จจากการติดตั้งอุปกรณ์ถ่ายภาพเธอก็หยิบเทปบันทึกเสียงขึ้นมาแล้วบันทึกเสียงตัวเองลงไป

    “...ฉันเริ่มรักที่นี่ขึ้นมาแล้วล่ะ...หมู่บ้านแห่งความสงบสุข...ฉันขอเรียกอย่างนี้นะ เพราะตั้งแต่นาทีแรกที่ได้มาสัมผัสก็รู้สึกสงบสุขจริง ๆ

    ...เมื่อตอนหัวค่ำก็ได้นั่งดูดาวกับชาวบ้านมีนายมัคคุเทศก์ปากมอมนั่งอยู่ข้าง ๆ ด้วย แต่น่าแปลกที่เขาดูอ่อนโยนและใจดี หรือเพราะเขาดันพูดเรื่องกลุ่มดาวนายพรานที่ฉันเคยหลงรัก...แต่ก็ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกันนี่นา

    ...ความหนาวเย็นบนนี้ไม่ได้ทำให้รู้สึกทรมานเลย เพราะมีไออุ่นจากหลายสิ่งหลายอย่างรอบ ๆ ตัว ผู้คน ต้นไม้ ดอกไม้ ดวงดาว ดวงจันทร์ ทุกสิ่งทุกอย่างดูเป็นมิตร ทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย...”

    ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ เคลื่อนตัวสูงขึ้นพร้อมไออุ่นที่แผ่กระจายไปทั่วในเวลาเกือบหกโมงเช้า รักเดียวรีบเก็บภาพโดยละเอียดในทุกมุมมอง ไม่ว่าจะเป็นแสงสะท้อนที่ตกกระทบน้ำค้างแข็งบนยอดหญ้าเป็นสีรุ้งระยับ หรือจะเป็นทะเลหมอกสีส้มอมชมพูเมื่อสัมผัสกับแสงอ่อนจากดวงอาทิตย์

    ...ทุกสิ่งรอบตัวนั้นช่างงดงามจนไม่รู้ว่าเธอจะสามารถสรรหาถ้อยคำใดมาบรรยายเป็นบทความดี ๆ ได้อย่างเหมาะสม

    เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ปราบศึกยังเฝ้ามองลูกทัวร์ของเขาทำงานอย่างตั้งอกตั้งใจ พระอาทิตย์ย้ายไปตั้งเด่นอยู่ตรงมุมฟ้าในเวลาสาย

    ปราบศึกช่วยเธอเก็บอุปกรณ์ต่าง ๆ ลงเป้เพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับม่อนยะ

    ขากลับทุกคนเดินเรียงหนึ่งเหมือนเดิมโดยมีผู้ใหญ่ติ๊ซือนำทาง ปราบศึกเดินรั้งท้าย และรักเดียวอยู่ตรงกลาง ตอนขามานั้นยังมืดอยู่จึงไม่สามารถมองเห็นทัศนียภาพรอบ ๆ ตัวได้อย่างชัดเจนเหมือนตอนขากลับ ปราบศึกจึงยอมเดินช้าลงเพื่อให้รักเดียวได้ใช้เวลากับธรรมชาติอย่างเต็มที่

    เส้นทางสีแดงเล็ก ๆ ที่ทอดยาวคู่ไปกับป่าสนสีเขียวนี้มักจะมีดอกหญ้าหลากสีสันชูช่อให้เห็นอยู่เสมอ รักเดียวชื่นชมบรรดาดอกบัวตองสีเหลืองสดที่ขึ้นอยู่เรียงรายตามสองข้างทางเดิน

    ระหว่างรอยต่อของดอยแม่สะป๊อกกับหมู่บ้านม่อนยะเป็นแปลงผักของชาวบ้าน มีทั้งกะหล่ำปลี ผักกวางตุ้ง คงเป็นเพราะอุณหภูมิที่หนาวเย็นนี่เอง จึงทำให้บรรดาดอกไม้ใบหญ้าเติบโตอย่างเต็มที่ แม้แต่ดอกผักกวางตุ้งสีเหลืองเล็ก ๆ ยังชูช่ออวดสีสันของมันอย่างอารมณ์ดี

    นานมากแล้วที่รักเดียวไม่ได้สัมผัสกับสภาพธรรมชาติที่สวยงามในความเรียบง่ายแบบนี้ เธอสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดด้วยความแช่มชื่น โดยที่ปราบศึกยังคงเดินช้า ๆ รอเธออย่างใจเย็น

    กลับถึงม่อนยะก็เป็นเวลาอาหารเช้าแม้จะค่อนข้างสายไปนิด แต่ทุกคนที่บ้านผู้ใหญ่ติ๊ซือยังคงรอต้อนรับอยู่พร้อมด้วยอาหารง่าย ๆ เป็นผักพื้นเมืองต้มกับหน่อไม้ เห็ดหมก กับปลาแห้งทอดกรอบ

    จบจากอาหารมื้อแรกของวันใหม่ที่ยังหนาวเหน็บแต่แสนอบอุ่นไปแล้ว รักเดียวก็ขอเก็บภาพชาวบ้านและ ครอบครัวของผู้ใหญ่ติ๊ซือโดยมีปราบศึกช่วยเป็นตากล้องให้ในบางมุม

    รักเดียวติดตั้งกล้องกับขาตั้งเพื่อให้ทุกคนทีส่วนร่วมในภาพหมายรวมถึงปราบศึกด้วย ทำให้ภาพท้าย ๆ นอกจากจะมีวิวสวย ๆ และชาวเขาในหมู่บ้านแล้วยังมีรักเดียวกับปราบศึกฉายเด่นอยู่ด้วย

    “ที่นี่นอกจากผู้คนจะมีน้ำใจกับคนต่างถิ่นแล้ว พวกเขายังสามัคคีกันดีด้วยนะคะ” รักเดียวเอ่ยขึ้นหลังจากเก็บอุปกรณ์ทุกอย่างแล้วเดินมานั่งดูปราบศึกช่วยพวกผู้ชายมัดหญ้าแฝกเพื่อใช้มุงหลังคาที่เก่าซอมซ่อของชาวบ้าน

    ส่วนพวกผู้หญิงยังขะมักเขม้นอยู่กับงานบ้าน ผ่าฟืน คัดเลือกรากไม้ออกมาตากเพื่อใช้เป็นยาสมุนไพร

    “ครับ” เขาออกแรงมัดหญ้าแฝกตับสุดท้ายก่อนจะก้มหน้าเช็ดเหงื่อกับแขนเสื้อ

    รักเดียวรู้สึกว่าท่ามกลางความหนาวเย็น พวกชาวเขาก็ยังมีเหงื่อกันถ้วนหน้าเพราะทุกคนไม่เคยเว้นว่างจากงานหนัก ปราบศึกลุกขึ้นปัดเศษดินออกจากกางเกงแล้วเดินไปนั่งข้างเธอ

    “เพราะอย่างนี้ใช่ไหมคะ คุณถึงบอกว่าชอบพานักท่องเที่ยวขึ้นมาบ่อย ๆ ถ้ายายพลอยได้ขึ้นมาที่นี่ด้วยก็คงดีนะคะ” คำตอบที่รักเดียวได้จากเขาเป็นเพียงการพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มจาง ๆ

    สายลมวูบหนึ่งที่พัดมาโลมไล้ผิวกายเขาให้สะท้านราวจะสะกิดเตือนว่า...นี่เขากำลังเฝ้ารอการกลับไปเจอหน้าพลอยสีเพื่อขอเธอแต่งงานอยู่นะ...

    “น่าตลกนะคะที่ฉันเคยใส่ไฟให้ยายพลอยฟังว่ามัคคุเทศก์ที่จะพาขึ้นดอยนั้นนิสัยไม่ดีแล้วก็ดุมาก ๆ พอได้เจอคุณที่บ้านยายพลอยวันนั้นก็แกล้งทำเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเสียอีก ตอนนั้นฉันคิดไม่ออกเลยจริงๆ ว่าจะทำตัวยังไงดี” เธอสารภาพเสียงอ่อย ส่วนเขาก็หัวเราะเบา ๆ ก่อนจะตอบกลับมาว่า

    “ผมก็เหมือนกัน...ตอนนั้นตีสีหน้าไม่ถูกเลยจริง ๆ นี่ถ้าพลอยเค้ารู้ว่าเรื่องราวมันบังเอิญมากมายขนาดนี้ ผมก็ไม่รู้ว่าเค้าจะรู้สึกตลกเหมือนกันรึเปล่า” เขามองหน้าเธอ ต่างคนต่างพากันหัวเราะจนแก้มแดง ชาวบ้านที่นั่งอยู่ใกล้กันหันมองมาอย่างยิ้ม ๆ

    หลังจากเสร็จภารกิจการเก็บภาพแล้ว รักเดียวหยิบปากกากับสมุดบันทึกเล่มเล็กออกไปนั่งห้อยขาอยู่บนโขดหินใต้ต้นนางพญาเสือโคร่งตรงเนินเขาท้ายหมู่บ้าน

    ดอกสีชมพูสลับขาวของนางพญาเสือโคร่งนั้น ดูโดดเด่นท้าทายลมหนาวอยู่บนต้นแม่สูงสง่าที่ผลัดใบเหลือแต่กิ่งก้าน

    สายลมแต่ละระลอกที่พัดมาเหมือนจะเขย่าให้กลีบดอกร่วงลงแต่งแต้มพื้นหญ้าเตี้ยสีเขียวสดให้มีลวดลายงดงาม

    จากคุณ : บุตรของเดือนและดาว - [ 17 พ.ค. 49 11:49:46 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป