CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    หนังสือจากชายแปลกหน้า

    สวัสดีทุกท่านครับ

    ห่างหายจากตรงนี้ไปนาน ด้วยเรื่องอันหลากหลาย
    กลับมาคราวนี้เอาเรื่องสั้น มาฝากครับ

    +++++++++++++++
    แสงแดดช่วงบ่ายยามไม่มีมวลเมฆบดบังมันร้อนอบอ้าวราวกับมีกองไฟสุมอยู่รอบตัว ทำให้เหงื่อตามร่องหลังไหลย้อยซึมผ่านเสื้อเชิ้ตแขนยาวทรงสุภาพจนเปียกชื้น ควันดำจากท่อไอเสียที่แออัดเป็นแพบนท้องถนนนั่นก็เป็นตัวเสริมชั้นดี

    ผมยืนหันรีหันขวางอยู่พักใหญ่ หลังลงมาจากตึกสูงระฟ้าใจกลางเมืองหลวงที่ยังคับคั่งด้วยผู้คนและรถรา การเดินออกจากห้องปรับอากาศอันเย็นฉ่ำ ลงมาเผชิญกับความร้อนของเดือนที่ขึ้นชื่อว่าร้อนที่สุดในเมืองไทยอย่างนี้  ทำให้กลไกการปรับอุณหภูมิในร่างกายต้องทำงานหนัก ให้สะบัดร้อนสะบัดหนาวชอบกล  

    การตกงานในช่วงวิกฤติน้ำมันแพงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหางานใหม่ใด้ทันท่วงที ถึงแม้จะมีประสบการณ์ในวิชาชีพมาแล้วสี่ปีก็ตาม เพราะห้างร้านบริษัทต่างก็รัดเข็มขัดด้วยกันทั้งนั้น  ผมเลยสะกดความ ‘อดทน’ ไว้ในใจ

    ผมหยุดยืนลังเลบนบาทวิถีอยู่ชั่วครู่ว่าควรกลับบ้านก่อนหรือว่าไปสมัครงานอีกแห่งหนึ่งต่อดี  ด้วยความที่ยังตัดสินใจไปในทางใดทางหนึ่งไม่ได้  กระเพาะก็เริ่มบีบอัดรบเร้าอยากทำหน้าที่ของมันด้วยว่าล่วงเลยเวลามามากแล้ว ของเหลวที่เป็นคาเฟอีนเมื่อเช้ากับแซนวิสไม่ช่วยให้มันนอนสงบนิ่งได้อีกต่อไป

    สัญญาณไฟแดงในละแวกนั้นสลับกันทำหน้าที่สามสี่ครั้ง ผมก็มองเห็นทำเล

    “ข้าวมันไก่ติดหนัง ไม่เอาเครื่องใน พิเศษหนึ่งจานครับ”

    “จะรับน้ำอะไรดีคะ?” เด็กสาวอายุราวสิบห้าปีเดินเข้ามาถามด้วยสีหน้ากระตือรือร้น หลังผมหาที่นั่งได้แล้ว

    “น้ำแข็งเปล่าครับ” ผมตอบโดยไม่ต้องคิด นั่นทำให้เธอหันหลังกลับแทบจะทันที  

    ผมสั่งอาหารที่สามารถทำเวลาได้แบบไม่ต้องรอนาน หลังจากเดินหาร้านอาหารอยู่พักใหญ่สายตาก็แลเห็นเพิงหมาแหงนหลบมุมตึกอยู่ไม่ไกลจากจุดที่ผมยืนอยู่มากนัก  ผมมุ่งตรงเข้ามาในร้านหลังคามุงด้วยหญ้าแฝกแห่งนี้ทันที โดยเลี่ยงร้านที่เป็นหลังคาสังกะสีที่อยู่ติดกัน

    ระหว่างรอ ผมหันไปดูว่ามีหนังสือพิมพ์พออ่านฆ่าเวลาหรือไม่ เพราะต้องรอตามคิวซึ่งมีลูกค้านั่งรออยู่ก่อนแล้วสามคน ดูจากการแต่งตัวคาดว่าคงเป็นพนักงานออฟฟิตในย่านนี้ คิดในแง่ดีบางทีอาจขยันทำงานจนเลยเวลาพักเที่ยงมามากโข  นั่นเป็นไปได้เท่าๆ กับว่าอาจโดนเจ้านายเรียกเข้าไปอบรมเช่นกัน  

    ไม่รู้สิ...ผมก็คิดเดาไปเรื่อยเปื่อย
    เมื่อไม่มีอย่างที่หวังผมเลยหยิบเอกสารในแฟ้มขึ้นมาสำรวจว่าสำเนาที่มีอยู่ยังพอสมัครงานได้อีกกี่แห่ง

    แล้วเสียงหนึ่งก็แว่วเข้ามาในระยะไม่ใกล้ไม่ไกล

    “โค้กของคุณพี่ผู้ชาย ส่วนนมเย็นสองแก้วนี่ของคุณพี่ผู้หญิงค่ะ” เสียงหวานบาดใจกระตุ้นต่อมความสนใจในตัวจนผมต้องเงยหน้าขึ้นมองจากแฟ้มเอกสารตรงหน้า พลันได้เห็นท่าทีนอบน้อม รอยยิ้มสวยเห็นฟันขาวตามแบบฉบับของผู้ให้บริการจากเด็กสาวคนเดียวที่มารับรายการไปจากผมเมื่อครู่ นั่นทำให้ผมรู้สึกหดหู่ขึ้นมาในใจ      

    อนิจจา เพราะแม้แต่น้ำแข็งเปล่าแก้วเดียวยังถูกแบ่งเกรดการบริการ  นับประสาอะไรกับสามล้อพกบัตรสามสิบบาทเข้าโรงพยาบาลแล้วได้มาแต่พาราเซตตามอน

    เด็กสาวคนนั้นจะรู้ไหมนะว่าน้ำเปล่าแก้วเดียวยังมีคุณค่าทางโภชนาการมากกว่าน้ำสีดำฟองซ่านั่นเสียอีก ซึ่งผมก็ไม่ค่อยนิยมเสียด้วย

    ผมผินหน้าจากภาพตรงนั้นหันมองไปนอกร้าน พลันได้เห็นสัตว์เลี้ยงซึ่งครั้งหนึ่งผมคิดว่าคงเป็นสมาชิกของครอบครัวใดครอบครัวหนึ่งมาก่อน สี่ขา หนังเกรียนถึงขั้นขี้เรื้อน นมยานโตงเตงแทบถึงพื้นพาลูกน้อยสองตัวตระเวนตามกองขยะ นี่ไม่รู้เหมือนกันว่าโดนทิ้งเพราะความเป็นขี้เรื้อนหรือความมักง่ายของคนกันแน่  ความจริงผมไม่น่าจะคิดมากไป ในเมื่อสังคมทุกวันนี้ก็ฉาบเอาไว้เพียงแค่ภาพลักษณ์ภายนอกกันทั้งนั้น  

    ผมก้มหน้าก้มตาทานอาหารจานเดียวตรงหน้าอย่างรีบเร่ง ส่วนหนึ่งเพราะหิว อีกส่วนเพราะอยากกลับบ้านเต็มที เพราะใจอ่อนล้าเกินกว่าจะเดินทางไปสมัครงานที่อื่นอีก คงไม่ต้องพูดถึงว่าตอนที่เด็กหญิงคนนั้นยกอาหารมาเสิร์ฟตามผมสั่งจะไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดออกมาจากปากเธอ รวมไปถึงรอยยิ้มด้วย

    ผมทานไปได้ครึ่งจาน จำต้องเงยหน้าขึ้นมองเมื่อได้ยินเสียงแหบพร่าข้างโต๊ะ

    “พ่อหนุ่มขอตังค์กินข้าวหน่อยเถอะ ลุงไม่ได้กินข้าวมาตั้งแต่เช้า”

    สายตาละห้อยกับน้ำเสียงอันน่าสงสารมองมาคล้ายมีหวังด้วยใจจดจ่อของลุงคนหนึ่ง ทำเอาผมแถบอยากจะถอนหายใจออกมาหนักหน่วง เอาแล้วไหมล่ะ เจอเข้าจนได้  

    ผมคิดว่าคุณๆ น่าจะเจอมาบ้างแล้วกับตัวเองในลักษณะเดียวกันนี้  ผมเองก็เคยเจอประโยคที่ว่านี้มาบ้างเหมือนกัน แต่ส่วนมากมาจากเด็กหน้าตามอมแมมหรือไม่ก็หญิงวัยกลางคนกระเตงลูกในอ้อมอกมากกว่าจะมาเจอคุณลุงใบหน้าเหี่ยวย่นตามสังขารแลดูร่วงโรยอย่างนี้ เสื้อผ้าหรือก็สีซีดหนักไปทางเก่าคร่ำ  ย่ามที่แกสะพายอยู่ก็เขรอะไปด้วยคราบดำด่าง เข้ากันได้ดีกับเสื้อที่แกสวมอยู่

    คุณคิดเหมือนผมไหมว่าพวกเขาเหล่านี้จะเข้ามาเยือนโดยที่เราไม่ได้เรียกร้องยามนั่งทานอาหารอยู่  ไม่มีหรอกที่เข้ามาทำในลักษณะเดียวกันนี้ระหว่างเรายืนรอรถประจำทาง  

    ถ้าผมให้เงินแกไป นั่นเท่ากับว่าแกเรียกร้องความเห็นใจได้สำเร็จ บางทีแกอาจพูดประโยคนี้มาหลายครั้งแล้วก็เป็นได้ในรอบวันนี้  บางทีจำนวนเงินที่นอนอุ่นในกระเป๋าแกอาจจะมากกว่าผมด้วยซ้ำ

    ผมเริ่มคิดหนัก การทำเฉยหรือว่าบอกปฏิเสธไปอาจทำร้ายแกมากไป หากว่าสิ่งที่แกพูดเป็นความจริง  หากเป็นเด็กๆ ผมจะคิดว่าหนีออกจากบ้านด้วยปัญหาสารพัดที่ยกมากล่าวอ้างให้คนฟังดูสงสารและเห็นใจ แต่ในวัยอย่างแกคิดว่าหลงจนหาทางกลับบ้านไม่ถูกจะดีกว่าไหม?

     ผมคิดถึงวันที่ยังไม่ได้งานทำเมื่อสี่ปีก่อน  ตอนนั้นไม่มีเงินสักบาทจนต้องเอาน้ำประทังชีวิต กว่าผ่านวิกฤติช่วงนั้นมาได้ก็เล่นเอาซึ้งกับคำว่า ‘หิวโหย’

    ผมสบตาแก ยังได้เห็นการรอคอยด้วยใจหวังเหมือนเดิม  ลมหายใจผมค่อยๆ ระบายออกมาช้าๆ เหมือนคนที่ตัดสินใจได้แล้ว

    “ถ้าอย่างนั้นนั่งก่อนสิลุง เดี๋ยวผมเลี้ยงเอง” ผมบอก  อย่างน้อยความสบายใจที่ว่าเงินที่เสียไปถูกใช้ไปกับจุดประสงค์ที่แกขออย่างแท้จริง  

    ไม่รู้สิ...บางทีผมอาจคิดมากไป เคยมีใครบางคนบอกว่า “อย่าไปสนใจเลยว่าเงินที่เราให้ไป เขาจะเอาไปทำอะไร เราให้ด้วยใจบริสุทธิ์ ตามกำลังที่เรามีก็น่าจะพอแล้ว”

    ถึงจะรู้ว่าเป็นอีกมุมมองหนึ่งสำหรับการให้  แต่ผมก็ทำใจไม่ได้สักทีว่ากำลังเป็นตัวช่วยส่งเสริมให้อาชีพแบบนี้มีอยู่ในสังคม ไม่นับรวมขอทานตามสะพานลอย หลังจากมีข่าวว่าเด็กๆ พวกนี้ถูกบังคับด้วยวิธีป่าเถื่อนสารพัดให้เป็นขอทาน เพื่อทำเงินให้พวกนายทุนหน้าเลือด ตั้งแต่นั้นเหรียญบาทในกระเป๋าผมก็ไม่เคยตกอยู่ในกระป๋องของเด็กคนไหนอีกเลย

    “นั่งสิครับ” ผมย้ำ ในขณะที่แกลังเลกับการตัดสินใจ ใบหน้าเหี่ยวย่นกระอักกระอ่วนจนเห็นได้ชัด เหลือบตามองไปรอบร้าน  

    “จะดีเหรอพ่อหนุ่ม” แกพูดเป็นเสียงกระซิบคล้ายเจียมตัว “ขอยี่สิบบาทพอ แล้วลุงจะไป” แกต่อรอง แต่ผมหรือจะยอมในเมื่อใจนั้นคิดอยู่แล้วว่าจะไม่ยอมให้เงินตัวเองใช้เป็นเครื่องมือหากินของใคร
    ความใจแข็งของผมมาประสบผลสำเร็จในเวลาต่อมา เมื่อแกยอมนั่งลงโดยขัดเสียมิได้ หลังจากสอบถามแล้วว่าแกอยากทานอะไรผมเลยสั่งให้

    “น้องเอาเหมือนพี่อีกจาน”

    “คุณจะทานเองหรือคะ?” คราวนี้เจ้าของร้านร่างใหญ่ท้วมเป็นคนถามกลับมาแทน สายตานั้นคอยชำเลืองมาทางคุณลุงบ่อยครั้ง  

    ตอนแรกผมเองก็ไม่เข้าใจมากนัก แต่เมื่อคุณลุงแกกระซิบบอกผมว่า “เปลี่ยนเป็นใส่กล่องดีกว่ามั้ย” เท่านั้น ผมก็ถึงบางอ้อ

    ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมแกไม่ยอมนั่งตามคำเชิญ เข้าใจแล้วว่าทำไมแกทำหน้าอย่างนั้น

    พลันผมนึกตำหนิตัวเอง ที่ไม่ยอมให้เงินแกไปตามคำขอ  เพราะความคิดมากโดยแท้

    เมื่อเป็นเช่นนั้น ความคิดบางอย่างก็แล่นเข้ามาทันทีทันใด คราวนี้ผมหันไปสั่งใหม่ว่าเอาแบบพิเศษมาสามห่อ เอาชาเย็นมาสองถุง

    เด็กสาวยิ้มแต้ ลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วหายเข้าไปในหลังร้านทันที ส่วนหญิงใหญ่ร่างท้วมเจ้าของร้านก้มหน้างุดหยิบจับตัวไก่ในตู้โชว์มาสับ ฉับ ฉับ ฉับ เสียงดังแข่งกับรถบนท้องถนน

    คุณลุงวัยชราจ้องมองหน้าผมด้วยความแปลกใจ  ผมไม่ได้อธิบายอะไรให้แกฟัง เพียงส่งยิ้มเป็นมิตรมากกว่าเมื่อครู่ไปให้ แล้วผมก็ได้รอยยิ้มนั้นตอบกลับมาเหมือนกัน

    ผมเก็บเอกสารของตัวเองใส่แฟ้ม ส่วนตัวแกผมเหลือบเห็นกอดย่ามใบเก่าคร่ำครึไว้แน่น อดคิดไม่ได้ว่าข้างในนั้นมีอะไรบ้าง

    ระหว่างรอข้าวห่อใหม่ผมเลยชวนแกคุยสอบถามความเป็นมา  สรุปได้ความว่าแกมาจากจังหวัดจันทบุรีเมื่อสามอาทิตย์ที่แล้ว  มาตามหาหลานสาวกำพร้า ปีกว่าแล้วไม่ติดต่อหรือกลับไปบ้าน  แต่แกก็ส่งเงินเข้าบัญชีมาให้ใช้ทุกเดือน  ไม่รู้ว่ายังเรียนอยู่หรือว่าหายไปไหน ที่อยู่หอเก่าที่ให้ไว้ก็ย้ายออกไปเมื่อห้าเดือนก่อน

    เล่ามาถึงตรงนี้ผมสังเกตว่าน้ำเสียงแกเครือ ตาแดง  ผมไม่อยากคิดในทางที่ไม่ดี แต่ข่าวเด็กสาวใจแตกหลงแสงเสียง วัตถุนิยมก็มีมาก

    ด้วยความที่ไม่เคยเข้าเมืองหลวงเลยในชีวิต กลับไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของคน กระเป๋าสตางค์ถูกหยิบจากกระเป๋าตอนไหนไม่รู้   ทุกอย่างหายหมดไม่มีเหลือรวมทั้งสมุดจดเบอร์โทรศัพท์ที่บ้านด้วย

     “ลุงไม่รู้จะทำอย่างไรนอกจากต้องเที่ยวขอเขากินล่ะพ่อหนุ่ม” แกเล่าเสียงเศร้า “ป่านนี้อีแก่ที่บ้านคงรอข่าวด้วยความเป็นห่วง”

    ผมเข้าใจว่า ‘อีแก่’ ที่บ้านคงหมายถึงคุณยายคู่ร่วมชีวิต แต่ก็ไม่ได้ถาม  เราต่างเล่าประสบการณ์ชีวิตที่ต่างประสบมาให้กันและกันฟัง ผมเล่าจบแกก็อวยพรให้โชคดีมีชัย ผลบุญที่ทำกับความมีน้ำใจของผมคงได้งานในไม่ช้า  ผมยกมาสาธุ หวังให้เป็นไปตามนั้น

    เมื่อการคุยกันถูกคอมักผ่านไปเร็วเสมอ จนลืมไปเลยว่าผ่านไปนานเท่าใดแล้ว มารู้ตัวอีกทีพร้อมกับของที่สั่งบนโต๊ะ  ชาเย็นสองถุงกับข้าวพิเศษสามห่อ ผมเรียกเจ้าของร้านเก็บเงิน

    เสร็จสรรพก็นั่งกินกันบนโต๊ะในนั้นนั่นแหละ  ตอนแรกคุณลุงแกแปลกใจที่ผมทำอย่างนั้น พอครั้นผมกระซิบไปว่าอยากแกล้งเจ้าของร้านค่าที่ไม่ยอมใส่จานให้ลุงตั้งแต่แรก แกเลยหัวเราะลงเอิ๊กอ๊ากอวดฟันน้อยซี่อย่างชอบอกชอบใจ ท่ามกลางสายตาขุ่นเขียวจากสาวร่างใหญ่จากในร้าน แต่เราสองคนไม่สนใจ

    หลังทานอิ่มกันสองคน ผมนั่งชั่งใจว่าจะไปส่งแกที่สถานีรถ บขส. ดีหรือไม่   ตัดสินใจแล้วว่าการเสียเงินสักก้อนเพื่อให้ลุงแกกลับถึงบ้าน ยังดีกว่ายอมทนดูให้แกเดินขอเขากินอยู่อย่างนี้  ตอนไม่รู้เรื่องราวนั้นไม่เป็นไร ครั้นพอรู้แล้วแบบนี้ผมกลับบ้านไปก็คงนอนไม่หลับหากไม่ได้ช่วยอะไร

    “ลุงกลับบ้านได้เองนะครับ”

    “ได้ สบายมากพ่อหนุ่ม” แกบอกเสียงใส ไม่เหมือนครั้งแรกที่คุยกัน  “หากไม่ได้พ่อหนุ่มช่วย ลุงก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่หรือว่าจะหาทางกลับบ้านไปเจอ ‘อีแก่’ ได้อย่างไร”

    ผมคิดอยู่หลายตลบในที่สุดก็ตัดสินใจ เงินในกระเป๋าที่ต้องใช้อย่างประหยัดถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน  ห้าร้อยบาทผมให้แกเป็นค่ารถไปถึงจันทบุรีบ้านเกิด เกินดีกว่าขาด เพื่อไปหา ‘อีแก่’ ของแก ส่วนอีกสองร้อยผมให้เป็นค่าแท็กซี่ จะให้แกโหนรถเมล์ในสภาพแบบนี้  คิดเห็นภาพแล้วไม่อยากให้แกเผชิญกับสภาวะแบบนั้น  

    ก่อนจากกัน แกล้วงลงไปในย่ามเอาหนังสือเล่มหนึ่งมาให้ผมบอกว่า “ลุงไม่มีอะไรจะให้ถึงน้ำใจอันดีงามของพ่อหนุ่ม นอกจากสิ่งนี้กับคำอวยพรให้โชคดีในการงาน”

    ผมรับจากมือแก แล้วโบกมือลาในช่วงเวลาที่ดวงตะวันยังแผดกล้าเหมือนเดิม  
    แท็กซี่พาผู้โดยสารไปแล้ว ถึงคราวที่ผมต้องโหนรถเมล์กลับบ้านบ้าง แต่ก่อนไปข้าวอีกห่อหนึ่งในมือผมวางไว้ให้กับครอบครัวสามชีวิตข้างถนน ใต้ร่มเงาไม้ข้างทาง  ไม่บ่อยครั้งนักหรอกที่ผมทำแบบนี้ แต่ความสบายใจก็ช่วยให้ผมมีพลังก้าวเดินในเมืองอันวุ่นวายแห่งนี้ต่อไป

    ผมกลับถึงบ้านพลบค่ำพอดี จัดการธุระส่วนตัวเสร็จหวังจะเข้านอนแต่หัววันเพื่อเอาแรงไปสมัครอีกในวันพรุ่ง  แต่แล้วสายตาผมก็เหลือบเห็นหนังสือเล่มนั้นเข้าพอดี  ผมหยิบมาเปิดอ่าน หน้าปกเปรอะเปื้อนด้วยคราบสกปรก ดีหน่อยที่เนื้อความข้างในยังพออ่านได้ หนังสือเขียนถึง ‘การใช้ชีวิตที่พอเพียง’ ตามแนวพระราชดำหริ

    ผมอ่านแล้วจินตนาการตามว่า สักวันผมจะใช้ชีวิตแบบนี้บ้าง ตอนนี้ของหาเงินทำทุกสักก้อนก่อน  ผมเปิดอ่านจนถึงหน้าสุดท้ายด้วยความปราบปลื้มที่พระองค์ทรงมีต่อพสกนิกร  ผมคิดว่าถ้าทุกคนได้อ่านและสนองพระราชดำหริสักครึ่งประเทศบ้านเมืองเราคงไม่วุ่นวายถึงขนาดนี้  

    ผมเปิดมาถึงกระดาษแผ่นสุดท้ายซึ่งว่างเปล่าจากตัวอักษรตีพิมพ์ แต่มีตัวอักษรจากลายมือยึกยือพออ่านได้ว่า

    ‘ฟ้าสูงเสียดฟ้า แผ่นดินต่ำเท่าตาเห็น ฝนตกพรำก็ยังเชื่อมโยงถึงกัน’

    หมายความว่าอย่างไรกัน?

    ผมคิดจนเผลอหลับไป สะดุ้งตื่นตอนเช้ากับความฝันค่อนข้างแปลก ภาพที่ผมกับคุณลุงนั่งคุยกัน รวมไปถึงตอนที่ลุงคนนั้นยื่นหนังสือให้ผมมันกระจ่างชัด  หรือว่าผมคิดมากไป  

    “คิดให้ดีสิพ่อหนุ่ม ” ในฝันแกพูดประโยคนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า หรือว่าแกต้องการบอกใบ้อะไรผมสักอย่าง?
    ผมคิดอยู่ที่ประโยคที่ว่านั้นแทบตลอดเวลา อาบน้ำ กินข้าว แต่งตัว จนออกจากบ้านสมัครงานเสร็จอีกหนึ่งแห่ง จนแล้วจนรอดผมก็ยังคิดไม่ออก เดินผ่านหน้าธนาคารเพื่อรอรถเมล์ที่ป้ายข้างทาง พลันเห็นคนขายล็อตเตอรี่วางขายเรียงหน้าสลอนป้องปากเรียกลูกค้ามิได้ขาด  

    ฉับพลันความคิดก็แวบเข้ามา หรือว่า....! โอ...ใช่ แน่แล้วบางทีแกอาจมาเข้าฝันเพื่อให้ลาภผมก็เป็นได้ ว่าแต่จะตีเป็นตัวเลขได้อย่างไร นี่สิปัญหาใหญ่  

    ผมรีบเดินมานั่งลงที่ป้ายรถเมล์ หยิบหนังสือเล่มนั้นขึ้นมาอ่านประโยคปริศนาซ้ำๆ แล้วพยายามตีเป็นตัวเลข เอามั่วๆ ก็แล้วกัน  คนเรามันอยู่ที่ดวง

    ไม่นานตัวเลขสามตัวก็ลอยเด่นใสปิ้งออกมา ผมเดินไปซื้อเลขท้ายตามที่คิดได้ทันที แล้วก็ดวงดีเมื่อได้ตรงเผงพอดี ผมเดินท่องเก้าห้าศูนย์กลับบ้าน คิดสะระตะกับจำนวนเงินที่อาจจะถูกในไม่กี่วันข้างหน้า  

    สองวันต่อมาโทรศัพท์ดังระงม หลังวางสายผมยิ้มแก้มแทบปริเมื่อเขาเรียกให้ไปสัมภาษณ์งาน บางทีช่วงนี้อาจมีโชคลาภก็เป็นได้ ผมคิดด้วยความเบิกบาน

    แสงแดดในช่วงบ่ายยังคงแผดกล้าเหมือนเดิม ผมทรุดลงนั่งแทบหมดแรงตรงใต้ร่มเงาไม่ใหญ่ในสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง หลังลงมาจากสัมภาษณ์งานแล้วก็ไม่อยากไปไหนต่อ  แม้แต่ขึ้นรถกลับบ้าน  

    แล้วเสียงหนึ่งก็แว่วเข้ามาในระยะไม่ใกล้ไม่ไกล

    “อีแก่ ข้าบอกแล้วไงว่าช่วงนี้ไม่ต้องไปเก็บขยะขายให้เหนื่อย  ข้าเลี้ยงแกเอง”

    “ชิชะ ไอ้แก่ ตั้งแต่ได้ลาภก้อนใหญ่มาเมื่อสามวันก่อนนี่แกก็พูดแต่ประโยคนี้...แล้วหมดยังล่ะนั่น”

    “ยัง...ยังอีกหลายร้อย”

    “แกนี่น่า  มีนิทานชีวิตเรียกความสงสารได้เรื่อย ข้าล่ะนับถือ”

    ลมหายใจผมแทบขาดห้วงโดยไม่ต้องหาที่มาของต้นเสียง  ผมลุกขึ้นยืนแล้วกัดฟันลุกขึ้นเดินจากที่นั่นมาด้วยมิอาจทนฟังความจริงได้อีกต่อไป  น้ำตาไหลซึมกับเมืองหลวงแห่งนี้ สองมือล้วงกระเป๋า แทบขย้ำล็อตเตอรี่ให้เป็นผุยผง

    ผมคิดถึงบ้านนอก คิดถึงหนังสือเล่มนั้นกับ ‘ชีวิตที่พอเพียง’  

    ผมจะไม่ลืมว่าซื้อหนังสือเล่มนี้มา เจ็ดร้อยบาท.


    +++++++++++
    ขอบคุณครับsmile

    แก้ไขเมื่อ 20 พ.ค. 49 16:31:19

    จากคุณ : อนงค์นาง - [ 20 พ.ค. 49 16:29:16 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป