CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    <<<..."รักอลวน หัวใจอลเวง"...ตอนที่ 8 ครับผม...(ความห่วงหาจากคนไกลของหัวใจ)...>>>

                  ตอนที่ ๘ ความห่วงหาจากคนไกล...ของหัวใจ

    กระเป๋าเป้ลายพรางใบใหญ่ถูกโยนโครมลงบนเตียงพร้อม ๆ กับร่างสูงของผู้ชายเคราเข้มที่ทรุดตัวลงอย่างเหนื่อยอ่อนหลังจากการตัดสินใจลาออกจากงานที่อุทยานฯ เพียงเพื่อจะได้กลับมาอยู่ใกล้ ๆ ใครคนหนึ่งที่เขาห่วงใยเท่านั้น

    ความคิดแรกของเขาในตอนนี้คืออยากขับรถไปหาพลอยสี เธอคงอยู่ที่บ้านเพราะเป็นวันหยุด...แต่ไม่แน่ว่าปราบศึกอาจรับเธอไปเที่ยวแล้วก็ได้... ถ้าจะโทรศัพท์ไปหา พลอยสีก็คงไม่ยอมรับสายอีกตามเคย

    “คุณคงไม่เคยคิดถึงผมเลยใช่ไหมพลอย” เขาเฝ้ารำพึงรำพันอยู่กับตัวเองอย่างเงียบเหงาในหอพักที่พอจะหาได้ใกล้ ๆ บ้านพลอยสี

    เช้าวันหยุดแสนเหงาของพลอยสีที่ไม่มีทั้งเพื่อนสนิทอย่างรักเดียวหรือคนรู้ใจอย่างปราบศึกมารับไปเที่ยวที่ไหน และด้วยความที่เป็นลูกสาวคนเดียวไม่มีพี่น้อง เธอเลยต้องนั่งหงอยอยู่เพียงลำพังเพราะพ่อมัวแต่ง่วนอยู่กับการดูแลต้นไม้ ส่วนแม่ก็ยังสาละวนอยู่กับงานในครัว

    แล้วคนที่ปรากฏขึ้นมาในห้วงความคิดของเธอก็คือใครคนหนึ่งซึ่งเคยบอกเสมอว่าจะคอยห่วงใยแม้ว่าเธอจะไม่เคยไยดีเขาเลยก็ตาม

    “รบ...ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนนะ” เมื่อพลอยสีนึกถึงใครคนนั้นหัวใจเธอก็ชื้นขึ้นมาได้

    เธอทวนถามตัวเองหลายครั้งอย่างเหม่อลอยว่าคิดถูกแล้วหรือที่ปฏิเสธความรักของเขา ทั้งที่เขาดูจะห่วงหาอาทรเธอมากมาย

    แต่เสียงจากหัวใจเธอก็ตอบออกมาว่าความรู้สึกที่มีต่อเขานั้นยากจะกลายเป็นความรัก เธอก็แค่ชื่นชมยินดีที่เขาคอยห่วงใยและแค่สงสารเมื่อเห็นแววตาผิดหวังของเขา...

    ..............................................................................................................

    ปราบศึกกับลูกทัวร์ของเขาเดินทางออกจากที่พักในเวลาเจ็ดโมงเช้าสู่ป่าต้นน้ำม่อนยะ โดยมีเจ๊ะมู ลูกชายวัยสิบสองของผู้ใหญ่ติ๊ซือติดสอยห้อยตามมาด้วย

    การเดินเท้าจากตัวหมู่บ้านสู่เขตพื้นที่ป่านั้นค่อนข้างยากลำบาก สัมภาระเกือบจะทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นน้ำดื่ม อาหารกลางวันที่ถูกห่อมาอย่างดีด้วยใบตองหอมกรุ่นและเป้ใส่อุปกรณ์ถ่ายภาพของรักเดียวนั้นมีมัคคุเทศก์คนเก่งอย่างปราบศึกช่วยเป็นลูกหาบให้

    เมื่อทั้งสามคนเดินทางผ่านแนวป่าอนุรักษ์ของชาวบ้านมาได้สักพัก แนวดินตลอดทางเดินเริ่มชันขึ้น ลักษณะพืชพรรณก็แปลกตา เหมือนเป็นการบ่งบอกว่าทุกคนกำลังเข้าถึงเขตป่าชนิดไหน ปราบศึกเริ่มต้นอธิบายอีกครั้ง

    “เราจะรู้ว่ากำลังอยู่ในพื้นที่ป่าประเภทไหนก็สังเกตได้จากต้นไม้พวกนี้ครับ...” เขาชี้มือให้มองบรรดาต้นไม้ใหญ่และต้นหญ้าแต่ละชนิด

    “นั่นไงครับ...มะขามป้อม” เจ๊ะมูชิงพูดขึ้น

    “ครับ...คนที่เดินป่านาน ๆ จะกินมะขามป้อมแก้กระหายน้ำ แถมยังมีวิตามินซีสูงด้วยนะ” เขาเสริม

    “ส่วนหญ้าพวกนี้ชื่อว่าสาบเสือ คุณลองเด็ดใบมันมาขยี้ดูนะครับ กลิ่นเหม็นสมชื่อ...แต่รู้ไหมว่าสรรพคุณมันสามารถห้ามเลือดได้ชะงัดนักล่ะ” เขาบอกพลางเด็ดใบสาบเสือส่งให้เธอทดลองขยี้ดมพบว่ากลิ่นมันฉุนมากจนต้องเบ้ปาก เขามองเธอเช็ดมือกับขากางเกงอย่างขำ ๆ แล้วปล่อยให้เจ้าของพื้นที่อย่างเจ๊ะมูเป็นคนนำทางต่อไป

    เมื่อทั้งสามคนเดินทางมาถึงโป่งมิคิก็ได้เวลาหยุดพักเพื่อให้รักเดียวได้เก็บภาพผีเสื้อแสนสวยนานาชนิด

    ปราบศึกยังอธิบายต่อไปอีกหลายเรื่อง จนรักเดียวต้องรีบหยิบเทปขึ้นมาบันทึกเสียง

    “โป่งมิคิ แปลว่าหินที่แตกสลายกลายเป็นดินครับ...จากหลักฐานทางธรณีวิทยาบอกว่าเมื่อหลายร้อยปีก่อนที่นี่เป็นทะเล ต่อมาเมื่อโลกโก่งตัวขึ้นจึงกลายเป็นภูเขาและพื้นดิน” เขาอธิบายเชิงวิชาการ รักเดียวฟังอย่างตั้งใจเผื่อได้เป็นส่วนหนึ่งของงาน ส่วนเจ๊ะมูเดินแยกไปเล่นที่น้ำตกอย่างเริงรื่น

    “ส่วนดินโป่ง ก็หมายถึงดินเค็มครับ สัตว์ป่ามักจะอาศัยความมืดตอนกลางคืนมากินดินโป่งกันบริเวณนี้ ธรรมชาติคงสอนให้พวกมันรู้วิธีป้องกันโรคคอพอกน่ะครับ” เขาแทรกอารมณ์ขันเพราะกลัวว่าคนฟังจะเบื่อ แต่รักเดียวกลับช่วยผสมโรง


    “คงจริงอย่างที่คุณว่า...ดินโป่งพวกนี้คงมีไอโอดีนเยอะกว่าเกลือไอโอดีนที่มีขายอยู่ตามท้องตลาดซะอีกนะคะ แถมไม่ต้องซื้อให้เปลืองเงินด้วย”

    “ดูนี่สิครับ...ผีเสื้อพวกนี้มันมากินดินโป่งกันเยอะแยะเลย” เจ๊ะมูป้องปากตะโกนมา ปราบศึกรีบส่งสัญญาณบอกว่าอย่าส่งเสียงดัง

    “ผีเสื้อกินดินโป่งด้วยหรือคะ นึกว่าพวกสัตว์ใหญ่ ๆ เท่านั้นที่กิน” รักเดียวหันไปถามปราบศึกที่เดินอยู่ข้าง ๆ

    “ใช่ครับ” ปราบศึกยืนยัน แล้วเจ๊ะมูก็ชี้ไม้ชี้มือให้ทุกคนมองไปยังกลุ่มผีเสื้อกลางคืนสีดำขลับที่มารวมกันเป็นกลุ่มใหญ่บริเวณชะง่อนหินริมน้ำตก

    เจ๊ะมูแสดงความเป็นเจ้าบ้านที่ดีโดยการพาทุกคนไปนั่งตรงลานหินซึ่งห่างจากบริเวณดินโป่งไม่มากนัก แล้วอธิบายความแตกต่างของผีเสื้อกลางวันกับผีเสื้อกลางคืนว่า

    “ผีเสื้อกลางวันจะมีหลายสีครับ บางตัวลายพร้อยเชียวล่ะ ปีกและขนจะบางไม่เหมือนผีเสื้อกลางคืนที่มีแต่สีดำปีกและขนก็หนาไม่สวยเลยครับ...แต่ผีเสื้อกลางคืนมักจะอยู่รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ส่วนผีเสื้อกลางวันชอบอยู่แบบตัวใครตัวมันครับ” เด็กชายอธิบายอย่างฉะฉาน รักเดียวแอบชื่นชมความเฉลียวฉลาดของเจ๊ะมูก่อนจะเสริมว่า

    “พวกมันถูกสร้างขึ้นให้มีคุณสมบัติแตกต่างกันเพื่อความสมดุลของธรรมชาติและความอยู่รอดนะสิจ๊ะ” รักเดียวอธิบาย เจ๊ะมูพยักหน้าอย่างเข้าใจ

    “ธรรมชาตินี่ฉลาดจังนะครับ” เจ๊ะมูบอกแล้วสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดอย่างแช่มชื่นใจ

    “แต่มนุษย์ก็พยายามที่จะฉลาดเหนือธรรมชาติ พยายามสร้างโน่นสร้างนี่ขึ้นมาเพื่อขัดขืนต่อกฎเกณฑ์ของธรรมชาติและจะเอาชนะธรรมชาติ” เธอว่า


    “จริงด้วยครับ คุณครูที่โรงเรียนเล่าว่าคนพื้นล่างชอบโกงอายุตัวเองโดยการผ่าตัดดึงหน้าให้ดูไม่แก่ เสียเงินเสียทองแถมอาจมีอันตรายต่อไปภายหลังด้วย...ผมว่าคนเราเกิดมาก็ต้องโต...โตขึ้นก็ต้องแก่...แก่แล้วก็ต้องตาย ขนาดแม่ผมยังไม่ทันแก่ก็ตายเสียแล้ว”

    รักเดียวกำลังจะอ้าปากถามต่อแต่ปราบศึกกระซิบบอกเธอว่าเจ๊ะมูเสียแม่ไปเมื่อสองปีก่อนเพราะเป็นไข้ป่าตาย รักเดียวเลยกลืนคำถามเหล่านั้นลงคอไปแล้วเลื่อนมือไปลูบผมเด็กชายเบา ๆ และโอบไหล่ไว้หลวม ๆ เหมือนจะปลอบโยน

    “แต่ผมไม่เสียใจหรอกครับ พ่อบอกว่าแม่ยังอยู่กับเรา ยังกินข้าวด้วยกัน นอนด้วยกัน พูดและเฝ้าดูแลเราอยู่เหมือนเดิม แค่เราไม่เห็นและไม่ได้ยินเสียงเท่านั้น” เจ๊ะมูบอกด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่ได้สะทกสะท้านอะไรแม้แต่น้อย รักเดียวเสียอีกที่รู้สึกเศร้าสลดจนน้ำตาซึม


    “เอ่อ...รักว่าเรามาถ่ายรูปสวย ๆ เก็บไว้กันดีกว่านะคะ” รักเดียวหาทางเปลี่ยนเรื่อง เธอไม่ได้รู้ตัวเลยว่าเผลอแทนตัวเองด้วยชื่อเล่นซึ่งปราบศึกรู้สึกว่ามันฟังดูดีและไม่ห่างเหินเหมือนที่เคยเป็น

    งานถ่ายภาพตลอดสองชั่วโมงบริเวณน้ำตกมรกตและป่าต้นน้ำม่อนยะเสร็จลงอย่างง่าย ๆ รักเดียวได้ภาพผีเสื้อสวย ๆ กับดอกหญ้าสีสันแปลกตาและนายแบบน่ารัก ๆ อีกสองคน

    อาหารกลางวันเริ่มขึ้นอย่างสุดโรแมนติกริมน้ำตกมรกตที่ประกอบด้วยปราบศึก รักเดียว เจ๊ะมู ผีเสื้อหลากสี และแมลงนานาชนิด

    “เดี๋ยวพวกเราจะไปไหนกันต่อคะ” รักเดียวถามขณะเก็บอุปกรณ์

    “กลับบ้านครับ” เจ๊ะมูชิงตอบ ทำให้ปราบศึกที่กำลังช่วยเธอเก็บอุปกรณ์เหลียวมองมาตามเสียง

    “แหม...รู้ละเอียดแบบนี้เห็นทีคงไม่ต้องพึ่งมัคคุเทศก์กำมะลออย่างผมแล้วล่ะมั๊งครับ” ปราบศึกพูดขึ้นยิ้ม ๆ ทำนองว่าเจ๊ะมูกลายเป็นมัคคุเทศก์ตัวจริงไปเสียแล้ว รักเดียวหันมองเจ๊ะมูแล้วต่างพากันอมยิ้ม

    ที่นี่เป็นบ้านของเจ๊ะมูจึงดูเหมือนเขาจะชำนาญเส้นทางและมีความรอบรู้มากกว่ามัคคุเทศก์จำเป็นอย่างปราบศึกเสียอีก

    เจ๊ะมูเขาเดินลิ่ว ๆ นำอยู่หัวแถวขณะที่ทุกคนเดินเรียงหนึ่งตามมาติด ๆ เพื่อเดินทางกลับไปยังหมู่บ้านตามเวลาในโปรแกรม

    ช่วงบ่ายแก่ ๆ รักเดียวตามเก็บภาพและบันทึกเสียงสัมภาษณ์ชาวบ้านต่ออีกนิดหน่อย เมื่อเสร็จภารกิจแล้วเธอจึงพาตัวเองไปนั่งพักเหนื่อยอยู่ตรงลานดินหน้ากระท่อม กวาดสายตาหาปราบศึกแต่ก็ไม่เจอ

    ตั้งแต่เขาเป็นมัคคุเทศก์เดินป่ามาหลายปี พาลูกทัวร์ขึ้นมาที่นี่ก็บ่อยเสียจนรู้สึกธรรมดา แต่ไม่รู้เพราะอะไรที่ทำให้คราวนี้เขากลับรู้สึกแปลก ๆ ยิ่งในตอนนี้ดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่างทำให้หัวใจเขารุ่มร้อนขึ้นมาอย่างประหลาด

    เขาก้มลงหยิบสมุดบันทึกเล่มเล็กกับปากกาด้ามเก่าที่กองรวมอยู่กับบรรดากลีบดอกนางพญาเสือโคร่งสีชมพูอ่อนขึ้นมาค่อย ๆ เปิดหน้าแรก ไล่สายตาอ่านข้อความในนั้นด้วยหัวใจระทึก

             ...หกโมงเย็น ณ บ้านใต้ต้นลำไยของพี่จี
             ...พรุ่งนี้ฉันจะต้องออกเดินทางแล้วล่ะสิ ต้องเดินทางกับนายมัคคุเทศก์ปากมอมลำพังสองต่อสองซะด้วย แต่เอาเถอะ ฉันจะอดทนเพื่อจะได้เป็นนักเขียนตัวจริงสักที...
             ...“พรานดาว” คุณคือพี่ชายใจดีของฉัน ช่วยเป็นกำลังใจให้ฉันด้วย แล้วฉันจะรีบกลับมาตามหาคุณค่ะ...

    “พรานดาว” ปราบศึกรำพึงถึงชื่อนั้นอย่างคุ้นหู แล้วพลิกดูปากกาสีเงินด้ามเก่าในมือ รู้สึกว่ามันคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน

    ...............................................................................................................

    แก้ไขเมื่อ 24 พ.ค. 49 11:20:18

    จากคุณ : บุตรของเดือนและดาว - [ 24 พ.ค. 49 11:18:06 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป