 |
เกาเหลาเรื่อยเปื่อยชามที่ 1 : จุดเริ่มต้นของนักอยากเขียน
ตอนนี้ Blog โดนที่ทำงาน Block เลยขอมาเขียนที่นี่นะครับ
บางทีก็ให้นึกน้อยใจในวาสนาของตัวเองที่ทำมั๊ยทำไม ไม่เกิดมาในตระกูลที่มีนามสกุลดังๆ หรือไม่ก็เกิดมามีพ่อเป็นนักเขียนดังๆ จะได้อาศัยบารมีพ่อแจ้งเกิดในวงการน้ำหมึกกะเค้าบ้าง หรืออย่างแย่ที่สุด ก็เกิดมามีหน้าตาหล่อเหลาเอาเรื่อง ไม่หล่อหลบในแบบทุกวันนี้ จะได้อาศัยความหล่อผันตัวเองเข้าสู่วงการบันเทิงจนอาจกลายเป็นดาวรุ่งแบบใครหลายๆ คน และพอดังแล้วจะได้เอาเรื่องของตัวเองมาปั่นลงหน้ากระดาษส่งสำนักพิมพ์ เผื่อยอดขายจะถล่มทลายกะเค้าบ้าง
ข้อความข้างบนเป็นเพียงบางแง่มุมของความคิดตัวเอง ไม่ได้ตั้งใจจะให้กระทบใครนะครับ ถ้าหากว่าไปทำร้ายจิตใจใครเข้าก็ต้องขอโทษด้วย
นั่นคือเรื่องที่เพียงคิดว่า แหม! ถ้าเป็นอย่างนั้นมันก็จะดีไม่น้อย แต่พอมาดูชีวิตจริงๆ เข้า ก็พบว่าตัวเองเกิดมาในครอบครัวที่พ่อแม่ไม่ได้มีการศึกษาอะไรดีเด่เลยแม้แต่น้อย เพราะทั้งคู่จบเพียง ป.4 มีอาชีพทำอาหารขาย แม้จะไม่ใช่พวกข้าวแกงแต่ก็ใกล้เคียง อาศัยว่าพ่อพูดภาษาจีนได้คล่องเลยเป็นพ่อครัวอาหารจีนอยู่ในโรงแรมที่มีดาวน้อยกว่า 2 ดวง หาเงินส่งเรามาจนจบปริญญามีความรู้มากกว่าพ่อแม่รวมกันซะอีก
สิ่งที่พ่อแม่ปลูกฝังให้เรามาตั้งแต่อยู่ในท้องคือ การอ่าน แม่เคยเล่าว่าแม่อ่านหนังสือมาตั้งแต่ยังไม่รู้จักพ่อ จนแม่ท้องเราแม่ก็ยังอ่านหนังสือ จนเราเคยเผลอคิดว่า ตอนคลอดเรานี่แม่เอาหนังสือเข้าไปนอนอ่านด้วยหรือเปล่าหนอ แต่ถึงไม่ใช่ก็ใกล้เคียง เพราะแม่อ่านหนังสือหลังจากคลอดเราได้ไม่นาน อ่านในโรงพยาบาลนั่นแหละ แม่บอกว่าตอนนั้นกำลังติดเรื่องเพชรพระอุมา อ่านจนพยาบาลบ่นเลยแหละ นี่ถ้าหมอให้เอาหนังสือเข้าห้องคลอดได้ก็คงเอาเข้าไปด้วยแหละ
ส่วนพ่อก็เป็นนักอ่านตัวยงคนนึงกะเค้าเหมือนกัน แม้พ่อจะไม่ค่อยเล่าอะไรให้เราฟังมากนัก แต่พ่อก็มักพาเราไปหาคุ้ยหนังสือเก่า ตามแผงริมถนนเยาวราชเสมอๆ
ดังนั้นบ้านเราจึงไม่เคยขาดแคลนหนังสือเลยตั้งแต่จำความได้หนังสืออยู่ใกล้เราเสมอมา เริ่มตั้งแต่ยังอ่านหนังสือไม่ออกก็มีหนังสือการ์ตูนมาให้ดูรูป แม้ไม่มีใครอ่านให้เราฟัง แต่เราก็อยากเข้าใจได้จากรูปประกอบ นี่คงเป็นส่วนผลักดันให้เราอยากไปโรงเรียนตั้งแต่จำความได้ จะได้อ่านตัวหนังสือการ์ตูนออกไง
พอเราเริ่มโต หนังสือในบ้านเราก็เริ่มเยอะตามอายุของเราที่เพิ่มขึ้น เยอะจนเราเคยลองเอามาตั้งเรียงกันแล้วพบว่ากองหนังสือนั้นสูงกว่าเราเข้าไปทุกเดือนๆ
ยิ่งตอนจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยนี่ เฉพาะหนังสือสำหรับเตรียมตัวสอบนี่เรียงสูงเท่าๆ กับตัวเราถึง 2 กอง จนพ่อบ่นว่าเราจะบ้าซื้อหนังสือ เอาไปเผาตัวเองหรือไง
ก็แหม พ่อก็นักอ่าน แม่ก็นักอ่าน มีลูกไม่เป็นนักอ่านมันก็คงเกิดการกลายพันธุ์แบบ X-Men ตั้งแต่ตอนอยู่ในท้องแม้แล้วแหละ ดังนั้นจึงไม่แปลกว่าอาการบ้าหนังสือมันจะถ่ายทอดมาทางพันธุกรรมบ้าง
หนังสือที้บ้านเราก็มีทุกประเภท ขอเน้นว่าทุกประเภทจริงๆ แต่ความสนใจของเรานั้นเปลี่ยนไปตามวัย แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงคือเราให้ความสนใจกับหนังสือการ์ตูนตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบัน และคาดว่าอาจจะมีอายุความสนใจยืนยาวไปถึงวันที่เราลงโลงไปด้วย พอโตขึ้นมาเข้าสู่วัยรุ่นก็เริ่มสนใจหนังสือต้องห้ามซึ่งก็ต้องแอบอ่าน และถ้าจะบอกว่าความสนใจในภาษาอังกฤษของเราเริ่มจากหนังสือแบบนั้นก็คงไม่ผิดนัก ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ภาษาอังกฤษของเราจะไม่ได้เรื่อง เพราะไอ้ที่เรียนในห้องเรียน กะในหนังสือปลุกใจมันคนละเรื่องกันเลย
จนเริ่มเรียน ม.ต้นตอนปลาย หัวใจแตกพาน ก็เริ่มสนใจหนังสือนิยายกุ๊กกิ๊กๆ แนววัยรุ่นตามสมัยนิยม ก็หามาอ่านได้แทบทุกฉบับ สมัครเป็นสมาชิกอีกด้วย มีการเขียนไปคุยกับ บก. และ ตบท้ายด้วยประกาศหา Pen Friend โดยใช้ชื่อที่คิดว่าน่ารักที่สุดในโลก
ได้ผลครับ หลังจากนามแฝงและที่อยู่เราประกาศลงในหนังสือได้ไม่นานจดหมายก็ถูกร่อนมาหาเราจนบุรุษไปรษณีย์หลังแอ่น แถมบ่นอีกว่าอยากเห็นหน้าเด็กคนนี้จริงๆ ว่าเป็นใครเสน่ห์มันถึงแรงขนาดนี้
จริงๆ ตอนนั้นก็อยากบอกแหละว่าผมเองเป็นเจ้าของนามแฝงนี้ แต่ด้วยเกรงว่าไปรษณีย์จะถึงกับอ้วกแตกอ้วกแตนออกมา เพราะชื่อที่เราใช้มันไม่รับกับใบหน้าเราเลยแม้แต่น้อย ก็เลยอุบไว้ ให้เป็นปริศนาไปรษณีย์มาจนถึงทุกวันนี้
พอได้จดหมายเราก็บรรจงแกะซองออกอ่านทีละฉบับเริ่มจากฉบับบนสุด (ก็ใครจะไปอ่านทีละหลายๆ ฉบับได้ล่ะ จริงมั๊ย) เป็นผู้ชายเขียนมาจีบเราอ๊ะ หยึย! เราอ่านไม่จบหรอก รีบเปลี่ยนเป็นฉบับถัดไปก่อนที่เราจะหลงคารมไปซะก่อน เชื่อมั๊ยร้อยละ 99 เป็นผู้ชายเขียนมาหาเรา บางคนแนบรูปมาด้วย แต่มีผู้ชายเพียงคนเดียวที่เราเลือกตอบ ก็จะไม่ให้ตอบได้อย่างไรล่ะ ในเมื่อจดหมายฉบับนี้เป็นจดหมายไม่ได้ติดแสตมป์ ไม่มีรูปถ่ายแนบมา กระดาษก็เป็นกระดาษสมุดที่ฉีกออกมาจากเล่มอีกต่างหาก แต่สิ่งที่ผลักดันให้เรารีบตอบคือเนื้อหาในจดหมายมากว่า เค้าเขียนมาว่า
ผมเป็นนักโทษอยู่เรือนจำบางขวางครับ มีความสนใจจะคุยกับคุณ...มาก นี่ก็ใกล้จะพ้นโทษแล้ว กะว่าถ้าพ้นโทษเมื่อไหร่จะแวะไปทำความรู้จักกับคุณที่บ้านหวังว่าคงไม่รังเกียจนะครับ
ลงชื่อ(จำไม่ได้)
ปล. ผมต้องโทษคดีฆ่าคนตายครับ แต่ตอนนี้กำลังจะได้รับอภัยโทษ
ข้อความที่เราตอบไปคือ
ขอโทษด้วย พอดีสอบติดได้ทุนไปเรียนต่อต่างประเทศ คงอีกหลายปีกว่าจะกลับ ยังไงไว้กลับมาค่อยคุยกัน
ลงชื่อ (นามแฝงอันแสนจะน่ารักของเรา)
จนถึงวันนี้เราก็ยังไม่เคยเขียนจดหมายไปหาเค้าอีกเลย ไม่ได้รังเกียจ แต่เกรงว่าเค้าจะก่อคดีขึ้นอีกรอบเมื่อพบว่าเจ้าของนามแฝงกะใบหน้ามันไม่เข้ากัน
เราไม่ได้หลอกใครนะ เราเป็นผู้ชายทั้งแท่งเพียงแค่ชื่อเรามัน Unisex ไปหน่อยเท่านั้นเอง หลายคนเลยพาลคิดว่าเราเป็นผู้หญิงไปซะนี่
จากคุณ :
ปีกไม้หอม
- [
25 พ.ค. 49 11:51:53
]
|
|
|
|
|