CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    >>>..."รักอลวน หัวใจอลเวง"... ตอนที่ 9 แล้วครับ... <<<

    >>> K. Scottie : ขอบคุณครับเรื่องที่อุตส่าห์คอมเมนท์...แต่ปากกาที่ผมหมายถึงน่ะเป็นปากกาด้ามโลหะที่เปลี่ยนไส้ได้ครับทูนหัว...((ปากกายี่ห้อดี ๆ ส่วนใหญ่มีไส้เปลี่ยนนะครับ))…
    .................................................................................

        >>> K. tebbei : ขอบคุณครับที่เข้ามาติดตาม…ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ…
    .................................................................................................

        >>> K. ก๊อตซิลล่า : ดีใจจังที่ยังไม่ลืม อุตส่าห์(ทวง)ถามเรื่องสายสะดือ…
             การยัดสายสะดือทารกใส่กระบอกไม้ไผ่แทนการนำไปฝังเพื่อไม่ให้แร้งกาหรือสัตว์มาคุ้ยเขี่ยครับ…
             และที่ต้องผูกกับต้นไม้ก็เพื่อผูกขวัญหรือจิตวิญญาณของเด็กคนนั้นไว้กับต้นไม้…เหมือนเป็นกุศโลบายของคนท้องถิ่นที่จะให้ทุกคนช่วยกันดูแลรักษาต้นไม้ให้เหมือนที่ดูแลลูกหลานตัวเองไงครับ (ตอบซะยาว…ว…เชียว แฮะ ๆ ...)
    ...............................................................................................

        >>> K. พีทคุง : ลองอ่านต่อๆ ไปก็จะพบว่า “พรานรบ” ไม่ธรรมดาแน่นอนครับ
    ....................................................................................................

        ตอนที่แล้ว...
    http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W4396831/W4396831.html
    ....................................................................................................

        ตอนที่ ๙ “ค้นหาความจริง”

    คืนสุดท้ายบนดอยที่อากาศยังคงหนาวเหน็บแต่หัวใจรักเดียวกลับอบอุ่น ปราบศึกชวนเธอมานั่งผิงไฟบนลานดินหน้ากระท่อม ดูดาวและเผามันกินอย่างมีความสุข

    ท่ามกลางคำถามมากมายในใจ ปราบศึกปล่อยสายตาตัวเองให้ลอยผ่านสายลมว่างเปล่าไปสู่เวิ้งฟ้ากว้าง คิดเรื่องโน้นเรื่องนี้จนใจว้าวุ่น  ส่วนรักเดียวยังเพลิดเพลินอยู่กับการโยนมันเทศใส่กองไฟที่กำลังลุกช่วงโชติอยู่เบื้องหน้า

    “คุณปราบ...”

    รักเดียวต้องเรียกชื่อเขาถึงสองครั้งกว่าเจ้าตัวจะได้ยินและหันมอง

    “เป็นอะไรไปหรือเปล่าคะ เอ้...หรือว่าคิดถึงยายพลอย มันก็น่าคิดถึงอยู่หรอกนะ ถ้ามีคนที่เรารักมานั่งด้วยกันตอนนี้คงจะดี...โรแมนติกน่าดูเลยล่ะ” เธอพูดขณะใช้ไม้ไผ่ยาวที่ปราบศึกเคยเหลาไว้ให้ใช้ตอนเดินป่าเขี่ยมันเทศที่คิดว่าสุกได้ที่ออกมาจากกองไฟและวางพักไว้ให้อุ่น

    “พลอยเค้าคงชอบบรรยากาศดี ๆ แบบนี้เหมือนกันล่ะครับ” เขาบอกเสียงเลื่อนลอยอย่างนึกทวนถามตัวเองว่าเคยชวนพลอยสีขึ้นมาเที่ยวที่นี่บ้างไหม คำตอบก็คือ...เขาไม่เคยเอ่ยปากชวนเธอเลยสักครั้ง เขาไม่กล้าทำสิ่งดี ๆ เพื่อเป็นการยืนยันให้พลอยสีแน่ใจเลยว่าเขารู้สึกอย่างไร...แม้แต่เรื่องจะบอกรัก เขาก็ยังอมพะนำมาจนป่านนี้...

    รักเดียวสังเกตเห็นอาการล่องลอยของเขาเธอก็แกล้งทำเสียงสูดลมหายใจเข้าออกเหมือนว่าสดชื่นเสียมากมายก่อนจะหยิบมันเทศที่เริ่มอุ่นขึ้นมาเป่า ๆ ถู ๆ ก่อนจะค่อย ๆ ลอกเปลือกออกเผยให้เห็นเนื้อในสีเหลืองน่ารับประทาน

    “อืมม์...หอมดีจัง” ว่าแล้วก็งับเข้าปากไปคำหนึ่ง ภาพที่ทำให้ปราบศึกเผลออมยิ้มออกมาก็คือขอบปากของเธอเปรอะไปหมด

    “อร่อยดีจังค่ะ...ความจริงฉันไม่ค่อยชอบกินพวกมันต้ม มันเผาเลยล่ะค่ะ คิดว่ามันดูจืดชืด จะหามากินเมื่อไหร่ก็ได้เพราะมีขายเกลื่อนไปหมด ไม่คิดเลยว่าจริง ๆ แล้วมันอร่อยมากแค่ไหน” รอยบุ๋มที่แก้มด้านซ้ายปรากฏขึ้นเมื่อเธอแลบลิ้นเลียขอบปาก

    “ผมว่ามันขึ้นอยู่กับว่าเรากินที่ไหน กินกับใครต่างหากล่ะ” เขาว่า แต่ก็ต้องสะดุดกับคำพูดของตัวเอง แล้วคำถามหนึ่งก็ผุดขึ้นในใจ...ถ้าข้าง ๆ เขาในตอนนี้คือพลอยสี เขาจะรู้สึกอบอุ่นและสุขใจแบบนี้ไหมนะ...

    “ฉันชอบดูดาวจังเลยค่ะ โดยเฉพาะการได้ดูดาวบนที่สูง ๆ แบบนี้ ดูแล้วสบายใจดี” เธอพูดขึ้นทั้งที่ปากยังเคี้ยวตุ้ย ๆ

    “ฮื่อ...ผมก็ว่าอย่างนั้นล่ะ การดูดาวทำให้รู้สึกเหมือนเราได้โลดเล่นอยู่ในความฝันที่งดงาม ผมเคยคิดว่าถ้าบินได้ก็คงดี ผมจะได้บินขึ้นไปอยู่ใกล้ ๆ ดาวสวย ๆ พวกนั้น” เขาบอกพลางโยนมันเทศใส่ในกองไฟแล้วใช้ไม้ไผ่ยาวพลิกไปมา

    รักเดียวฟังความคิดเหนือจินตนาการของเขาแล้วก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าผู้ชายมาดเข้มหัวอนุรักษ์นิยมอย่างเขาจะคิดอะไรเหมือนเด็ก ๆ แบบนั้นได้

    “ฉันว่าการดูดาวแล้วทำให้นึกถึงตอนเด็ก ๆ ค่ะ...” เธอพูดแล้วก็ให้หวนไปนึกถึงเรื่องราวในอดีต แต่ก็ต้องรีบสลัดความคิดเหล่านั้นออกไปเพราะมันเก่าคร่ำครึเกินกว่าจะรื้อฟื้นเสียแล้ว

    “คนเราพอโตเป็นผู้ใหญ่ก็มีภาระเยอะแยะจนสมองตีบตัน การได้แหงนหน้ามองฟ้าดูดวงจันทร์ดวงดาวก็ช่วยให้ผ่อนคลายและหายเครียดได้นะคะ”

    “นั่นสินะ...ตอนเด็ก...มีเรื่องหนึ่งนะ...เอ่อ...” แวบหนึ่งในความคิดเขาเกือบจะถามพรวดขึ้นแล้วแต่แล้วก็ต้องชะงัก

    ...เขาจะเริ่มต้นคำถามว่าอย่างไรดีล่ะ ถามว่าเธอไปเอาปากกาด้ามนั้นมาจากไหนอย่างนั้นหรือ... ถ้าเธอเกิดตอบออกมาว่าเจอมันตกอยู่ข้างทางตอนเดินไปจ่ายตลาดเมื่อหลายวันก่อนล่ะ...เขาคงไม่รู้จะถามว่ายังไงต่อ

    “มีอะไรคะ...คุณจะถามอะไรฉันหรือเปล่า”

    “ปะ...เปล่าครับ” เขาส่ายหน้าและเลิกคิดจะหาคำตอบจากเธออีก


    ความจริงเขาควรไปหาคำตอบจากเจ้าตัวมากกว่าและความจริงเรื่องปากกาบ้าบอนั่นมันก็ไร้สาระเกินกว่าจะเก็บเอามาขบคิดให้ปวดสมอง ปราบศึกนึกขำความไร้สาระของตัวเองที่เอาแต่หมกมุ่นกับเรื่องไม่เป็นเรื่องเหล่านั้นอยู่ได้

    และไม่ว่าคำตอบที่ได้รับจะเป็นยังไงก็ไม่เห็นเกี่ยวหับเขาเลยนี่นา...ถ้ารักเดียวเป็นเด็กผู้หญิงคนนั้นจริง ๆ แล้วยังไงล่ะ หรือถ้าเธอเก็บปากกาด้ามนั้นมาจากข้างถนนแล้วจะทำไม...เปล่าประโยชน์ที่จะต้องค้นหาคำตอบให้เสียเวลา

    “เสร็จจากงานทำสกู๊ปนี่แล้วคุณยังอยากขึ้นมาที่นี่อีกไหมครับ”

    “แน่นอนค่ะ...ถ้ามีเวลานะคะ...และถ้าเป็นไปได้ฉันก็อยากชวนพี่จีกับยายพลอยมาด้วย สองคนนั่นต้องชอบดูดาวแน่ ๆ” รักเดียวหุบยิ้มฉับพลันเมื่อนึกถึงสกู๊ปที่ต้องรีบทำส่งหัวหน้า

    “พูดถึงสกู๊ปที่จะต้องทำส่งหัวหน้าแล้วฉันก็กลุ้มใจค่ะ ฉันไม่ค่อยเก่งเรื่องสำบัดสำนวนเท่าไหร่หรอก ความจริงฉันทำหน้าที่นักเขียนตัวสำรองมากกว่า” เธอบอก ปราบศึกเลิกคิ้วมองเธออย่างไม่เข้าใจ เธอจึงอธิบายกลับมาว่า

    “ก็ถ้าปักษ์ไหนมีคอลัมน์ว่าง ๆ หรือนักเขียนประจำคอลัมน์ส่งงานไม่ทัน งานเขียนของฉันถึงจะมีโอกาสขึ้นแท่นตีพิมพ์...นี่ล่ะค่ะที่เค้าเรียกว่านักเขียนตัวสำรอง” ว่าแล้วเธอก็หัวเราะแห้ง ๆ ความที่ดันป่าวประกาศให้เขารู้ว่าฝีมือเธอมันกระจอกแค่ไหน

    “ฝีมือคุณคงไม่แย่ขนาดนั้นหรอกมั๊ง...แค่คุณเขียนจากความรู้สึกที่แท้จริง เน้นความเป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุด...ผมว่ามันขึ้นอยู่กับมุมมองของคนอ่านนะครับ บางคนสำนวนการเขียนไม่ดี แต่เรื่องราวน่าสนใจก็สามารถทำให้คนอ่านประทับใจได้นะครับ” เขาให้กำลังใจ

    “ฮื่อ...ฉันเองก็กำลังพยายามอยู่ค่ะ พยายามที่จะเป็นตัวของตัวเองไม่ลอกเลียนใคร” รักเดียวบอกอย่างตำหนิตัวเองที่ก่อนนี้เคยคิดจะลอกแบบแนวการเขียนจากนักเขียนเก่ง ๆ

    “ดีครับ ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จก็อยู่ที่นั่น...ฟังดูอาจจะโบราณไปสักหน่อยนะ” เขาหัวเราะแห้ง ๆ เพราะที่พูดไปก็ฟังดูล้าสมัยจริง ๆ รักเดียวพยักหน้ารับคำสอนของเขาโดยดี

    “แล้วก็ผมจะคอยเป็นกำลังใจให้นะครับ” เขาบอกด้วยน้ำเสียงจริงใจแล้วพาดมือข้างหนึ่งลงบนบ่าเธออย่างลืมตัว เมื่อนึกได้เขาก็รีบถอนมือกลับแกล้งหยิบมาเผาที่เริ่มอุ่นขึ้นมากินแก้เก้อ ส่วนรักเดียวเอนหลังพิงท่อนไม้และกอดอกดูดาวอย่างทอดอารมณ์


    ไอร้อนจากกองไฟทำให้ปราบศึกกับรักเดียวรู้สึกอุ่นสบาย และไม่รู้ว่าสายลมระลอกไหนที่พัดมาเป่ามนต์ให้รักเดียวเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว

    ปราบศึกไม่ปลุกเธอแม้ว่านาฬิกาข้อมือจะบอกเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว เพราะเขายังอยากนั่งมองเธออยู่อย่างนี้...ไม่รู้ทำไมเขาถึงได้รู้สึกมีความสุขมากมายจนล้นหัวใจ...ถ้าข้าง ๆ เขานี้คือพลอยสีล่ะ เขาจะรู้สึกแบบนี้ไหมนะ...

    “บ้าน่า...” เขาเอากำปั้นทุบศีรษะตัวเองเบา ๆ เหมือนจะปลุกให้ตื่น...ตื่นจากความคิดเพ้อเจ้อไม่ได้เรื่องอย่างนั้น

    ...ความจริงเขาก็เป็นผู้ชายธรรมดา ๆ คนหนึ่ง การจะนอกลู่นอกทางเผลอไผลไปแอบชื่นชมผู้หญิงคนอื่นที่ไม่ใช่แฟนบ้างก็คงเป็นเรื่อปกติ...เขาคิดอย่างเข้าข้างตังเอง

    ปราบศึกช้อนร่างบอบบางนั้นพาไปยังที่พักของเธอ คลี่ผ้าห่มคลุมตัวและเลื่อนมือไปปัดปลายผมที่ระอยู่ข้างแก้มให้อย่างอ่อนโยน หัวใจเขาเต้นโครมครามจนกลัวเหลือเกินว่าเธอจะได้ยิน แต่แล้วก็ต้องส่ายหน้าขำ ๆ

    “ผู้หญิงอะไรหลับลึกขนาดนี้ ถ้ามีใครมาทำมิดีมิร้ายจะว่าไงเนี่ย” เขาบ่นให้กับภาพที่เห็นแล้วก็รีบพาตัวเองกลับออกไป

    เสียงปลุกจากโทรศัพท์มือถือของรักเดียวดังขึ้นในเวลาหกโมงเช้า ความจริงเธอยังอยากซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มอุ่นตราบนานเท่านาน

    แต่ความที่อยากเก็บภาพความทรงจำงดงามของที่นี่ไว้ให้ได้มากที่สุดก่อนเดินทางกลับจึงต้องกัดฟันลุกขึ้น อากาศที่หนาวเหน็บทำให้เธอไม่คิดจะอาบน้ำ เธอเพียงหยิบอุปกรณ์ทำความสะอาดเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าแปรงฟันเท่านั้น

    พอล้างหน้าเสร็จก็รู้สึกสดชื่นขึ้นจนนึกสงสัยว่าเธอกลับเข้าไปนอนในกระท่อมของตัวเองได้ยังไง จำได้ว่าเผลอหลับไปตอนเกือบเที่ยงคืนนี่นา...

    “บ้าจริง...หรือว่านายปราบศึกเป็นคนอุ้มเราไปส่งที่ห้องกันล่ะ” เธอหาคำตอบให้ตัวเองได้แล้วก็รู้สึกว่าหน้าชาจนต้องรีบโกยอ้าวออกจากห้องน้ำ เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ที่กะทัดรัดเหมาะสำหรับการเดินทางกลับ

    ฟ้าเริ่มมีแสงอ่อน ๆ ส่องให้พอมองเห็นทาง รักเดียวเดินเล่นอยู่บริเวณลานดินหน้ากระท่อม ทอดมองเถ้าถ่านและเศษซากมันเผาในกองไฟที่มอดดับตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

    ดูเหมือนภาพที่เห็นนี่จะสะกิดเตือนเธอว่างานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา...สักวันเธอจะกลับมาที่นี่อีก แต่จะมีโอกาสได้มากับเขาอีกไหมหนอ...

    เธออยากหยิบสมุดบันทึกขึ้นมาเขียนบรรยายความรู้สึกเศร้า ๆ ในตอนนี้ แต่นึกได้ว่ามันไม่อยู่เสียแล้ว  ปากกานำโชคของเธอก็หายไปด้วย เธอสลัดความอาลัยอาวรณ์ทั้งหมดออกไปจากสมองแล้วยืดอกบอกตัวเองอย่างเข้มแข็งว่า

    “ภาระหน้าที่ต่อไปของฉันก็คือการเขียนสกู๊ปที่ดีที่สุดให้หัวหน้าได้เห็นฝีมือสักที...แล้วฉันจะรีบกลับไปตามหาคุณค่ะ...พรานดาว...พี่ชายใจดีของฉัน”

    นาทีแห่งการจากลามาถึงในเวลาแปดโมงครึ่ง ปราบศึกขนข้าวของทุกอย่างของตัวเองกับลูกทัวร์ใส่รถ  และปล่อยเวลาให้รักเดียวได้กล่าวอำลาบรรดาเพื่อนใหม่อย่างเต็มที่

    ผู้ใหญ่ติ๊ซือหิ้วหน่อไม้ป่ามาให้มัดหนึ่ง เจ๊ะมูร้อยดอกบัวตองเป็นมาลัยพวงเบ้อเร่อคล้องคอเธอราวกับเธอเป็นนักการเมืองมาหาเสียง แต่เธอก็รู้สึกปลาบปลื้มจนหัวใจพองโต...สิ่งเหล่านั้นคงแทนความรู้สึกดี ๆ จากพวกเขา...

    รถโฟร์วีลด์ล้อเกรอะโคลนของปราบศึกค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกจากหมู่บ้านม่อนยะด้วยสายตาอาวรณ์ของรักเดียว

    การนั่งรถผ่านเส้นทางเดิมที่แสนจะขรุขระและคดเคี้ยวไม่ได้ทำให้รักเดียวรู้สึกเวียนหัวเหมือนตอนมา  แต่จะเป็นเพราะเหตุผลอะไรก็ตามเธอรู้เพียงว่าอยากให้ปราบศึกขับรถให้ช้าที่สุดเท่าที่จะช้าได้ เพื่อให้เธอได้เก็บเกี่ยวความสวยงามของทัศนียภาพตลอดสองข้างทางไว้ในความทรงจำได้มากที่สุด

    ปราบศึกพอจะมองออกว่าลูกทัวร์ของเขารู้สึกผูกพันกับที่นี่ไม่น้อย เขาแอบสัญญากับตัวเองในใจว่าจะชวนเธอขึ้นมาที่นี่อีก...เพียงแค่เธอจะตอบตกลงเท่านั้น...

    จากคุณ : บุตรของเดือนและดาว - [ 26 พ.ค. 49 18:43:27 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป