เครื่องแก้วชั้นเลิศแค่ไหน.... เมื่อแตกร้าวก็ไม่สามารถทำให้กลับคืนเหมือนเดิมได้
อันสายน้ำก็มิอาจไหลย้อนกลับ....แล้วความรักของเราล่ะ จะหวนคืนหรือไม่.....
++++++++++++++
ทุ่งดอกทานตะวันบานสะพรั่ง เหมือนจะแข่งเทียบชั้นรัศมีของแสงอาทิตย์ ดูเหลืองอร่ามจนเหมือนทุ่งกว้างแห่งนี้จะฉาบไปด้วยสีทอง แสงแดดที่แรงกล้าสาดส่องกระทบกลีบมวลดอกไม้ยามเที่ยงวัน จนดูตาพร่ามัว หญิงสาวร่างบางภายใต้เสื้อเชิ้ตสีขาวตัวหลวมกับกางเกงยีนส์ สวมรองเท้าผ้าใบพร้อมสะพายเป้ ยกมือขึ้นป้องใบหน้าที่เริ่มจะปวดแสบปวดร้อนเพราะความร้อนที่แทบจะเผาไหม้ทุกสิ่งทุกอย่าง เธอก้าวเท้าเหยียบย่ำไปตามทางเดินแคบ ๆ ของร่องทุ่งดอกทานตะวันที่เกลื่อนไปด้วยใบไม้แห้งกรอบดังสวบสาบ สายลมพัดพลิ้วหวีดหวิว เสียงนกโผผินบินหนี กระพือปีกดังพรึบพรึบ ทันทีที่โดนบุกรุกในถิ่นหากิน ธรรมชาติรอบตัวเหมือนดนตรีขับกล่อม
หญิงสาวหยุดสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ ยกมือขึ้นป้ายเช็ดเหงื่อที่ผุดอยู่ริมขมับทั้งสองข้าง ด้วยผ้าเช็ดหน้าขลิบลาย ลูกไม้สีขาว สายตาของเธอยังจดจำภาพเหล่านี้ได้ดีแม้ยามหลับตา หัวใจเธอยังร่ำร้องที่จะกลับมาที่นี่เสมอทุกปี ไม่เคยว่างเว้น ปีนี้ก็เป็นปีที่ห้าแล้วสินะ อดีตถึงปัจจุบันทุ่งทานตะวันแห่งนี้ก็ไม่เคยเปลี่ยน แต่ที่เปลี่ยนไปคือไร้ซึ่งเงาของเขามาเคียงข้าง วันนี้ของทุกปีเธอจึงต้องมาตามหาความทรงจำ เพราะเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เธอจะมีกำลังใจอยู่ต่อไปได้ด้วยหัวใจที่ยังรักและไม่เคยลืม
จุดหมายปลายทางของเธอบัดนี้อยู่ตรงเบื้องหน้าแล้ว เพิงไม้ขนาดเล็กมีไว้สำหรับเจ้าของไร่ มานั่งพักเพื่อดูแลทุ่งดอกทานตะวัน ตั้งเด่นอยู่บนเนินเล็ก ๆ หญิงสาวแย้มยิ้มกับตัวเอง ในที่สุดก็ได้พักขาสองข้างอันเริ่มเมื่อยล้า สิ่งแรกที่เธอทำทันที เมื่อพาตัวเองไปนั่งลงบนแคร่เพิงไม้มุงด้วยหญ้าคา คือเหลือบสายตามองไปทางด้านขวามือไม่ห่างจากตัวมากนัก กระเจี๊ยบป่าผลิดอกออกผลแดงปลั่งอยู่หลายต้น ทั้งที่เมื่อห้าปีที่แล้วมีเพียงแค่สองต้นเท่านั้น รอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏขึ้นบนเรียวปากเมื่อนึกถึงคำสนทนาในอดีตระหว่างเธอกับชายหนุ่มที่ชื่อตะวัน
ปลายฟ้า คุณรู้ไหมไอ้นี่มันกินได้
จริงหรือคะ ชายหนุ่มส่งยิ้มมาให้
จริงสิ ไม่เชื่อเดี๋ยวฉันจะกินให้ดู มันเป็นพืชสมุนไพรนะ กินแล้วมีประโยชน์
ว่าแล้วชายหนุ่มที่ชื่อตะวันก็กัดผลกระเจี๊ยบป่า เคี้ยวด้วยท่าทางเหมือนจะอร่อยเสียเต็มประดา
เป็นไงบ้างคะรสชาติ ปลายฟ้าถามด้วยความสงสัย
อืมม์ อร่อย หวานเชียว นัยน์ตาหญิงสาวเป็นประกาย ด้วยท่าทางอยากลองบ้าง
งั้น ขอฟ้าชิมหน่อยนะคะ
ตะวันรีบยื่นผลกระเจี๊ยบที่มีร่องรอยตัวเองกัดกินคำเล็ก ๆ ไปให้หญิงสาวตรงหน้าได้ลองชิมรสชาติตามคำโฆษณาชวนเชื่อ ที่เขาแกล้งพูดไม่จริงออกไป พร้อมกลั้นยิ้ม เมื่อปลายฟ้าเอาส่วนที่เหลือเข้าปากไปทั้งลูก แล้วเคี้ยวแก้มป่อง
ยี้...ไม่เห็นหวานเลย เปรี้ยวจะตาย ปลายฟ้าโวยวาย นี่ พี่ตะวันแกล้งฟ้าเหรอ
หญิงสาวตาหยี สะบัดหน้าด้วยความเปรี้ยวของผลกระเจี๊ยบป่า จะต้องเอาคืนผู้ชายตัวโตที่ยืนหัวเราะชอบใจตรงหน้าให้ได้ ว่าแล้วปลายฟ้าก็ตรงไปที่ต้นกระเจี๊ยบป่า ปลิดมาได้ก็ยัดใส่ปากคนชอบแกล้ง
หวานใช่ไหม พี่ตะวันต้องกินเยอะ ๆ
ภาพที่ตามมา คือ คนทั้งคู่วิ่งไล่หนีกันให้วุ่นไปทั่วไร่ทุ่งดอกทานตะวัน เสียงหัวเราะของคนวิ่งหนีและคนไล่ตาม ยังดังก้องกังวานอยู่ในโสตประสาทของปลายฟ้า หญิงสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ พลางเดินตรงไปที่กอต้นกระเจี๊ยบป่า ปลิดผลของมันติดมาเต็มกำมือ แล้วนำไปยัดใส่ในกระเป๋าเป้ ตั้งใจจะนำกระเจี๊ยบป่ากลางไร่ดอกทานตะวัน จังหวัดลพบุรี กลับไปกรุงเทพฯ เสียงฝีเท้าย่ำสวบสาบทางเบื้องหลัง ทำให้หญิงสาวรีบหันหน้าไปมอง สีหน้าบ่งบอกถึงความตกใจอย่างเห็นได้ชัด
อ้าว นี่หนูอีกแล้วเหรอ ลุงนึกว่าใคร
หญิงสาวผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งอก เหมือนเมื่อครู่เธอได้หยุดชะงักการหายใจไว้ชั่วคราวด้วยความตกใจ
ค่ะลุงสิน นี่ปลายฟ้าเอง
ลุงสินคือเจ้าของไร่ทุ่งดอกทานตะวันแห่งความหลัง เธอมาที่นี่ทุกปี จนสนิทและคุ้นเคยกับลุงเจ้าของไร่ เป็นอย่างดี ถูกอัธยาศัย ใจคอ บางครั้งก็นั่งคุยกันได้เป็นวัน ๆ
วันนี้คุณป้าไม่ได้ตามมาเข้าไร่ด้วยหรือคะ
ปลายฟ้าถามถึงภรรยาคู่ใจที่มักติดตามมาที่ไร่ด้วยกันเสมอทุกครั้งเมื่อยามเธอมาที่นี่ แต่ครั้งนี้กลับไม่เห็น
ไม่มา ไปทำบุญปีใหม่ที่วัดในตัวเมืองกับญาติ ยังไม่กลับมาเลย ปลายฟ้าพยักหน้ารับรู้
ปีนี้ดอกทานตะวันสวยมากเลยนะคะ ดูเหมือนว่าจะสวยกว่าทุกปี
อืมม์...ใช่ ปีนี้ดินฟ้าอากาศเป็นใจ อีกอย่างไร่ของลุงอยู่ลึกเข้ามา ไม่ได้อยู่ติดถนนเหมือนไร่คนอื่น นักท่องเที่ยวเลยไม่ค่อยเข้ามา เพราะต้องเดินเข้ามาอีกไกล ก็มีแต่หนูนี่แหละมาไร่ลุงทุกปี
ไม่มีนักท่องเที่ยวคนอื่นเลยหรือคะ
ปลายฟ้าถามออกไปเหมือนจะย้ำกับตัวเองเสียมากกว่า หญิงสาวหวังอยู่ในใจลึก ๆ ว่าการมาทุ่งทานตะวันทุกปี ไม่แน่ว่าปีใดปีหนึ่ง เธออาจจะได้เจอกับเขาคนนั้นอีกครั้งก็ได้ แต่แล้วก็เปล่า ความหวังก็ยังเป็นเพียงแค่ความหวังอันลางเลือนเหมือนเดิม ทุ่งทานตะวันแห่งนี้ก็คงเป็นเพียงแค่อดีตที่ไม่น่าจดจำของผู้ชายคนนั้นไปเสียแล้วกระมั่ง และคำถามก็ได้รับคำตอบยืนยัน ไร่แห่งนี้ไม่เคยต้อนรับนักท่องเที่ยวคนใดนอกจากเธอตลอดห้าปีที่ผ่านมา
ลุงคะ หนูขอต้นกล้าของกระเจี๊ยบป่าไปปลูกได้ไหมจ๊ะ เห็นมีอยู่หลายต้นเชียวที่เพิ่งงอกใหม่
ปลายฟ้าเอ่ยปากขอ ขณะจิตใจส่วนลึกเฝ้าถามตัวเอง เหตุไฉนเธอถึงต้องทำแบบนี้ด้วย แล้วเมื่อไรถึงจะลืมเขาได้สักที หากเธอยังเฝ้าย้ำจด ย้ำจำ กระทำในสิ่งที่พาจิตใจให้หวนคิดคำนึงหาถึงผู้ชายที่จำต้องพลัดพรากจากกันถึงห้าปีเต็ม สุดท้ายหัวใจก็ตอบตัวเอง ว่าดีแล้วเธอยินดีที่จะทำ เพราะมันเป็นความสุขเล็ก ๆ
ลุงสินตอบอนุญาต พลางเดินไปช่วยขุดต้นกล้า หันมาบอกปลายฟ้า ว่าจะเอาไปเท่าไร ก็เอาไปเถอะ เพราะแกเองก็ไม่ได้ปลูก มันขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่เห็นว่าเป็นพืชสมุนไพรก็เลยไม่คิดที่จะถอนรากถอนโคนทำลายทิ้ง หญิงสาวอยู่สนทนากับลุงสินจนเวลาล่วงเลยไปบ่ายคล้อย เห็นควรเดินทางกลับเสียที ขากลับไม่ได้เดินตัวเบาเหมือนขามา บัดนี้มืออีกข้างหิ้วถุงต้นกล้าของกระเจี๊ยบป่า หนทางกลับก็ยังคงเป็นเส้นทางเดิม ปลายฟ้าต้องเดินเท้าไปถึงถนนอีกประมาณสองกิโลเมตร พอที่จะเรียกเม็ดเหงื่อได้อีกรอบ สองข้างทางดอกทานตะวันเริ่มหันเหเปลี่ยนทิศทางไปตามแสงอาทิตย์
เจ้าไม้ขีดไฟ...ก้านน้อยเดียวดาย...แอบรักดอกทานตะวัน
แรกแย้มยามบาน....อวดแสงตะวัน...ช่างงดงามเกินจะเอ่ย
ดอกเหลืองอำพัน...ไม่หันมามอง...แม้เหลียวมายังไม่เคย
ไม้ขีดเจ้าเอ๋ย....เลยได้แต่ฝันข้างเดียว
(เพลงไม้ขีดไฟกับดอกทานตะวัน ขับร้องโดย วิยะดา โกมารกุล ณ นคร)
เพลงนี้แวบเข้ามาในความคิดของปลายฟ้า พร้อมน้ำตาระรื่นคลอหน่วยจวนหยดไหล เธอเคยได้ยินและฟังบ่อยครั้ง มันช่างมีความหมายที่ดีเหลือเกินในยามนี้ นึกเปรียบตัวเองคงเป็นเช่นไม้ขีดไฟก้านน้อย ที่มิอาจคู่ควรกับดอกทานตะวัน ลำแสงอันน้อยนิด คงไม่สามารถส่งเสริมให้ทานตะวันเปล่งสีสันสดใสและเจริญเติบโตได้ ฉะนั้นเธอคิดถูกแล้วล่ะที่ปล่อยให้ผู้ชายคนที่เธอรัก ได้เดินไปในหนทางอันเหมาะสม แม้ว่าตอนนี้เธอจะยังคงรักมั่นเพียงฝ่ายเดียว และเขาคนนั้นอาจจะลืมเธอไปแล้ว แต่ปลายฟ้าก็มีความสุขที่จะได้รัก
หญิงสาวเดินฝ่าดงดอกไม้เหลืองผ่านไร่ทานตะวันอีกหลายเจ้าของ ในที่สุดก็มาโผล่ยังริมถนนลูกรังสีแดง ที่ยกคันดินสูงเกือบเทียบปลายยอดดอกทานตะวัน เงยหน้าขึ้นมองก่อนปีนขึ้นไป เห็นรถเก่งญี่ปุ่นคันเก่า พาหนะคู่ใจ ที่ปลายฟ้าขับมาจากกรุงเทพฯ สภาพรถมีรอยถลอกสีไม่แดงสดเหมือนใหม่ ลำพังเงินเดือนเธอที่ต้องใช้อย่างกระเหม็ดกระแหม่ รถมือสามก็หรูแล้ว
ก่อนหน้านี้มันเคยเป็นรถมือสอง ผู้เป็นเจ้าของคือยายเอื้อมดาว ญาติที่เป็นลูกพี่ลูกน้อง แต่ตอนนี้ได้ดีมีวาสนา แต่งงานไปกับชายหนุ่มร่ำรวยเป็นถึงเจ้าของรีสอร์ทตะวันเคียงดาว ที่ดอยแม่สลองในอำเภอแม่สาย นึกถึงเรื่องนี้ทีไรเป็นต้องเจ็บแปลบในหัวใจ เพราะปลายฟ้าเคยเล่าให้ตะวันชายคนรักฟังเกี่ยวกับเรื่องราวของญาติคนนี้ คำพูดของเขาที่เธอไม่เคยลืม
ไว้เราจะสร้างรีสอร์ทเป็นของตัวเองดีไหม ให้ชื่อว่าตะวัน ณ ปลายฟ้า
หญิงสาวเปิดประตูก้าวเช้าไปนั่งในรถคันที่เธอรับซื้อต่อมาในราคาถูกแสนถูก แทบเหมือนจะได้เปล่า ถูกจนคิดว่ายายเอื้อมดาวจะต้องการขายทิ้งเสียมากกว่า ความจริงแล้วเจ้าหล่อนต้องการยกให้ฟรี ๆ ด้วยซ้ำ แต่ปลายฟ้าจำต้องยัดเยียดเงินก้อนหนึ่งที่เก็บออมไว้หลายปีให้ไป เพื่อความสบายใจและการได้เป็นเจ้าของรถมือสามอย่างภาคภูมิใจ
ตลอดเส้นทางที่ปลายฟ้าขับรถผ่าน สองฟากถนนช่วงนี้ยังคงมีแต่ไร่ดอกทานตะวันดูสุดลูกหูลูกตา มุมมองอาจจะดูไม่สวยมากนัก เพราะมันหันเหเปลี่ยนทิศเบือนหนีไปทางอื่น ท่ามกลางบรรยากาศชนบทที่ห่างไกลความเจริญ ยามนี้ถนนดูโล่งว่างไม่มีรถขับสวนทาง หรือไล่ตามหลังมาแต่อย่างใด เห็นทีคงมีแต่รถของเธอที่แล่นอยู่ตามลำพัง คิดได้ไม่ทันไรหญิงสาวกลับเห็นรถคันหนึ่งกำลังขับตรงมุ่งหน้าสวนทางมาแต่ระยะไกล
รถยุโรปคันหรูสีดำ ติดป้ายทะเบียนกรุงเทพฯ วิ่งสวนมา ปลายฟ้ามิได้ให้ความสนใจมากมายนัก ด้วยลงความเห็นว่าคงเป็นนักท่องเที่ยว เธอจึงไม่ได้ชายตามองด้วยซ้ำ เพราะกำลังมุ่งมั่นกับการบังคับพวงมาลัยหักหลบหลีกทางให้รถคันโต ขืนรถกระป๋องของเธอไปเฉียดรถโก้หรูคันนี้ล่ะก็ แค่รอยถลอกเดียวเงินเดือนเธอคงจะไม่พอชดใช้ค่าเสียหาย ถนนสายนี้ก็ไม่กว้างขวางเสียด้วย มีพื้นผิวจราจรแค่เพียงให้รถแล่นสวนทางกันได้อย่างพอดิบพอดี หญิงสาวผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก ที่สามารถประคับประคองรถมือสามคันเก่ง รอดพ้นจากวิกฤติมาได้
จากคุณ :
samita
- [
26 พ.ค. 49 21:24:55
]