CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    คนหางาน.....(ตอนเดียวจบ)

    “รับดิฉันทำงานสักคนไม่ได้จริงๆ หรือคะ......”

    ผมมองหน้าขาวๆของสุภาพสตรีซึ่งนั่งอยู่ข้างหน้าอย่างเห็นใจ ดูท่าทางของเธอเหน็ดเหนื่อยและอ่อนล้ากับการตรากตรำหางาน ตามประสาคนตกงานมาตรฐานทั่วไป มือของเธอจับปากกาหมุนไปมาอย่างปราศจากความหมาย แต่กระนั้นก็ซ่อนความรุ่นร้อนกระวนกระวายใจไม่ได้

    เธอมาสมัครงาน

    จากการพูดคุยซักถามเมื่อครู่ ผมพอจะรู้ประวัติของเธอโดยสังเขป หญิงสาววัยสามสิบกว่าคนนี้เป็นหม้ายจากการหย่าร้าง สาเหตุมาจากสามีเจ้าชู้ไปติดพันกับหญิงอื่นถึงขั้นไปอยู่กินกันอย่างออกหน้าออกตา ทิ้งให้เธอต้องอยู่ในสภาพตัวคนเดียวหัวเดียวกระเทียมลีบ โชคร้ายยังติดตามตอกย้ำชีวิตอีกครั้ง โดยการถูกอัญเชิญออกจากงานประจำ เนื่องจากมีผู้ที่มีความรู้สูงกว่ามาดำรงตำแหน่งแทน และเงินที่เก็บไว้ก็ร่อยหรอไปตามกาลเวลา  

    เธอจึงไม่มีทางเลือกนอกจากการตระเวนหางานทำ ไม่ว่าจะเป็นการบริษัทต่างๆ  โรงแรม ร้านอาหาร โดยหวังว่าจะมีงานทำโดยไม่เกี่ยงเงินเดือน ขอเพียงมีเงินเลี้ยงตัวเท่านั้น แต่ดูเหมือนโชคจะไม่เข้าข้างเอาเสียเลย  ทุกที่ให้คำตอบที่เหมือนกันคือการปฏิเสธอย่างสุภาพ .. เดี๋ยวเราจะติดต่อกลับไปนะคะ..เราจะมีหนังสือแจ้งให้ทราบทีหลังครับ......

    “ใจจริงผมก็อยากจะรับคุณทำงานหรอกครับ....”

    ผมเอ่ยกับเธอโดยพยายามซ่อนความอึดอัดหนักใจเอาไว้เต็มที่  การปฏิเสธใครสักคนที่กำลังเดือดร้อนเป็นสิ่งที่ทรมานใจเหลือเกิน และนั่นเป็นสิ่งหนึ่งที่ผมพยายามหลีกเลี่ยงให้มากที่สุดในชีวิต

    “แต่อ่านตามประวัติแล้ว คุณไม่มีสมบัติซึ่งพอจะทำงานกับเราได้เลย”

    “ได้โปรดเถอะค่ะ.....”

    ใบหน้าของเธอซีดเผือดและดูสิ้นหวัง
    “งานอะไรก็ได้ จะเป็นเก็บกวาดถูพื้น ทำความสะอาด ล้างถ้วยชาม ทำได้ทั้งนั้น และเงินเดือนก็ไม่ต้องมากขอเพียงมีเงินใช้บ้างก็พอแล้วค่ะ..ขอเพียงมีงานทำ.....”

    คนที่ไม่มีงานทำดูเห็นคุณค่าของงานเหลือเกิน ในขณะที่คนมีงานทำบางคนไม่ใส่ใจและให้ความสำคัญกับงานที่ตนทำ โลกนี้มีอะไรตรงข้ามกันอย่างนี้เสมอ หญิงสาวคนนี้ความจริงรูปร่างหน้าตาของเธอไม่เลวเลย ออกจะสวยและน่ารักเสียด้วยซ้ำ ถ้าเป็นผมบางทีอาจไม่ยอมปล่อยผู้หญิงแบบนี้ให้อยู่โดดเดี่ยวอ้างว้างและสิ้นหวังแบบนี้หรอก เธอควรจะมีคนคอยดูแลและปกป้อง แต่ก็นั่นล่ะ ผมก็ไม่สามารถทำเรื่องแบบนั้นได้เช่นกัน ลำพังก็เอาตัวแทบไม่รอดอยู่แล้ว โดยเฉพาะในช่วงวิกฤติทางการเมือง น้ำมันแพง เศรษฐกิจตกต่ำแบบในยุคปัจจุบัน

    “ก็อย่างที่บอกครับ...”

    ขณะที่อธิบาย ผมพยายามไม่มองหน้าเธอ เพราะทนไม่ได้กับสายตาเจ็บปวดและสิ้นหวังคู่นั้น

    “ตอนนี้บริษัทของเราไม่มีนโยบายรับคนเพิ่มเลย มีแต่นโยบายเชิญคนออกเรื่อยๆ รู้ไหม ผมเห็นใจและสงสารคุณมาก ไม่อยากให้คุณผิดหวังเลย แต่ผมรับคุณทำงานไม่ได้จริงๆ”

    “เพราะบริษัทของคุณล่มกำลังแย่หรือคะ บางทีดิฉันอาจช่วยได้ ดิฉันพอมีความรู้ทางการตลาดอยู่บ้าง อาจช่วยเหลือคุณได้ไม่มากก็น้อย โดยจะขอเงินเดือนเล็กๆน้อยๆเท่านั้น ดิฉันไม่ต้องการอยู่ว่างๆ อยู่ในบ้านวันแล้ววันเล่าโดยที่ไม่มีงานทำ….คุณรู้ไหมว่าคนตกงานต้องอยู่ในบ้านคนเดียวนานๆ มันเป็นอย่างไร”

    ประโยคหลังเธอสั่นเครือ ทำท่าเหมือนจะร้องไห้

    “รู้ครับ....ผมก็เคยผ่านเวลาแบบนั้นมาเหมือนกัน…แต่เหตุผลที่เรารับคุณไม่ได้ไม่ใช่เรื่องงานของบริษัทหรอกครับ แต่เป็นเพราะว่าคุณไม่มีสมบัติที่เหมาะสมเท่านั้น”

    “ดิฉันขาดสมบัติข้อไหนไปคะ บางทีอาจจะชี้แจงให้ความกระจ่างคุณได้”

    “คุณกลับไปเถอะครับ เสียใจจริงๆ ที่เรารับคุณไม่ได้”
    ผมตัดบท ไม่ต้องการบอกความจริงอะไรบางอย่างกับเธอ ความจริงบางทีก็เลวร้ายเกินไปจนยากที่จะรับ และความจริงบางอย่างรู้ไปก็เท่านั้น ไม่ต้องรู้มันเสียดีกว่า

    “ทำไมคะ.....มันหนักหนาสาหัสอะไรขนาดไหน ถ้าไม่รับก็ไม่รับ แต่อย่างน้อยคุณควรจะบอกเหตุผลชัดเจนให้ดิฉันรับทราบบ้างสิคะ”

    น้ำเสียงของเธอเริ่มออกแววโมโหเกรี้ยวกราดผสมกับความผิดหวังอย่างรุนแรง  และจุดนี้เองที่ผู้หญิงจะเริ่มน่ากลัว และน่ากลัวที่สุด คงจะประมาณกับทะเลซึ่งยามราบเรียบไร้คลื่นลมดูสวยงาม พอเกิดพายุร้ายกระหน่ำกลับเปลี่ยนไปเป็นความน่าประหวั่นพรั่นพรึง

    “คุณอย่างรู้จริงๆ เหรอ”

    “คุณบอกมาเถอะค่ะ”

    ผมส่ายหัวอย่างจนปัญญา   มองหน้าเธอด้วยความเห็นใจครู่หนึ่งและกล่าวอย่างช้าๆ ด้วยน้ำเสียงที่พยายามข่มให้ราบเรียบปกติที่สุด

    “สาเหตุที่ผมรับคุณไม่ได้ เพราะบริษัทของเราไม่สามารถรับคนที่ตายไปแล้วได้ คุณความจริงได้ตายไปแล้วเมื่อวานนี้เอง ตอนนี้ศพของคุณยังห้อยโตงเตงอยู่ในบ้านเลย”

    หญิงสาวตะลึงพรึงเพริดไปชั่วขณะ ใบหน้าของเธอซีดเผือดลงทุกทีจนแทบจะเป็นใบหน้าคนตายไปแล้ว สิ่งที่เธอรับฟังคงคาดไม่ถึง รุนแรง ราวกับสายฟ้าที่ฟาดลงกลางจิตใจที่บอบบางและอ่อนไหวนั่น หลายอึดใจต่อมาเธอก็ลุกขึ้นร้องสุดเสียงอย่างระงับอารมณ์ไม่อยู่

    “ไม่จริง....มันไม่ใช่เรื่องจริง... คุณโกหก...ฉันยังอยู่ที่นี่ ยังมีตัวตน.. คุณไม่ต้องหาเรื่องปฏิเสธบ้าๆแบบนี้หรอก..”

    “ลองนึกดูให้ดีสิครับคุณผู้หญิง”
    ผมพยายามอธิบายอย่างอดทน
    “เรื่องแบบนี้มันต้องค่อยๆ นึก แล้วจะนึกออกเอง .....คุณตกงานอยู่หลายเดือน  เดินหางานจนเงินหมด คุณเก็บตัวอยู่ในบ้านอย่างหมดอาลัยตายอยาก สามีก็ไม่เคยกลับมาเหลียวแลคุณ  ญาติพี่น้องแทบไม่มาเหลียวแล ..คุณกลายเป็นคนมีความเครียด คิดมาก เก็บกดและสิ้นหวังขั้นรุนแรงที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ ในที่สุดคุณก็.........”

    ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรไปมากกว่านี้แล้ว....เธอค่อยลดอาการเกรี้ยวกราดรุนแรงลง สีหน้าท่าทางเหมือนเริ่มเข้าใจและรับรู้อะไรบางอย่าง .....บางอย่างซึ่งต้องคงอาศัยระยะเวลาและแรงกระตุ้นในการปรับสภาพ  คนเราอาจไม่ง่ายนักในการปรับเปลี่ยนรับสภาพโลกแห่งความตายซึ่งอยู่นอกเหนือสามัญสำนึกหรือการคาดเดามาก่อน

    ในเวลาต่อมา เธอก็หันมายิ้มเศร้าๆให้กับผม  ไม่มีประกายคำถามอะไรอีกในสายตาคู่นั้น หากทำท่าเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ในที่สุดเธอก็ค่อยๆจางหายไปในความว่างเปล่า ทิ้งไว้เพียงบรรยากาศอันหดหู่หม่นหมอง เมื่อนึกถึงภาพหญิงสาวที่ยังไม่รู้ตัวว่าตายกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนเดินหางานทำอย่างโดดเดี่ยวสิ้นหวังช่างให้ความรู้สึกที่ชวนปวดร้าวเวทนาเหลือเกิน

    น่าสงสารเธอจริงๆ แต่ก็อย่างว่า จะมีใครรับคนที่ตายไปแล้วทำงานล่ะครับ... การตกงานเป็นสิ่งที่น่ากลัวและเป็นโศกนาฏกรรมบทหนึ่งของมนุษย์ชาติ  มันเปรียบเสมือนการตายทั้งเป็นกับคนหลายคน คุณจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรถ้าไม่มีงานทำ จะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายค่าน้ำค่าไฟค่าอาหาร มีทางออกและสิ่งที่ให้เลือกไม่มากนักกับคนตกงาน และทางออกเหล่านั้นก็ไม่ได้สวยงามอะไรเลย บางทีเลวร้ายพอๆหรือยิ่งกว่าการตกงานเสียด้วยซ้ำ

    ผมอยากจะช่วยเธอเหลือเกิน แต่จนปัญญาจริงๆ

    ก็เพราะว่าจะมีคนตายที่ไหนรับคนอื่นมาทำงานได้ล่ะครับ

    สองเดือนก่อนบริษัทของผมขาดทุนย่อยยับและการล้มละลายครั้งยิ่งใหญ่  อีกเดือนเศษๆต่อมา ผมก็จัดการเอาเชือกผูกคอตัวเองแขวนอย่างโดดเดี่ยวเดียวดายในบริษัทซึ่งอย่างไรผมก็ยังตัดใจจากมันไม่ได้ แม้จะรู้ว่าอีกไม่นานสถานที่แห่งนี้จะมีคนอื่นเข้ามาอาศัย แต่ผมคิดว่าจะไม่ยอมง่ายๆหรอก มันต้องหลอกต้องหลอนให้แหลกกันไปข้างหนึ่ง

    บางทีตอนนี้สิ่งที่ทำได้อาจเป็นเพียงการตามไปปลอบใจเธอ แนะนำข้อควรปฏิบัติและการวางตัว ให้กับเธอตามประสาผู้มีประสบการณ์นานกว่าเท่านั้น ในฐานะรุ่นพี่ของกาลแห่งความตายที่รู้อะไรๆในโลกมืดนี้ดีกว่าเธอ

    ผมค่อยๆจางหายไปอย่างช้า ๆ  ภายในห้องซึ่งเยือกเย็น หม่นมัว อึมครึม สกปรกรกร้าง เต็มไปด้วยฝุ่นละอองหยากไย่ปกคลุมเศษกระดาษเอกสารเก่าๆ ซึ่ง กระจัดกระจายอย่างไม่เป็นระเบียบเพราะปราศจากการดูแลเอาในใส่มานาน..

    +++++

    จบแล้ว

    แก้ไขเมื่อ 30 พ.ค. 49 10:59:34

    แก้ไขเมื่อ 30 พ.ค. 49 09:29:06

    จากคุณ : GTW - [ 30 พ.ค. 49 08:55:55 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป