เกิดมาก็เพิ่งเคยเขียนเรื่องสั้นกะเค้าเป็นครั้งแรก (ครั้งแรกที่เขียนจบ)
วอนคนอ่าน ช่วยอ่าน ช่วยติ ช่วยชม (ชมเยอะ ๆ ติน้อย ๆ 55555) กันหน่อยนะค้า
1
ปี '39
ปีสุดท้ายของเลขสาม สำหรับคนอื่นเป็นยังไงไม่รู้นะ แต่สำหรับฉัน ปีนี้จัดได้ว่าเป็นที่ที่ดี เนื่องจากนางสาวปานวาด วงศ์เทวา เอนท์ติดบัญชี ในมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของเมืองไทยน่ะสิ
เห็นนะว่าตอนที่ซองจดหมายมาถึง พ่อกับแม่งี้มือสั่นผับ ๆ เค้าคงกลัวว่าลูกหัวดื้ออย่างฉันจะสอบไม่ติดล่ะมัง
"ถึงเอนท์ไม่ติดก็ไม่เป็นไรนะวาด มหาวิทยาลัยเอกชนที่ดี ๆ ก็มี" ฉันจำประโยคนี้ได้ติดหูเลย เพราะว่าหลังจากที่สอบเสร็จ แม่ก็เอาแต่พูดประโยคนี้กรอกหูฉันซ้ำ ๆ ซาก ๆ ยังกะแผ่นเสียงตกร่อง
น่ารำคาญนะคะ แต่แน่นอน เนื่องจากดิฉันเป็นผู้ที่ได้รับการสั่งสอนมาให้ดีเพียบพร้อม ดิฉันจึงไม่เคยออกปากบ่นแม่ดัง ๆ เลยสักครั้ง (แต่เรื่องบ่นในใจนี่บ่อย...แอบบ่นแม่ในใจนี่คงไม่บาปใช่มั้ยคะ)
ฉันค่อย ๆ บรรจงแกะซองจดหมายออก สิ่งที่อยู่ในซองเป็นกระดาษแผ่นเล็ก ๆ กระดาษที่เปลี่ยนชีวิตของฉันไปในชั่วพริบตา
"เป็นไงวาด...ได้มั้ย" แม่เร่งให้ฉันรีบประกาศ เนื่องจากฉันนั่งจ้องมันอยู่นาน...นานมาก
นานจนพ่อผู้ไว้หนวดโง้ง ถอนใจเฮือก "พ่อคิดเอาไว้แล้วว่าวาดต้องสอบไม่ได้ หัวดื้อ มีอย่างที่ไหน เขาให้เลือกตั้งสี่ห้าอันดับ วาดกลับเลือกไปแค่ที่เดียว เห็นมั้ย...ผลจากความมั่นใจแบบไร้สติของวาดเป็นยังไง"
รอยยิ้มแบบผู้ชนะค่อย ๆ ผุดขึ้นมาจากริมฝีปากสีชมพูระเรื่อ ๆ ของฉัน เมื่อฉันค่อย ๆ โชว์ไอ้กระดาษเปลี่ยนชีวิตใบนั้นให้พ่อและแม่ดู
"วาดสอบได้ค่ะพ่อ"
พ่อกับแม่ตาค้าง ก่อนจะค่อย ๆ ยิ้มออกมา
ตั้งแต่นั้น คำว่ามั่นใจแบบไร้สติ ก็ไม่เคยหลุดออกมาจากปากของคุณพ่อที่รักอีกเลย
- - - - - - - - - -
ก้าวแรกในมหาวิทยาลัยของฉัน มันไม่ได้ราบรื่นราวกับปูไว้ด้วยดอกกุหลาบสีชมพูอย่างที่คิด
ด้วยการเรียนการสอนที่แตกต่างจากสมัยมัธยมโดยสิ้นเชิง ทำให้ฉันเครียดมากพอดู
ไอ้การปรับตัวกับการเรียนการสอนก็แย่พออยู่แล้ว แต่สิ่งที่ทำให้ฉันแย่ยิ่งกว่า คงจะเป็นเรื่องการรับน้อง ไอ้ระบบอุบาทว์ที่ทำให้ฉันเหนื่อยทั้งกาย เหนื่อยทั้งใจ แถมยังแย่งเวลาในการอ่านทบทวนบทเรียนไปเสียอีก
ดีนะที่การมีรูปร่างหน้าตางดงามราวกับนางงามของดิฉัน ไปเตะตารุ่นพี่คนหนึ่งเข้า ฉันก็เลยเหนื่อยเพียงแค่อาทิตย์แรกของการรับน้องเท่านั้น เพราะต่อมา ในฐานะ 'เด็กของไอ้ติมัน' ทำให้ฉันไม่ต้องร้องเพลงเสียงดังนัก ไม่ต้องเต้นท่าบ้า ๆ บอ ๆ นานนัก และที่สำคัญ จะกลับบ้านเร็วหน่อยก็ได้ หาก...ฉันไปกับพี่สันติภาพ รุ่นพี่ปีสี่มาดดีของคณะ
อุ้ย...แต่พี่ติไม่ใช่แฟนของฉันหรอกนะ เขา...ก็เป็นแค่หนึ่งในบรรดาหนุ่ม ๆ ของคณะ และนอกคณะที่มาเหล่ ๆ ฉัน และฉันก็รับไมตรีเอาไว้ เพราะเขา 'ใหญ่' พอที่จะทำให้ฉันสุขสบาย และมีอภิสิทธิ์บางอย่างในช่วงการรับน้องเท่านั่นแหละ
ดังนั้น พอช่วงรับน้องจบลง ความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับพี่ติก็ค่อย ๆ จืดจาง...
การรับน้องนั่นมีดีแค่ทำให้ฉันมีเพื่อนใหม่สองคน คนหนึ่งเป็นผู้ชาย หน้าคม ผมยาว หล่อสะบัดจนสาว ๆ ทั้งในและนอกคณะมองจนน้ำลายยืดคนละแหมะสองแหมะ คมกริช...เป็นชื่อของเขา
ส่วนอีกคน เป็นสาวร่างเล็ก แต่ก็เล็กพริกขี้หนู เพราะเธอทั้งแสบ ซ่าส์ ขาโจ๋ ปากจัดเสียจนเป็นสาวคนเดียวที่สามารถเดินผ่านสี่แยกปากหมาได้อย่างปลอดภัย แม่สาวมหาภัยคนนี้มีชื่อว่า...ปดิวลดา
- - - - - - - - - -
ปี '40
ปีแห่งการเริ่มต้นของฉัน
เพราะว่าฉันโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว รวมกับเกรดที่ออกมาของปีหนึ่ง ทำให้ฉันได้รับการหมายหัวจากท่านอาจารย์ประจำคณะ ว่าฉันอาจจะเป็นหนึ่งในบัณฑิตเกียรตินิยม พ่อกับแม่จึงปลื้มจัด ถึงขนาดลงทุนสร้างบ้านใหม่ให้ฉันเลยทีเดียว
ก่อ ๆ สร้าง ๆ อยู่ไม่ถึงเดือน ผลงานของพ่อและลูกน้องของพ่อก็ออกมาเป็นรูปเป็นร่าง
บ้านใหม่ของฉันอยู่ห่างจากบ้านเดิมราวห้าก้าว ขนาดโดยรวมก็น่าจะพอ ๆ กับคอนโดแบบสตูดิโอหนึ่งห้องนั่นแหละ
ถึงบ้านหลังแรกของฉันอาจจะคับแคบไปสักหน่อย แต่บ้านหลังนี้ก็มีพร้อมทั้งครัวเล็ก ๆ ที่เอาไว้สำหรับโชว์เฉย ๆ เพราะฉันไม่ชอบทำกับข้าว มีห้องน้ำใหญ่ที่มีอ่างอาบน้ำเอาไว้ให้ฉันได้นอนแช่แบบสบาย ๆ แถมด้วยห้องรับแขกเล็ก ๆ หน้าบ้าน ที่พ่อลงทุนไสไม้ ตอกไม้ด้วยตนเอง เพื่อทำเป็นระเบียงเก๋ ๆ เอาไว้ให้ฉันกับเพื่อน ๆ ได้นั่งเล่นกัน
คนที่มักจะมาคลุกอยู่กับฉัน หาใช่ยายดิวที่เป็นลูกสาวคนเดียวของเจ้าสัวใหญ่ย่านเยาวราชไม่ แต่กลับเป็นหนุ่มหล่อนามคมกริช ที่เช้าถึงเย็นถึง เนื่องจากบังเอิญเหลือเกิน ที่บ้านของเขาอยู่ในซอยถัดไปจากบ้านของฉันนั่นเอง
"พี่วาด ๆ ถามจริง ๆ เหอะ พี่คมน่ะแฟนพี่เหรอ" ปิ่นปัก แม่น้องสาวคนเดียวของฉันถามในสิ่งที่ทุกคนต่างสงสัย แต่ไม่มีใครกล้าถาม
คำถามของเธอ ทำเอาพ่อกับแม่ที่กำลังตักข้าวใส่ปาก ถึงกับชะงัก และรอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ
ฉันเองก็อยากจะบอกว่าใช่อ่ะนะ คมน่ะสเป็กฉันเลย ทั้งหล่อ ทั้งรวย ทั้งนิสัยดี แถมยังมีออฟชั่นพิเศษด้วยการเป็นลูกชายคนเดียวของท่านผู้พิพากษาใหญ่ เราเข้ากันได้ดี รู้ใจกันไปซะหมด เสียอยู่ก็แค่อย่างเดียว...คมเค้ายังไม่เคยจีบฉันเลย
"นี่...คม รู้มั้ยว่าคนเค้าเริ่มลือว่าเราน่ะเป็นแฟนกันแล้วนะ"
เมื่อหนุ่มไม่พูด สาวมั่นอย่างฉันก็ไม่อายที่จะเป็นฝ่ายรุกเสียเอง
แต่แทนที่นายคมกริชจะยอมรับ แล้วเริ่มต้นจีบฉันตามสะพานที่ทอดรอเอาไว้แล้ว เขากลับยิ้ม ยิ้มแล้วก็เฉยไป...
อะไรกันวะ !
- - - - - - - - - -
ปี '41
เรื่องคาราคาซังระหว่างฉันกับคม ยังคงดำเนินต่อมาเรื่อย ๆ จนถึงปีนี้
เขาก็ยังไปมาหาสู่สม่ำเสมอ ยังทำตัวสนิทสนมเหมือนเดิม ความสัมพันธ์ของเรายังเตาะแตะอยู่ที่ขั้นเดิม ไม่มาก และไม่น้อยไปกว่าคำว่า 'เพื่อนสนิท'
กลางปี ก็มีเรื่องใหญ่ที่ให้ฉันต้องตกอกตกใจ เรื่องนี้...เกิดขึ้นในงานวันเกิดของยายดิว
ปีนี้ยายดิวบอกกับฉันว่า พ่อจัดงานวันเกิดให้เธอใหญ่เป็นพิเศษ เนื่องจากปีนี้เป็นปีแรกที่เธอได้ใช้เลขสองนำหน้า
พิเศษของดิว แต่มันช่างแสนจะอลังการล้านเจ็ดสำหรับฉัน
พ่อผู้แสนจะมั่งคั่งของดิว จัดงานเลี้ยงวันเกิดของลูกสาวในโรงแรมชั้นหนึ่ง
งานที่จัดขึ้นมาเพื่ออวดลูกสาวกับเพื่อน ๆ นักธุรกิจด้วยกัน ทำให้คุณหนูดิวเหม็นเบื่อในเวลาไม่นานนัก
เธอขยิบตา ส่งซิกให้ฉันขึ้นไปพบเธอที่ห้องสวีทชั้นบทสุดของโรงแรม ห้อง...ที่พ่อจ่ายไปเพื่อให้ลูกสาวและเพื่อน ๆ ได้แต่งตัวกันไปคุยเล่นกันไป
เฮ้อ...อิจฉาคนรวยว่ะ
ระหว่างที่ฉันกำลังหาทางปลีกตัวจากประดาญาติผู้ชายหน้าตาจืด ๆ ของดิว ฉันก็เห็นดิวลากคมขึ้นลิฟต์ไป
เพราะความเป็นเพื่อน ฉันจึงไม่ประหลาดใจกับการกระทำที่ดูสนิทสนมเป็นพิเศษของดิวกับคมสักเท่าไหร่
แต่หลังจากนั้นไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ฉัน...ที่ยังคงสลัดพวกหนุ่มหน้าตี๋ไม่พ้น ก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นคมลงลิฟต์กลับมาจากชั้นบนคนเดียว แถมคมยังดูหัวเสียเอามาก ๆ อีกด้วย
เขาเดินตรงมาหาฉัน แล้วลากฉันออกไปจากการถูกรุมล้อมทันที
ทีแรกน่ะ นึกว่าเขาคงหึงฉัน แหม...รู้สึกดีชะมัดเลยล่ะ ที่มีหนุ่มหล่อ ๆ มาแสดงออกว่า คนนี้น่ะหวงนะ
แต่...มันกลับไม่ใช่อย่างที่ฉันคิดเลยสักนิดเดียว
คมพาฉันขึ้นลิฟต์ไปที่ห้องสวีทชั้นบนสุดของโรงแรม ห้องที่ดิวกำลังนอนร้องไห้ปิ่มจะขาดใจอยู่บนกลางเตียงกว้าง
ฉันตกใจพอสมควรที่เห็นสภาพของดิวเป็นแบบนั้น จำได้ว่า...ประโยคแรกที่ออกจากปากของฉันก็คือ
"คมทำอะไรดิว !"
ทั้งคมและดิวหันมามองหน้าฉันเป็นตาเดียว ก่อนที่คมจะสารภาพในสิ่งที่ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย
"ฉันไม่ได้ทำอะไรดิว ฉัน...ฉันไม่ชอบผู้หญิง ฉันเป็นเกย์ !"
อกอีแป้นแล่นลึกเข้าตึกแขก ! ฉันอ้าปากค้างราวกับถูกผีหลอก ในขณะที่ดิว ร้องไห้โฮเสียงดังลั่น
"ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไอ้คม ไอ้บ้า ฉันรักแกนะ ฉันรักแก !"
คำสารภาพรักที่พรั่งพรูออกมาจากปากของดิว ทำให้ใบหน้าของคมหมองลง ๆ
ฉันถอนใจยาว เมื่อได้รู้ในที่สุดว่า...ทำไมความสัมพันธ์ของฉันกับคม จึงต้องจบลงแค่คำว่าเพื่อนสนิท
เรื่องลับ ๆ ของคม ทำให้ฉันตกใจมากก็จริง แต่ฉันก็รับมันได้ดีอย่างเหลือเชื่อ อาจจะเป็นเพราะว่าฉันยังไม่ได้รักเค้า ฉันไม่ได้เทใจให้เค้าจนหมด เหมือนกับที่ดิวแอบรัก แอบเทใจให้กับคมล่ะมั้ง...
ดิวลาออกจากมหาวิทยาลัยหลังจากนั้นหนึ่งเดือน แต่เธอก็ยังติดต่อกับฉันเป็นระยะ ๆ เธอว่าเธอจำเป็นต้องออกจากมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศ เพราะพ่ออยากให้เธอไปไปเรียนมหาวิทยาลัยเอกชนมากกว่า
มันช่างเป็นคำแก้ตัวที่ไร้เหตุผลที่สุดเท่าที่ฉันเคยได้ยินมาเลยล่ะ
ทั้งฉันและคมต่างก็รู้อยู่แก่ใจดีว่า ดิวลาออกเพราะมองหน้าคมไม่ติดแล้วต่างหากล่ะ
ไม่น่าเล้ยยายดิว จะปล้ำใครทำแฟนก็ไม่ปล้ำ ดันปล้ำเกย์ซะนี่ !
- - - - - - - - - -
จากคุณ :
(liz)
- [
31 พ.ค. 49 00:23:27
]