คืนวันเสาร์ผมนั่งจมอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์มาเกือบสามชั่วโมง เคาะแป้นพิมพ์ไปมาแล้วก็กดปุ่ม Delete อยู่อย่างนั้นจนหน้าจอว่างเปล่า ไม่มีอักษรเหลืออยู่สักตัวเดียว จริง ๆ แล้วผมตั้งใจจะเขียนเรื่องสั้นสักเรื่อง แต่ดูเหมือนว่าใจกับสมองมันคงไม่อยากทำงานร่วมกัน สมองมันไม่ยอมคิดอะไรเลย ทั้งที่พล็อตก็วางไว้อย่างลงตัว มันกลับไปสนใจคิดแต่เรื่องที่เพิ่งผ่านพ้นมาเมื่อตอนกลางวัน มันคิดไปถึงหน้าของหมอดูที่ผมเห็นอยู่ในสวนสาธารณะ ปกติแล้วผมก็ไม่เคยเข้าไปในสวนแห่งนั้นสักเท่าไหร่ แต่วันนี้มันรู้สึกเบื่อ ๆ ก็เลยอยากลองเดินเล่นแถวนั้น เผื่อเห็นอะไรแปลกใหม่บ้าง ผมเห็นเขานั่งดูดวงอยู่ ก็เลยอยากดูบ้าง
แม้จะเป็นการดูครั้งแรก เขาพูดได้น่าฟังทีเดียวแต่ก็ยังกำกวมอยู่มาก เริ่มจากการทายนิสัยส่วนตัวของผม ซึ่งอันนี้ก็ต้องยอมรับว่าค่อนข้างจะตรงอยู่สักหน่อย เขาบอกว่าผมเป็นคนไม่ค่อยพูด คิด ๆ ดูแล้วมันก็ค่อนข้างจะแม่นอยู่เหมือนกัน ผมเริ่มสนุกอยากให้เขาดูต่อ ผมชอบคำพูดของเขาก็ตรงที่บอกว่า ช่วงนี้จะมีโชคลาภอยู่เรื่อย ๆ การงาน การเงินคล่อง ผมอมยิ้มด้วยความอิ่มเอิบใจ แต่ไม่ค่อยชอบก็ตรงที่บอกว่า แม้ว่าตัวเองจะมีโชคลาภ แต่คนรอบข้างกำลังมีเคราะห์ ผมรู้สึกตกใจทันที เขาบอกว่าภรรยาและลูกของผมกำลังมีเคราะห์ ผมเองก็จำไม่ได้ว่า ดวงดวงใดแผ่รัศมีบัดบังดวงใดบ้าง มันพันกันวุ่นไปหมด และยังบอกอีกว่าผมกำลังมีเรื่องไม่สบายใจ อาจจะเป็นเพราะผมไม่ได้นอนมาหลายคืน ใบหน้าจึงดูหมองไป ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่คนแรกที่ทักผม เพื่อนที่ทำงานก็ทักผมมาก่อนหน้านี้แล้ว ผมก็เลยให้ค่าดูดวงไปสิบบาท กะว่าอีกสิบบาทจะเอาไปให้เพื่อนที่ทำงาน ขนาดเขาไม่ได้เป็นหมอดูยังดูแม่นซะขนาดนี้
ผมเดินออกมาอย่างคนใจลอย แล้วกลับบ้านโดยลืมบอกหมอดูไปว่า ผมยังไม่ได้แต่งงาน!
เรื่องราวเมื่อตอนกลางวันทำให้ผมได้ขบคิดอะไรหลาย ๆ อย่างเกี่ยวกับพฤติกรรมความเชื่อของมนุษย์ หมอดูกับคนไทยอยู่คู่กันมานาน สิ่งที่น่าทึ่งก็คือ หมอดูเขาสามารถพยากรณ์อะไรล่วงหน้าได้ขนาดนั้นเลยหรือ พวกเขาเป็นคนหรือเปล่า แล้วถ้าพวกเขาดูไม่แม่นแล้วจะยังมีคนมาให้พวกเขาดูอยู่อีกหรือ แต่ในสภาพสังคมทุกวันนี้หมอดูก็ยังเป็นที่ปรึกษาได้กับใครหลาย ๆ คน หลายคนยังเชื่ออย่างสนิทใจ เชื่อโดยไม่ต้องมีเหตุผล หมดเงินไปกับการแก้เคล็ด สะเดาะเคราะห์มากมาย
หมอดูที่ผมเห็นเมื่อตอนกลางวัน ผมไม่ได้บอกว่าเขาโกหก หรือหลอกลวง เพียงแต่ผมดูไม่ออกว่าเขาต่างจากนักจิตวิทยาตรงไหน ใช่..พวกเขาก็คือนักจิตวิทยาดี ๆ นี่เอง เขาสามารถพูดโน้มน้าวคุณได้อย่างสบาย เขาจะพูดกำกวมไว้ก่อน แล้วค่อยสังเกตสีหน้า ท่าทาง จนกระทั่งจี้เข้าไปถึงจุด บางครั้งถ้าคุณมีเรื่องไม่สบายใจเป็นทุนอยู่แล้ว เขาก็จะยิ่งพูดตอกย้ำให้คุณถึงกับหลั่งน้ำตาได้เลย และนั่นก็คือความสามารถขั้นพื้นฐานของพวกเขาที่ต้องมี
แต่เหนือสิ่งอื่นใดมันก็อยู่ที่ตัวเราเองด้วยเช่นกัน คนที่เชื่อเรื่องการดูดวงก็คือ คนที่พร้อมจะเชื่อแล้วเท่านั้น ขนาดแค่พูดกำกวมไว้ คนที่พร้อมจะเชื่อก็ยังอุตส่าห์โยงเรื่องมาเข้ากับชีวิตของตนเองได้อย่างลงตัว แล้วก็พร่ำบอกกับตัวเองในใจว่า หมอดูคนนี้แม่นจริง ๆ
เรื่องยอดฮิตที่ดูกันก็หนีไม่พ้นเรื่องความรัก, การหาคู่, ถามเรื่องคู่แท้แต่ชาติปางก่อน, บุพเพสันนิวาส (soul mate) , แต่นั่นก็เป็นความเชื่อของบุคคล ซึ่งก็ลงตัวกันทั้งสองฝ่าย หมอดูได้เงิน คนดูได้ความสบายใจ ถ้าเราเชื่อโดยมีเหตุผลมารองรับ ไม่ใช่เชื่อเพราะความงมงาย
ถ้าพูดถึงความงมงาย อะไรคืองมงายอะไรคือไม่งมงาย ผมก็ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ผมเห็นมันคือความงมงายหรือไม่ หลายเดือนก่อนผมมีโอกาสไปเยี่ยมเพื่อนที่ต่างจังหวัด เป็นจังหวัดเล็ก ๆ ทางภาคอีสาน และได้มีโอกาสเห็นตัวเป็น ๆ ของผู้วิเศษที่นั่น ผมทึ่งมากเมื่อเห็นการเสกตะกรุดออกมาจากมืออันว่างเปล่า เพราะก่อนหน้าที่จะเสกเขาได้แบให้ผู้คนดูก่อนแล้ว เขาแบมืออันว่างเปล่าให้ดู แล้วก็พนมมือทำพิธี จากนั้นไม่นานตะกรุดสีขาวลักษณะเหมือนเขี้ยวของสัตว์ขนาดเท่าปลายนิ้วก้อยก็มาอยู่ในกำมือของเขา ผมรู้สึกทึ่งมาก มันเป็นอะไรที่เหลือเชื่อ และคิดว่ามันน่าจะเป็นของวิเศษด้วย และแน่นอนราคาของมันค่อนข้างจะสูง มีการประมูลกันถึงขึ้นหลักหมื่นเลยทีเดียวเพื่อจะได้ครอบครองของวิเศษนั้น
เรื่องทำนองนี้ยังคงมีให้เห็นอยู่เรื่อย ๆ ไม่ได้หายไปไหน ผู้วิเศษยังคงหากินได้อย่างแนบเนียน หลายคนดูด้วยความทึ่ง มันดูเหลือเชื่อ น่าอัศจรรย์ใจ มันจึงทำให้เราคล้อยตามได้ง่าย แต่ถ้าเราถอยออกมาสักหน่อย ทบทวนมันด้วยความเป็นกลาง ก็จะรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่น่าตลกเหลือเกิน สิ่งที่เห็นอยู่ตอนนี้มันต่างอะไรกับการเปิดหมวกของนักมายากลที่มีนกพิราบตัวเบ้อเร่ออยู่ข้างใน ทั้งที่ตอนแรกเขาก็เปิดหมวกให้ดูแล้วว่ามันก็ไม่มีอะไร เช่นเดียวกับผู้วิเศษที่ทำให้ดู มันเป็นสิ่งที่เรามองข้าม เป็น trick เล็ก ๆ ที่ใช้อยู่เกลื่อนในการแสดงมายากล แม้แต่คนที่มีการศึกษาสูง ๆ ก็ยังตกหลุมพรางของนักมายากลได้อย่างง่ายดาย เพราะคิดว่าตนเองสามารถจับผิดได้ แต่นักมายากล หรือผู้วิเศษเหล่านั้นมักจะเหนือกว่าหนึ่งขั้นเสมอ แต่สิ่งที่น่าหัวร่อก็คือ มนุษย์ดูมายากลด้วยความสนุกเพราะคิดว่ามันเป็นแค่การแหกตา แต่ถ้าผู้วิเศษทำแหกตาบ้าง กลับมองมันเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นสิ่งที่น่ากราบไหว้ บูชา เสียเงินเสียทองมากมายเพื่อแลกกับของวิเศษจอมปลอมนั้นมาครอบครอง
โชคดีเหลือเกินที่วันนั้นผมมีตังค์ไม่พอ
เวลาล่วงเลยมาเกือบตีสามแล้ว ผมยังคงนั่งอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์เช่นเดิม มีความรู้สึกว่าห้องนี้มันวังเวงกว่าทุก ๆ คืน เงียบเชียบจนรู้สึกว่าโลกทั้งโลกมีผมอยู่เพียงคนเดียว กับคอมพิวเตอร์เพื่อนคู่ใจเก่า ๆ เครื่องนี้ แมวสีดำตัวหนึ่งกำลังเมียงมองผมอยู่นอกหน้าต่าง ตาของมันดูน่ากลัวพิกล ยังดีที่มีกระจกกันผมกับแมวตัวนั้นไว้ ผมเคยได้ยินว่าแมวดำเป็นตัวแห่งความซวย ความโชคร้าย เท็จจริงอย่างไรผมเองก็ไม่รู้ แต่เคยได้ยินขำขันเรื่องหนึ่ง และจำไม่ได้จริง ๆ ว่าที่ไหน เป็นประโยคของคนสองคนพูดกัน
ชายคนหนึ่งถาม
มีคนบอกว่าถ้าแมวดำเดินตามหลังแล้วจะซวยจริงไหม? เมื่อวานมันเดินตามหลังผม
ชายอีกคนตอบ มันอยู่ที่ว่าเมื่อวานคุณเป็นคนหรือเป็นหนู
ผมไม่รู้จะขำดีไม่ดี แต่ก็พอใจกับคำตอบนี้เหลือเกิน และก็ได้แต่ภาวนาให้ชายคนที่ถามอย่าเป็นหนูเลย ไม่อย่างงั้นคงซวย!
แมวดำนอกหน้าต่าง เดินหายไปกับความมืดแล้ว สายลมพัดลอดช่องหน้าต่างที่แง้มไว้นิดหนึ่งพอให้ผ้าม่านที่รวบอยู่พริ้วไหว แต่ก็ยังรู้สึกถึงความเย็นเยือกในยามค่ำคืน ตอนนี้ผมไม่ยักจะกลัวความซวยแล้ว แต่บรรยากาศเช่นนี้ วังเวงอย่างนี้ ผมกลัวผีมากกว่า
ผี!..แค่ฟังชื่อผมก็ขนลุกแล้ว คงไม่ต้องถึงกับเห็นตัวจริงก็พอจะนึกภาพออก มันคงหน้าตาหน้าเกลียด เนื้อบริเวณใบหน้าเน่าเฟะ ดวงตาสีเลือดปูดโปน ผมยาวสยาย (ถ้าเป็นผีผู้หญิงจะน่ากลัวมาก) เวลาไปไหนมาไหน เสียงหมาหอนรับต่อกันเป็นทอด ๆ แค่นี้คงพอจะนึกภาพออก แต่อย่าให้ผมนึกภาพเลยน่ากลัวจะตาย
ตอนเป็นเด็กผมไม่กล้าดูหนังผี เพราะกลัวผีมากทั้งที่ไม่เคยเห็นผีจริง ๆ พอโตมาสักหน่อยก็ยังกลัว แล้วก็เทียวถามคนโน้นคนนี้ว่า เคยเห็นผีบ้างไหม? คำตอบส่วนใหญ่เหมือน ๆ กันคือ ไม่เคย ส่วนคนที่ไม่ตอบ ความหมายก็ไม่ได้แตกต่างกัน เพราะพวกเขาส่ายหน้าแทน
แล้วตกลงผีมันมีจริงหรือเปล่า? เป็นคำถามที่แสนคลาสสิกเหลือเกิน ถามง่ายแต่ตอบยาก ตอนเป็นเด็กแทบจะตอบออกมาโดยไม่ต้องคิดว่า มีแน่นอน ชัวร์พันเปอร์เซ็นต์! เพราะเคยเห็นในหนังบ่อย ๆ (แต่เวลาดูต้องปิดตา) พอโตขึ้นมาหน่อย การตอบว่า มีแน่นอน คงจะไม่ถูกต้องซะทีเดียว คงต้องคิดใหม่เปลี่ยนมุมมองตัวเองใหม่ วิเคราะห์หาเหตุผลมาลบล้างกันใหม่ สมัยตอนเป็นเด็กพูดได้เต็มปากว่า หนัง! ทำให้ผมกลัวผีในตอนนั้น พอโตขึ้นก็พูดได้เต็มปากอีกว่า หนัง!.(สือ) ทำให้ผมต้องเปลี่ยนมุมมอง ถึงแม้จะพิสูจน์อะไรไม่ได้มากเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ตาม
เคยมีคำถามว่า เมื่อก่อนโลกยังไม่ได้เชื่อมต่อกัน คนแต่ละชนเผ่ามีผีมาก่อนนานแล้ว จีนมีผีดิบดูเลือด ฝรั่งก็มีแวมไพร์มาหลายร้อยปี คนไทยก็มีผีปอบ ผีกระสือ กระหัง และอีกสารพัดผี มีมาตั้งแต่ปู่ย่าตายาย ครั้นจะบอกว่าคงจะมีใครสักคนกระมัง นึกสนุกอุปโลกเรื่องพวกนี้ขึ้นมาเพื่อจะหลอกให้คนกลัวเล่น ๆ แล้วไอ้มนุษย์จอมหลอกลวงคนนั้นก็คงไม่ใช่แค่มนุษย์ธรรมดาแน่ มันคงจะมีปีกเหมือนนก เพราะโลกเมื่อหลายพันปีก่อน ยังไม่มีเครื่องบินจะบินไปทวีปนั้นทวีปนี้เหมือนปัจจุบัน จะไปที่จีนเพื่อโกหกเกี่ยวกับผีดิบ ไปแถบฝรั่งเพื่อโกหกเรื่องแวมไพร์ แล้วยังแวะมาไทยเพื่อจะหลอกยายมี ยายมา ไอ้จุก ว่าผีกระสือเฮี้ยนอย่างงั้นอย่างงี้ (และต้องยอมรับอีกข้อว่า คนที่มาหลอกนั้นช่างสรรหาตัวละครได้ลงตัวเสียจริง)
ซึ่งถ้ามองในความเป็นจริงมันเป็นไปไม่ได้เลยที่ใครคนหนึ่งจะอุปโลกมันขึ้นมาเพื่อหลอกลวงผู้คนทั้งโลก หมายถึงว่าผีมีอยู่ทุกชนเผ่าโดยมิได้นัดแนะกัน เป็นอันสรุปว่าเมื่อไม่มีใครอุปโลกเรื่องนี้ขึ้นมา นั่นก็เท่ากับชี้ให้เห็นว่าผีในโลกนี้ย่อมมีจริงอย่างแน่นอน!
-ต่อ คห.1 ด้านล่าง-
จากคุณ :
ความเชื่อ
- [
1 มิ.ย. 49 19:52:54
]