CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    น้ำใจถูก ๆ

    ผมเดินย่ำไปบนถนนคอนกรีต ใจกลางเมืองมหานครในตอนสายวันหนึ่ง รถราวิ่งกันขวักไขว่ เสียงบีบแตรจากรถคันหลังแผดดังจนแสบแก้วหู มอเตอร์ไซด์หลายคันบิดคันเร่งออกตัวตวัดซ้ายขวาจนน่าหวาดเสียว  ไฟเขียวเหมือนเป็นสัญญาณบอกต้องรีบไป สัญญาณไฟเหลืองเหมือนเตือนให้ยิ่งรีบเข้าไปอีก เพราะไม่อย่างนั้น มันหมายถึงจะต้องเสียเวลาอย่างน้อย ๆ ก็สองสามนาทีในการจอดรถที่ติดไฟแดง  
             
             ชายผมกระเซิงร่างผอมโซ เสื้อผ้าที่มีแต่รอยปะซุน คงพอจะแสดงถึงความเป็นอยู่ของเขาได้เป็นอย่างไม่ยากนัก มือแห้งกร้านข้างหนึ่งหิ้วถุงน้ำสีดำ เขาคงจะกินไปบ้างแล้วเพราะมันเหลืออยู่เพียงค่อนถุง เขากำลังจะข้ามถนน แต่ไม่มีรถคันไหนที่จะจอดรถเพื่อสละเวลาให้เขาข้าม ทั้งที่บริเวณนั้นมันเป็นทางม้าลาย
             
             ผมเพ่งพินิจดูเขาอยู่ห่าง ๆ เหมือนกลัวว่าเขาจะรู้ตัว ตีนเปล่าเหยียบอยู่บนคอนกรีตราวกับไม่ได้รู้สึกอะไรกับอุณหภูมิของมันเลยสักนิด ผมเผ้าที่รุงรังกระเซอะกระเซิงทำให้ผมมองเห็นใบหน้าเขาไม่ค่อยชัดนัก ทุกครั้งที่เขาจะก้าวขาออกไป เสียงบีบแตรก็แผดดังมา เขาต้องรีบชักเท้ากลับทันที มันเป็นอยู่เช่นนี้หลายครั้งหลายครา แต่ทุกครั้งทุกคราก็จะได้ยินเสียงเขาสบถออกมาเป็นถ้อยคำซ้ำ ๆ อยู่อย่างนั้น
             “ไอ้คนไร้น้ำใจ!”


             ผมคิดว่าเขาคงจะไม่เต็มเต็งสักเท่าใดนัก  ผมคะเนอายุของเขาไม่ถูก ผมเผ้าที่รุงรังกับใบหน้าแห้งซีด มอมแมม จนมองไม่ออกว่าเขาน่าจะอายุสักเท่าไหร่  แวบหนึ่งเขาหันมามองที่ผม อาจจะโดยบังเอิญหรืออย่างไรผมไม่ทราบ  ผมสบตาเขาครู่หนึ่งแววตาแข็งกร้าวจ้องเขม็งมาที่ผม จนผมต้องหลบสายตาคู่นั้น เพราะอะไรผมก็บอกสาเหตุไม่ได้ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่ผมจะต้องใส่ใจ ผมมีเรื่องที่ต้องทำมากมาย เขาละสายตาจากผม แล้วก็เอาน้ำในถุงขึ้นมาดูด แต่เขาคงลืมไปว่าเขากินไปหมดแล้ว  เขาชูถุงขึ้นดูอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ สีหน้าของเขาแสดงอาการผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด
             “ไอ้คนไร้น้ำใจ!”

             เขาสบถด้วยถ้อยคำเดิม ๆ นั้น แล้วขว้างมันออกไปกลางถนน น้ำแข็งที่อยู่ในถุงแตกกระจาย รถเกี่ยวเอาถุงลากไปไกล ก่อนที่จะนอนนิ่งอยู่กลางถนน  ตามสำทับด้วยล้อยางของอีกหลาย ๆ คัน  เขาโพล่งหัวเราะออกมาเหมือนกับเห็นเป็นความขบขัน สายตาหลายคู่เริ่มมองที่เขา บางคนเดินเลี่ยงหนีไม่กล้าเข้าใกล้
             เขาคงจะบ้าจริง ๆ  ผมคิดในใจ

             ผมเดินต่อไปโดยไม่ได้สนใจชายคนนั้นอีก ในใจผมมีคำถามมากมายแต่ไม่รู้ผมจะไปถามใคร มันรุมสุมอยู่ในอกราวกับมันจะทะลักออกมาเสียให้ได้ เกือบสองอาทิตย์แล้วที่ผมเดินอยู่เช่นนี้ เดินเพื่อหาคำตอบ แล้วแต่ละคำตอบที่ผมได้รับมักจะไม่ตรงกับคำถามเท่าไหร่ ส่วนมากคำตอบจะไม่แตกต่างกันมากมายนัก
             “เอ็งถามตลกดีว่ะไอ้หนุ่ม ข้าไม่เคยเห็นหรอก” ชายคนขับมอเตอร์ไซด์รับจ้างตอบ
             “ฉันไม่รู้ว่าบ้านเมืองนี้มันจะยังคงหลงเหลืออยู่อีกหรือ?”  คำตอบของคนขายล็อตเตอรี่
             “คนมีน้ำใจน่ะเหรอ?..เป็นพระเอกอยู่ในนิยายนั่นไง”  คนขับรถเมล์หัวเราะ อัก อัก
             “ถ้าท่านสละเศษเหรียญในกระเป๋าของท่านมาใส่กระป๋องของข้า นั่นคือท่านมีน้ำใจ” เป็นคำตอบของชายขอทาน
             “ฉันไม่ว่างตอบหรอก ฉันจะรีบไปรับลูกที่โรงเรียน”
             “ผมว่าคุณควรไปหาหมอตรวจประสาทซะ”
             “มืงไม่มีอะไรจะทำแล้วหรือไง?  ไปให้พ้น!”  หลายครั้งที่โดนหัวเราะเยาะ หลายครั้งที่ถูกด่าตะคอกเสียงดัง บ้างตะโกนขับไล่ เย้ยหยัน  เหยียดหยาม หยาบคาย


             ผมเดินอย่างคนเลื่อนลอยไปไม่รู้นานเท่าไหร่ จนตะวันบ่ายคล้อย เริ่มรู้สึกว่าตัวเองเดินมาไกล  ถนนคอนกรีตที่เคยเดินกลายเป็นเพียงถนนลูกรังสีแดง ข้างทางที่เคยเป็นตึกรามบ้านช่อง บัดนี้มันกลับกลายเป็นท้องทุ่งนาสีเขียวขจี เสียงบีบแตรรถ ยนต์ เสียงคนเอะอะโวยวาย เสียงอึกทึกโครมครามไม่มีอีกแล้ว มีแต่เสียงใบไม้พัดลู่ลมดังแว่ว ๆ  มองขึ้นไปบนฟ้าอันเวิ้งว้าง  ปุยเมฆบาง ๆ ลอยเคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้า ฝูงนกบินโฉบเฉี่ยว หยอกล้อ ส่งเสียงร้องเจี้ยวจ้าว

             ผมเพลิดเพลินไปกับบรรยากาศที่ไม่ค่อยได้สัมผัสบ่อยนัก เหมือนผมหลุดเข้ามาอีกโลกหนึ่ง หลีกหนีโลกอันวุ่นวายสับสน ตะวันสีทองทอแสงเรือง ๆ ริมขอบฟ้ามันช่างคล้ายกับภาพที่ผมเคยเห็นในงานเขียนของจิตรกรท่านหนึ่ง จิตใจผมเหมือนกับมันล่องลอยตามสายลมที่พัดแผ่วเพื่ออยากไปชมความงดงามของมันใกล้ ๆ แต่วูบหนึ่งของความรู้สึกก็ยังไม่ลืมคำถามที่มันฝังอยู่ในอก มันคอยเตือน คอยย้ำ และรอคอยคำตอบ
     
             “คุณจะไปไหนหรือ?” เสียงหนึ่งดังมาจากข้างทาง ผมหันไปดู แต่ไม่เห็นมีใคร มีเพียงควายตัวหนึ่งนอนเคี้ยวเอื้องอยู่ริมทาง คิดว่าคงเป็นเสียงเจ้าของควายตัวนี้  ผมพยายามมองหาแต่ก็ไม่มีแม้เงา

             ดวงตะวันเริ่มอ่อนแสงลงเรื่อย ๆ ลมพัดเฉื่อยแผ่ว ลูบชโลมผิวกายจนรับรู้ได้ถึงความเย็นเยือก ไม่อยากใส่ใจกับเสียงลึกลับนั้นต่อไปอีก ผมคงต้องกลับเสียที ไว้พรุ่งนี้ค่อยหาคำตอบ

             ผมเดินจากไปโดยไม่ได้สนใจกับเสียงลึกลับเมื่อครู่  สืบเท้าไปข้างหน้า
             “คุณจะกลับแล้วหรือ?” เสียงดังมาอีก แต่ผมไม่สนใจ
             “กลัวผมเหรอ?”  ผมหยุดกึก หันหลังมองแต่ก็ไร้เจ้าของเสียงเช่นเดิม ผมชักจะรำคาญกับการเล่นซ่อนหาของผู้ลึกลับคนนี้เต็มทน  
             “คุณเป็นใคร ออกมาคุยกันหน่อยสิ” ผมหันหลังตะโกนถามออกไป
    เสียงลึกลับตอบกลับมา “ผมก็อยู่ตรงหน้าคุณนี่ไงเล่า”
             “ผมมองไม่เห็นคุณเลย”
             “คุณเห็นตัวอะไรนอนเคี้ยวเอื้อง แล้วเอาหางพัดไปมานั่นไหมล่ะ”
             “นั่นน่ะหรือ?”
             “ใช่..นั่นคือผมล่ะ”
             ถ้าเสียงลึกลับนั้นไม่ได้อำผมเล่น นั่นหมายความว่าผมกำลังคุยอยู่กับควายตัวหนึ่ง  นี่ผมอยู่ในมิติไหนกัน
             “คุณไม่ได้อำผมเล่นใช่ไหม?” ผมถามร่างที่กำลังนอนเคี้ยวเอื้องอยู่
             “คุณเคยเห็นควายพูดอำใครบ้างไหมล่ะ” เขาอาจจะพูดติดตลก แต่สำหรับผมมันเป็นอะไรที่ตลกยิ่งกว่าเสียอีก
             “เปล่า..ผมเพียงไม่เคยเจอเรื่องประหลาดอย่างนี้”
             “สัตว์ที่นี่พูดได้เหมือนคน”

             น่าสนุกดีเหมือนกัน ผมไม่เคยเจอเรื่องราวอะไรที่แปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อน สัตว์พูดได้เหมือนคน ช่างเหมือนกับนิทานที่ผมเคยฟังตอนเด็กไม่มีผิด แต่นี่ผมไม่ใช่เด็ก  สำนึกของผมยังตื่นตัวเต็มที่ และอีกอย่างที่ผมรู้ตอนนี้ก็คือ ผมไม่ได้ฝัน!
             “คุณเข้ามาที่นี่ได้ยังไง?” เขาถาม
             “ผมไม่รู้ ผมเดินถามคนมาเรื่อยเปื่อย จนเดินหลงเข้ามา”  ผมตอบเขาไปซื่อ ๆ บางทีอาจจะมีแค่ผมคนเดียวเท่านั้นที่บังเอิญหลุดเข้ามาในมิติบ้า ๆ แห่งนี้
             “แล้วคุณถามอะไรเขาล่ะ?”
             “ผมถามพวกเขาว่า เคยเห็นคนมีน้ำใจบ้างไหม?”
    เขาคลอนหัวไปมา “ คุณอยากรู้ไปทำไม?”
             “ ผมเพียงอยากรู้ว่าในโลกนี้ยังจะคนที่มีน้ำใจหลงเหลืออยู่หรือเปล่า”
             “ในโลกของคุณคนมีน้ำใจมันหายากขนาดนั้นเชียวหรือ?”
             “ผมไม่รู้ ผมจึงต้องถาม แล้วคุณเคยเห็นคนเหล่านี้บ้างไหมล่ะ”
    เขาทำหน้าคิ้วขมวด “ คุณมาถามควายอย่างผมนี่น่ะหรือ?”
             “ผมถามมาหลายคนแล้ว แต่พวกเขากลับไม่สนใจผมเลย พวกเขามองผมเหมือนคนบ้า ผมจึงถามคุณเผื่อคุณอาจจะเคยเห็น”

    เขาจ้องมองหน้าผมครู่หนึ่ง“เหมือนกับคุณกำลังเบื่อหน่ายโลกของคุณ หรือไม่ก็กำลังค้นหาสัจธรรมอะไรบางอย่าง”
             “ผมไม่ได้เบื่อโลก ผมสนุก เพียงแต่อยากจะรู้เท่านั้นเอง”
             “พวกมนุษย์นี่แปลก” เขาส่ายหัวไปมา “ชอบตั้งคำถามกับตัวเอง แล้วใช้วิทยาศาสตร์อะไรของพวกคุณนั่นช่วยหาคำตอบ ทว่าวิทยาศาสตร์ที่เหมือนเด็กอมมือของพวกมนุษย์ ก็ไม่สามารถหาคำตอบให้พวกคุณได้ แล้วพวกคุณก็โยนไปให้สิ่งลึกลับที่อยู่เหนือธรรมชาติเป็นผู้อธิบายเอาดื้อ ๆ“
             “ผมไม่รู้ว่าการเกิดเป็นมนุษย์มันดีกว่าการเกิดเป็น ผีเสื้อ เป็นแมลง เป็นแบททีเรียสักตัว หรือเกิดเป็นอย่างคุณดี”
             “อย่าว่าควายอย่างผมโง่ยังงั้นอย่างงี้เลย" เขาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "ความมีน้ำใจ ของพวกคุณมันเป็นยังไงผมก็ไม่รู้อะไรคือมีน้ำใจแล้วอะไรคือไม่มีน้ำใจ แล้วความมีน้ำใจเกี่ยวข้องกับศีลธรรมตรงไหน?”

             ผมนิ่งเงียบไม่ได้พูดอะไรต่อ สาเหตุหนึ่งคงเป็นเพราะเขาคงไม่ได้รู้เรื่องราวอะไรกับพวกมนุษย ์ ถ้าเขาไม่รู้ผมก็ไม่จำเป็นต้องไปถามหรือซักไซ้อะไรเขา  เขาก็คงไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจนกับผมอีกราย ถ้าเกิดยืดความต่อไป ดีไม่ดีผมอาจจะต้องมาอธิบายไอ้คำว่าความมีน้ำใจหรือไม่มีน้ำใจให้เขาฟังอีก  ผมคงไม่มีเวลามาอธิบายว่าศีลธรรมเกิดขึ้นกับมนุษย์ได้อย่างไร ซึ่งผมเข้าใจว่า บางที คำว่า ศีลธรรม อาจมีรากฐานมาจาก ความมีน้ำใจ ความเห็นอกเห็นใจกัน การเอาใจเขามาใส่ใจเรา เป็นผลผลิตจากการอยู่ร่วมกันของคนในสังคม ก่อนที่คำว่าศีลธรรมนี้จะถูกครอบครองโดยศาสนา  ผมคงไม่มีเวลาอธิบายได้ขนาดนั้น

             “เขาของคุณสวยดีนะ” ผมพยายามเปลี่ยนเรื่อง
             เขายิ้ม “มนุษย์นี่ปากหวานกันทุกคนเลยหรือ”
    ผมยิ้มแทนการตอบ
             “เมื่อวันก่อนก็มีคนมาชมผมแบบคุณนี่แหละ” เขาเอ่ยต่อ “ไว้ผมยาวรุงรัง ดูผอมกว่าคุณตั้งเยอะ แล้วหน้าตาก็สู้คุณไม่ได้เลย”
             “คุณก็ใช่ย่อยซะเมื่อไหร่ สาว ๆ ที่นี่คงจะติดคุณมากซีท่า”  ผมพูดกับเขาเหมือนประชดอยู่ในที  ในใจก็อดคิดไม่ได้ว่า ผมคงไม่ได้หลงเข้ามาในที่ประหลาดนี้เป็นคนแรกแน่ เพราะยังมีคนเข้ามาก่อนผมอีก อย่างน้อย ๆ ก็ชายร่างผอมที่เขากำลังพูดถึงเมื่อครู่

             เขาเอาหางพัดไปมาแล้วถามผม  “คุณยังไม่ได้บอกผมเลยว่าความมีน้ำใจและไม่มีน้ำใจมันคืออะไร”
             “คำว่ามีหรือไม่มีมันคงแยกจากกันโดยสิ้นเชิงไม่ได้ บางทีมันอาจจะเป็นสิ่งเดียวกันก็ได้ เหมือนดำกับขาว ร้อนกับเย็น ดำก็คือ ขาวน้อย ขาวก็คือ ดำน้อย ร้อนก็คือ เย็นน้อย และเย็นก็คือ ร้อนน้อย”

    -ต่อ คห1. ด้านล่าง-

    จากคุณ : ความเชื่อ - [ 4 มิ.ย. 49 06:24:13 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป