CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    =================ดอกไม้บานในใจฉัน==================

    1.

    ลมโชยแดดรอนแสง ท้องฟ้าสีครามลิ่วโลดไร้เมฆแต้ม เหล่าผีเสื้อลิ้มลองรสหวานของดอกไม้หลากสีชูช่ออวดความงาม ภายในสวนหย่อมของโรงพยาบาลอันร่มรื่นกว้างขวาง ที่นั่นเองมีชมพูพันธุ์ทิพย์ไร้ดอก ยืนต้นสูงตระหง่านง้ำริมสระอย่างโดดเดี่ยว

    เด็กหญิงมานีในวัยสิบปี ยืนค้ำศีรษะของเด็กชายผิวขาวคนหนึ่ง ที่นั่งพับเพียบระบายสีบนกระดาษวาดรูป อย่างขะมักเขม้น

    “ทำไมวาดไม่เหมือนเลยล่ะ?”

    ดินสอสีในมือชะงักนิดหนึ่ง แล้วย้อนถามโดยไม่หันไปมอง

    “แล้วทำไมถึงบอกว่าฉันวาดไม่เหมือน?”

    “ก็..” มานีก้มชี้ข้ามไหล่ไปที่รูปวาด

    “มันมีดอกสีชมพูบานเต็มต้นเลย”

    “ต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ก็ต้องมีดอกสีชมพู ไม่เห็นแปลก”

    เด็กชายพูดด้วยท่าทางสบายอารมณ์ แต่มานีหงุดหงิดใจไม่สบอารมณ์แทน

    “นี่ๆ ก็เห็นๆ กันอยู่ เจ้าต้นชมพูพันธุ์ทิพย์นี่มันมีดอกซะที่ไหน?”

    “เธอว่าไม่มี มันก็ไม่มี แต่ฉันอยากให้มันมี ก็ย่อมมี”

    “พูดจากวนประสาทนะนายจืด!”

    ว่าแล้วก็แลบลิ้นใส่หน้าเขา พลางปัดผมที่ระใบหน้า มานีเป็นเด็กผู้หญิงสุขภาพดี มีนัยน์ตาดำสนิท ผมหยิกเป็นลอนแต่ตอนนี้เกล้าไว้อย่างเรียบร้อย ดวงหน้าสว่างสดใส ราวเรืองรองด้วยรัศมีแห่งความร่าเริงอาบอิ่ม และแผ่ออกมาจนคนรอบข้างแทบสัมผัสได้ เธอรู้จักเขาเมื่อไม่กี่วัน มารดาของเธอต้องเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาลแห่งนี้ร่วมเดือน มานีเลยเทียวไปเทียวมาเยี่ยมมาเยียนแม่หลังเลิกเรียน จึงได้รู้จักกับเด็กชายจืด มานีเรียกอย่างนั้นเพราะใบหน้าของเขาซีดๆ จืดๆ ไม่มีอะไรโดดเด่นสะดุดตา      

    “สวัสดีจ้ะหนูมานี อยู่เป็นเพื่อนเล่นกับมานะอีกแล้วนะ”

    พี่สาวพยาบาลท่าทางใจดีคนหนึ่งส่งเสียงทัก ขณะเดินมาหาพร้อมกับเข็นรถเข็นเปล่า

    “สวัสดีค่ะพี่พยาบาล มารับนายจืดกลับแล้วเหรอคะ?”

    เธอถามเสียงใส พร้อมค้อมไหว้อย่างน่าเอ็นดู มานีไม่เคยเรียกชื่อเขาให้ถูกๆ เพราะคิดว่าชื่อจืดดูเหมาะกว่า

    “จ้ะ พี่ต้องพามาจืด เอ๊ย มานะไปตรวจร่างกาย”

    พี่พยาบาลกล่าว พร้อมกับประคองเด็กชายให้ลุกขึ้น

    “แต่ผมยังอยากอยู่ต่อนี่ครับ” เขาครวญ ขณะนั่งลงบนรถเข็น

    “ไม่ได้จ้ะ เดี๋ยวจะไม่สบายเอานะ แล้วคุณหมอก็รออยู่”

    พยาบาลบอกเสียงนุ่ม ขณะที่มานีช่วยหอบเครื่องเขียนกับกระดาษวาดรูปที่ถูกหนีบอยู่บนกระดาน และหยิบดอกจำปีที่ร่วงอยู่แถวนั้นติดมือมาด้วย

    “ถือให้นะ”

    มานีเดินตามรถเข็นต้อยๆ อดไม่ได้ที่จะพลิกแผ่นกระดาษมาดู ภาพใกล้เสร็จ เหลือเพียงลงสีดอกชมพูพันธุ์ทิพย์ที่เหลืออีกครึ่งต้น

    “สวยใช่ม้า”

    มานะเอี้ยวคอมาพลางยิ้มกริ่ม มานีแสร้งทำเป็นยักไหล่ แต่ในใจก็เห็นด้วยว่าเขามีฝีมือทางด้านนี้มาก เธอสังเกตเห็นใต้ต้นไม้มีรูปเด็กชายกับเด็กหญิงยืนอยู่ด้วยกัน

    “นี่ใครเหรอ” ชี้ไปที่เด็กผู้ชาย

    “ก็ฉันไง” ตอบโดยไม่ต้องหัน

    “ไม่เหมือนอีกแล้ว ทำไมชอบวาดที่มันไม่มีด้วยนะ อย่างดอกของต้นชมพูพันธุ์ทิพย์เอย และก็ในรูปเธอเดินได้.. อุ้ย! ขอโทษนะ”

    มานีรีบยกมือปิดปากตัวเอง โมโหที่ชอบปากพล่อยเสมอ แต่ดูเหมือนมานะไม่ได้โกรธเคืองแต่อย่างได้ เขากลับฉีกยิ้มและบอกว่า

    “ก็นี่มันรูปจากจินตนาการของฉัน โลกแสนสวยของฉัน มันสวยใช่มั้ยล่ะ แล้วฉันก็อนุญาตให้เธอเข้ามาเล่นในโลกของฉันด้วย เด็กผู้หญิงคนนั้นก็คือเธอไง”


    2.


    มานีรู้จากนางพยาบาล ว่ามานะขาพิการข้างหนึ่ง เพราะอุบัติเหตุร้ายแรงทางรถยนต์เมื่อสามเดือนก่อน พ่อของเขานั้นโชคร้ายเสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ เด็กชายได้คุณอาเป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูแทน แต่มานะต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล

    แรกที่มาพักอยู่ที่แห่งนี้นั้น เขากลายเป็นเด็กซึมเซา ไม่พูดกับใครเลย เรียกได้ว่าแทบไม่มีกำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป มานะต้องเข้ารับการบำบัดพื้นฟูทั้งด้านร่างกายและจิตใจเป็นการเร่งด่วน ในช่วงไม่กี่อาทิตย์มานี้ อาการของเด็กชายดีขึ้น มีกำลังใจมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงที่ได้ออกมานั่งเขียนรูประบายสีในสวน ได้พบกับเพื่อนใหม่อย่างเด็กหญิงมานี ทำให้เขาเปลี่ยนเป็นเด็กชายที่เข้มแข็ง และสามารถกลับมายิ้มได้อีกครั้ง

    “คุณแม่คะ หนูกลับมาแล้วค่ะ ดูสิๆ หนูมีดอกไม้มาฝากด้วยนะ”

    มานีทักมารดาที่นอนอยู่บนเตียงอย่างเสียงสดใส แม่ของเธอลูบหัวและรับดอกไม้จากบุตรสาวมาดม

    “หอมจัง แล้วนี่ลูกออกไปที่สวน ไปหาเพื่อนอีกแล้วใช่ไหม ชื่ออะไรนะ”

    “ชื่อจืดค่ะแม่ แม่น่าจะได้เห็นหน้าเขานะ อ้อ วันนี้เค้าวาดรูปแปลกๆ อีกแล้ว คิดดูสิคะแม่ วาดต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ให้มีดอก ทั้งๆ ที่ของจริงมันไม่มี ตลกจัง” มานีพูดกลั้วขำ

    “นี่มานี” แม่ทำเสียงดุ “ลูกไปพูดล้อเขาหรือเปล่า นี่ลูกก็รู้ใช่ไหมว่าเขาเป็นยังไง เจออะไรมา ลูกน่ะไม่ควรพูดอะไรที่ไม่รักษาน้ำใจเขานะ”

    “ค่ะแม่ หนูรู้แล้ว ว่าคนเราควรมีน้ำใจช่วยเหลือแก่คนที่พิการ” มานีตอบด้วยเสียงฉะฉาน


    3.


    มาหยาเหม่อมองบุตรสาว ที่กำลังฟุบหลับอยู่บนโซฟา มานีเที่ยววิ่งเล่นทั้งวันในโรงพยาบาล พอเหนื่อยก็กลับมานอนอยู่ตรงที่ประจำของเธอ มาหยานอนยิ้มให้กับแก้วตาดวงใจที่เหลือเพียงหนึ่งเดียว

    หญิงสาวพักรักษาตัวเพราะผ่าตัดเนื้องอกในมดลูกมาได้เกือบเดือนแล้ว โชคดีที่ไม่ใช่มะเร็ง มาหยาถอนหายใจอย่างโล่งอกทันทีที่ทราบผลการตรวจ เพราะถ้าหากเกิดเธอเป็นโรคร้ายนั้นขึ้นมาจริงๆ ลูกสาวของเธอก็คงลำบาก มาหยากับมานีมีกันและกันแค่สองคนบนโลกใบนี้

    สามี.. ไม่ใช่สิ อดีตสามีได้จากมาหยาไปนานแล้ว ตั้งแต่มานียังแบเบาะ เขาจากไปพร้อมกับใบหย่าและแก้วตาดวงใจอีกหนึ่งของเธอ พวกเขาตัดสินใจแบ่งลูกกันเลี้ยงดู แล้วไม่เกี่ยวข้องกันอีก

    ด้วยต่างคนต่างถือทิฐิ ไม่มีใครยอมใคร และโกรธเคืองมากเกินว่าที่จะเข้าหน้ากันได้ พวกเขาจึงตัดสินใจแยกกันอยู่ห่างไกลเหมือนคนละมุมโลก ตัดขาดซึ่งกันและกัน

    แต่ในช่วงนี้เองที่มาหยาได้มีเวลาเป็นของตัวเอง โดยละทิ้งงานต่างๆ ไว้เบื้องหลัง ให้กับบรรดาลูกน้องในบริษัท เธอจึงได้ตระหนักว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้นมันไม่ถูก และตอนนี้เธอคิดเพียงแต่ว่าต่อไปจะหาเวลาอยู่กับลูกสาวให้มากขึ้น


    4.


      ขาเล็กลีบที่สั่นระริก กำลังก้าวถัดไปทีละเล็กละน้อย มานะใช้พละกำลังและแรงใจทั้งหมด ตั้งใจทำกายภาพบำบัด เพื่อหวังว่าจะกลับมาเดินได้เหมือนปกติอีกครั้ง

    “สู้ๆ นายจืด เดินอีกๆ”

    มานะหันไปยิ้มให้กับเด็กหญิงที่ถ่อมาให้กำลังใจ แขนของเขาเกาะอยู่กับราวเหล็กช่วยพยุง เหงื่อผุดพราวบนใบหน้า วันนี้เขาตั้งใจยิ่งกว่าทุกวัน อย่างน้อยก็ต้องเดินให้ได้สักเมตรหนึ่ง เพื่ออวดเด็กหญิงที่ชอบ

    ใช่แล้ว เขาชอบเธอ มานีนั้นเปรียบเสมือนแสงสว่างดวงใหม่ ที่คอยส่องทางในขณะโลกนั้นมืดมน มานะรู้สึกอบอุ่นเสมอเมื่อมีเธอคอยอยู่ข้างๆ

    “วันนี้จืดเก่งจัง เดินได้ตั้งเยอะแน่ะ”

    มานีเอ่ยปากชม หลังจากที่มานะทำกายภาพบำบัดเสร็จแล้ว และมานั่งเล่นกันอยู่ริมสระในสวน

    เด็กชายหยิบกระดาษกับอุปกรณ์ระบายสีมาวาดรูปต่อ ดินสอสีสีชมพูแต่งแต้มดอกชมพูพันธุ์ทิพย์หรือตาเบบูญ่าให้เบ่งบาน สายตาของมานะเพ่งไปยังต้นไม้ริมสระ แต่ในดวงตาของเขาไม่ได้มองอย่างที่มันเป็น

    “นี่ๆ จืด เธอวาดรูปนี้ให้ใครเหรอ” มานีถามซื่อๆ

    มานะหันมายิ้มด้วยดวงตาเป็นประกายแต่ไม่ตอบอะไร แล้วกลับไปวาดรูปต่อ มานีเริ่มหงุดหงิดนิดๆ

    “ถ้าเสร็จแล้วมานีขอนะ”

    “...คิดดูก่อน แต่ถ้าเธอยังเอาแต่เรียกฉันว่านายจืด ฉันก็ไม่อยากให้หรอก”


    5.


    ร่วงแล้ว.. ดอกสีชมพูบอบบางปลิดขั้วปลิวคว้างลงจากต้น

    ตาเบบูญ่ารุ่นสุดท้ายพรอ้มใจสลัดดอกพราวพรูพร่างพื้น

    ราวกับเป็นพรมสีชมพูอ่อนหวาน


    ร่วงหล่นแล้วบอบช้ำ กลีบดอกไม้ให้ผู้คนย่ำผ่าน

    เราต่างชื่นชมดอกไม้ยามที่มันผลิบาน

    แต่จะมีใครสักคน ที่นึกถึงวันที่มันต้องรวงหล่น

    ความรักก็เช่นกัน..


    อีกหนึ่งปีขางหน้า ตาเบบูญ่าจะผลิบานอีกครั้ง .. และอีกครั้ง

    โลกยังหมุน วันยังล่วงผ่าน ฤดูกาลยังเปลี่ยนไป หัวใจเธอยังเต้นอยู่ได้


    บางอย่างสูญเสียไป แต่รอบข้างตัวเรา มีครอบครัว มีเพื่อนให้กำลังใจ

    เธอต้องผ่านทุกข์ไปให้ได้ มองออกไปสิ ก้าวไปให้ถึงจุดหมาย

    บนถนนสีชมพูที่ทอดยาวออกไป อีกไม่นานตาเบบูญ่าจะบานใหม่

    ตราบเท่าที่โลกยังไม่ดับสลาย ชีวิตเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ..

    ฤดูกาลของตาเบบูญ่า..


    มานีปิดหนังสือเล่มเล็กสีสวย “ฤดูกาล ดอกไม้ และ..บางอย่างในชีวิต” แล้วเหม่อมองขึ้นไปยังเงาครึ้มของร่มไม้ใหญ่ เธอนั่งอยู่ตรงโคนต้นตาเบบูญ่า

    “คุณชมพูพันธุ์ทิพย์จ๋า ทำไมไม่มีดอกเร็วๆ ล่ะ รู้ไหมว่ามีใครคนหนึ่งอยากเห็นมัน”

    เด็กหญิงรำพึงเบาๆ เหมือนใบไม้ที่แตะผิวน้ำ

    แล้วทันใดนั้น สายตาของเธอก็เห็นอะไรบางอย่าง ตุ่มสีชมพูเล็กๆ บนยอดไม้

    เหมือนต้นไม้นั้นได้ยิน และตอบรับคำปรารถนาของเด็กหญิงตัวน้อยอย่างยินดี

    มานีดีใจ ฤดูกาลของตาเบบูญ่าเริ่มกลับมาแล้ว และเธอจะบอกมานะเป็นคนแรก

    จากคุณ : ณัฐกร - [ 5 มิ.ย. 49 11:41:18 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป