CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    *** Allan Quatermain *** จอมพรานสุดขอบฟ้า*** บทที่ ๕ อัมสโลโปกาสให้สัญญา

    แปลจากเรื่อง  Allan Quatermain  ของ SIR  HENRY  RIDER  HAGGARD

    บทที่ ๕
    อัมสโลโปกาสให้สัญญา

    เช้าวันต่อมาที่โต๊ะอาหารข้าพเจ้าไม่เห็นคุณหนูฟลอสซี่จึงถามว่าเธอไปไหน

    มารดาของเธอพูดขึ้น    “ เมื่อฉันตื่นขึ้นมาตอนเช้าพบว่ามีกระดาษโน๊ตแปะอยู่ที่นอกประตูในนั้นบอกว่า---มันอยู่ที่นี่แล้ว     คุณอ่านเอาเองก็แล้วกัน”     เธอยื่นแผ่นกระดาษให้ข้าพเจ้า      ในนั้นมีข้อความดังนี้

    คุณแม่ขา       ตะวันเพิ่งจะขึ้น        หนูออกไปที่ภูเขาหาดอกลิลลี่ที่คุณควอเตอร์เมนอยากได้        ไม่ต้องตามหาหนูจนกว่าหนูจะกลับมา        หนูเอาฬาสีขาวไปพร้อมกับพี่เลี้ยง      และเด็กลูกหาบอีกสองคนพร้อมกับอาหาร        หนูอาจใช้เวลาทั้งวัน       เพราะหนูคาดว่าจะพบดอกลิลลี่ถ้าเดินทางไปสักยี่สิบไมล์       ฟลอสซี่

    “ผมหวังว่าเธอจะปลอดภัย”      ข้าพเจ้าพูด รู้สึกกังวลใจเล็กน้อย   “ผมไม่ได้ตั้งใจให้เธอต้องลำบากออกไปหาดอกไม้”

    “ฟลอสซี่ดูแลตัวเองได้”    มารดาของเธอพูดขึ้น   “เธอออกไปทางนี้อยู่บ่อย ๆ   เหมือนกับว่าเป็นเด็กชาวป่าจริง ๆ”       แต่คุณแมคเคนซี่ที่เพิ่งออกมาและเห็นกระดาษโน้ตเป็นครั้งแรกมีท่าทางเคร่งขรึมแต่ไม่พูดอะไร

    หลังอาหารเช้าข้าพเจ้าพาคุณแมคเคนซี่ออกไปข้างนอกถามเขาว่าจะเป็นไปได้ไหมที่จะส่งคนไปตามเธอกลับมา       เพราะเป็นไปได้ว่าอาจมีพวกมาไซแอบซุ่มอยู่แถวนั้นซึ่งเธออาจเป็นอันตราย

    “ผมเกรงว่ามันจะไม่มีประโยชน์”     เขาตอบ     “ตอนนี้เธอคงไปได้ไกลสิบห้าไมล์แล้ว      และไม่สามารถจะบอกได้ว่าเธอไปทางไหน       เทือกเขาพวกนั้น”      พร้อมกับชี้มือไปยังทิวเขาสูงที่เหยียดตัวเกือบขนานไปกับแม่น้ำทานา       แล้วค่อย ๆ ลดระดับลงสู่ที่ราบมีพุ่มไม้ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่นตัดตรงไปจากตัวบ้านประมาณห้าไมล์

    ถึงตรงนี้ข้าพเจ้าแนะนำว่าเราควรขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่ที่อยู่เหนือตัวบ้านแล้วใช้กล้องส่องทางไกลค้นหาโดยรอบ        เราทำตามนี้หลังจากที่คุณแมคเคนซี่สั่งให้คนของเขาออกไปพยายามตามหาร่องรอยการเดินทางของฟลอสซี่

    การปีนขึ้นไปบนต้นไม้ยักษ์เป็นงานค่อนข้างอันตราย       แม้ว่าจะมีบันไดเชือกยึดอยู่อย่างมั่นคงที่ปลายทั้งสองด้านให้ไต่ขึ้นไป       อย่างน้อยก็สำหรับคนเคยอยู่แต่บนพื้นราบ       แต่กัปตันกู๊ดไต่ขึ้นไปอย่างคล่องแคล่วเหมือนกับคนจุดโคมไฟ

    เมื่อขึ้นไปสูงจนถึงกิ่งแรกที่คล้ายกับใบของต้นเฟินยื่นออกไปจากลำต้น       เราก้าวขึ้นไปอย่างไม่ลำบากบนชานที่สร้างจากท่อนไม้ตรึงไว้ระหว่างกิ่งไม้หนึ่งกับอีกกิ่งหนึ่ง        ใหญ่พอที่จะให้คนสิบสองคนอยู่รวมกันได้       สำหรับทิวทัศน์ที่เห็นมันช่างบรรเจิดจริง ๆ        ในทุกทิศทางหมู่ไม้สยายตัวออกไปเหมือนกับคลื่นขนาดยักษ์ไกลออกไปหลายไมล์      ไกลเท่าที่กล้องจะส่องเห็น        มีหย่อมสีเขียวจากแปลงเพาะปลูกโผล่ขึ้นมาจากตรงนี้บ้างตรงโน้นบ้าง       หรือประกายวูบวาบจากผิวทะเลสาบ         ทางด้านเหนือภูเขาคีเนียชูยอดสูงตระหง่านอยู่ที่นั่น       เราสามารถตามร่องรอยของแม่น้ำทานาไหลคดเคี้ยวไปเหมือนกับงูสีเงินพันเกือบรอบตีนเขา       และไกลเหนือเราขึ้นไปจนถึงมหาสมุทร          ที่นี่เป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ต้องการเพียงแค่มือมนุษย์ที่เจริญแล้วมาเพาะปลูกเพื่อให้ได้ผลิตผลอย่างสูงสุด

    แต่เท่าที่เราพยายามมองหาเราไม่เห็นฟลอสซี่กับฬาของเธอเลย        สุดท้ายเราต้องกลับลงมาอย่างผิดหวัง        เมื่อมาถึงเฉลียงข้าพเจ้าพบอัมสโลโปกาสนั่งอยู่ที่นั่น       ลับคมขวานอย่างช้า ๆ และเบามือด้วยหินลับมีดก้อนเล็ก ๆ ที่เขานำติดตัวไปด้วยเสมอ

    “แกทำอะไรหรือ อัมสโลโปกาส ?”     ข้าพเจ้าถาม

    “ฉันได้กลิ่นเลือด”   เป็นคำตอบจากเขา      และข้าพเจ้าก็ไม่ได้เรื่องอะไรจากเขามากไปกว่านั้น

    หลังอาหารกลางวันเราขึ้นไปบนต้นไม้อีกครั้งใช้กล้องส่องทางไกลค้นหาไปตามป่าโดยรอบ       แต่ไม่ได้ผลแต่อย่างใด            เมื่อเรากลับลงมาอัมสโลโปกาสยังลับคมขวานอินโกสีกาสอยู่แม้ว่ามันจะคมจนเหมือนกับใบมีดโกนแล้ว         อัลฟองเซยืนอยู่เบื้องหน้าพิจารณาเขาด้วยอาการหวาดกลัวผสมกับความชื่นชม        เห็นได้อย่างแน่ชัดว่าอัมสโลโปกาสอยู่ในอาการระแวดระวังภัยนั่งยอง  ๆ ตามแบบพวกซูลู          ความป่าเถื่อนปรากฏขึ้นบนใบหน้าเคร่งเครียดด้วยเหตุบางอย่างของเขา       ตั้งหน้าตั้งตาลับคมขวานกระหายเลือดอยู่ไม่หยุดยั้ง

    “โอห์   เจ้าอสูรกาย     เจ้าคนน่ากลัว”     พ่อครัวชาวฝรั่งเศสร่างเล็กพูดขึ้น      ยกมือของเขาขึ้นด้วยความประหลาดใจ     “ดูหลุมที่หัวของเขาซิ       หนังของมันเต้นขึ้นเต้นลงเหมือนกับหนังหัวของทารก !     ใครจะเลี้ยงดูทารกแบบนี้ไหว ?”      แล้วจากความคิดนั้นเขาระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

    ชั่วขณะนั้นอัมสโลโปกาสมองขึ้นจากสิ่งที่เขากำลังลับอยู่      แววของความชั่วร้ายอำมหิตฉายแสงออกมาจากดวงตาดำสนิทของเขา

    “เจ้าควายตัวเมียพูดว่าอะไร ?” (เป็นชื่อที่อัมสโลโปกาสเรียกจากลักษณะหนวดและท่าทางเป็นผู้หญิง)      “ให้มันระวังตัวเอาไว้     มิฉะนั้นฉันจะตัดเขาของมันทิ้ง      ระวังไว้ให้ดีเจ้ามนุษย์ลิงร่างเล็ก !”

    โชคร้าย    อัลฟองเซ เกิดไม่กลัวเขาขึ้นมา     ยังคงส่งเสียงหัวเราะต่อไป 'ce drole d'un monsieur noir'    ข้าพเจ้ากำลังจะเตือนให้เขาเลิกหัวเราะได้แล้ว       ในทันทีซูลูร่างยักษ์กระโดดจากเฉลียงลงไปยังที่ว่างตรงที่อัลฟองเซยืนอยู่      หน้าตาของเขาแสดงอาการประสงค์ร้ายอย่างจริงจัง      แล้วเหวี่ยงขวานวนไปรอบหัวอัลฟองเซรอบแล้วรอบเล่า

    “ยืนนิ่ง ๆ”   ข้าพเจ้าตะโกนออกไป     “อย่าเคลื่อนไหวถ้ายังรักที่จะมีชีวิตอยู่     เขาจะไม่ทำร้ายแก”     ข้าพเจ้าสงสัยอยู่ว่าอัลฟองเซจะได้ยินเสียงข้าพเจ้าหรือไม่       แต่โชคดีเป็นของเขา   ความกลัวทำให้เขายืนตัวแข็งทื่อกลายเป็นหิน

    จากนั้นตามมาด้วยการแสดงเพลงดาบอย่างพิสดารที่สุดหรือน่าจะเป็นกระบวนท่าของจอมขวานเท่าที่ข้าพเจ้าเคยเห็นมา       ประการแรกเลยขวานบินร่อนวนอยู่เหนือหัวของอัลฟองเซ ด้วยความกราดเกรี้ยวและรวดเร็วอย่างที่สุดจนดูเหมือนกับว่าเป็นแผ่นโลหะท่อนเดียวเรียงต่อกันไป        ค่อย ๆ ใกล้กะโหลกที่ไม่มีความสุขของเจ้าของเข้าไปทุกที       จนในที่สุดมันเฉียดวูบไปเมื่อมันวนผ่าน        ในฉับพลันทันทีกระบวนท่าก็เปลี่ยนไปกลับกลายเป็นการฟันแบบเหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลงไปตามร่างกายและแขนขาของเขาระยะห่างไม่เกินเศษหนึ่งส่วนแปดนิ้วเลยสักครั้งเดียวแต่ก็ไม่โดนร่างกายของเขา        เป็นภาพอันน่าอัศจรรย์ที่ได้เห็นชายร่างเล็กยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น        เป็นที่เข้าใจได้ว่าการเคลื่อนไหวแม้แต่เพียงนิดเดียวเป็นการเสี่ยงไปสู่ความตายโดยทันที         ในขณะที่ร่างดำสนิทของผู้ลงทัณฑ์ยืนตระหง่านค้ำอยู่เหนือเขา     ล้อมกายอัลฟองเซเอาไว้ด้วยคมขวานวูบวาบฉวัดเฉวียนไปมาอย่างรวดเร็ว      ดำเนินไปอยู่เช่นนี้สักนาทีหรือมากกว่านั้น       จนกระทั่งในทันใดข้าพเจ้าเห็นแสงสว่างวูบผ่านหน้าของอัลฟองเซลงมา       จากนั้นแฉลบออกด้านข้างแล้วหยุดเพียงแค่นั้น        จากตรงนั้นมีบางอย่างเป็นปอยสีดำร่วงลงสู่พื้น       มันคือปลายข้างหนึ่งของหนวดอันโค้งงอของชาวฝรั่งเศสร่างเล็ก

    อัมสโลโปกาส ยืนค้ำตัวอยู่บนด้ามของอินโกสีกาสแล้วหัวเราะเสียงต่ำ ๆ ยาวเหยียดออกมา        ส่วนอัลฟองเซ หมดเรี่ยวแรงด้วยความหวาดกลัวทรุดกายนั่งลงไปกับพื้น      ขณะที่พวกเรายืนดูด้วยความประหลาดใจในการแสดงของสุดยอดมนุษย์ที่ชำนาญและเชี่ยวชาญในเชิงอาวุธ     “อินโกสีกาส คมพอแล้ว”   เขาตะโกนก้อง  “มันเล็มเขาของควายตัวเมียออกไปได้ก็ย่อมจะผ่ากะโหลกคนได้จนถึงคาง         มีไม่กี่คนที่ฟันได้อย่างนั้นแต่ฉันทำได้      ไม่มีใครที่ฟันได้อย่างนั้นแล้วไม่ฟันหัวจนหลุดจากบ่าไปด้วย       ดูนี่  เจ้าควายสาวตัวน้อย !      ฉันเก่งพอที่จะหัวเราะได้     แกเห็นด้วยไหม ?      แกยืนอยู่ห่างจากความตายแค่เส้นผม        อย่าหัวเราะฉันอีก      มิฉะนั้นระยะห่างแค่เส้นผมก็ไม่มีเหลือให้แก      ฉันได้พูดแล้ว”

    “แกต้องการอะไรที่แสดงบ้า ๆ แบบนั้น ?”      ข้าพเจ้าถามอัมสโลโปกาสด้วยความขุ่นเคือง     “แกต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ      ยี่สิบครั้งที่แกเกือบจะฆ่าเขา”

    “แต่ฉันก็ไม่ได้ฆ่าเขา มะคูมะซาน       สามครั้งที่อินโกสีกาส ส่งกระแสจิตมายังตัวฉันให้ปลิดชีวิตเขาเสีย      ให้เธอผ่าเข้าไปในกะโหลกเขา     แต่ฉันก็ไม่ทำ      ไม่หรอกมันเป็นแค่การล้อเล่น       แต่บอกเจ้าควายตัวเมียด้วยไม่เป็นการดีเลยที่มาล้อเลียนคนอย่างฉัน        ตอนนี้ฉันต้องไปทำโล่ห์แล้ว     เพราะฉันได้กลิ่นเลือดมะคูมะซาน---ฉันได้กลิ่นเลือดจริง ๆ       ก่อนสงครามท่านไม่เห็นแร้งโผล่มาบนฟ้าโดยทันทีดอกหรีอ ?      พวกมันได้กลิ่นเลือด มะคูมะซาน       และสัมผัสกลิ่นของฉันว่องไวกว่าพวกมัน       มีหนังวัวตากแห้งอยู่ทางโน้น     ฉันจะไปทำโล่ห์”

    จากคุณ : Sv - [ 6 มิ.ย. 49 22:00:02 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com