บันทึกของคนเดินเท้า
ผลของกรรม
บรรดาข้าราชการหรือพนักงานรัฐวิสาหกิจ ซึ่งเรียกกันว่ามนุษย์เงินเดือนนั้น วันสิ้นเดือนจะเป็นวันสำคัญที่สุดของเขา เพราะเป็นวันจ่ายเงินเดือนที่จะทำให้เขาเหล่านั้น มีชีวิตที่สดชื่นต่อไปอีกหลายวัน
แต่เมื่อวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๒๗ ข้าราชการหน่วยหนึ่งของกระทรวงเกษตรและ สหกรณ์ต้องเกิดความตระหนกตกใจ และระส่ำระสายไปตาม ๆ กัน เนื่องจากในเวลา ๐๙.๔๕ น. ได้มีชายสองคนแต่งกายเยี่ยงสุภาพชน เข้าไปติดต่อราชการตามปกติ แต่ได้เข้าไปในห้องทำงานของ เลขานุการกรม
แล้วใช้มีดจี้พนักงานสาวซึ่งเพิ่งไปเบิกเงินสดมาจากธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อจะเอามาจ่ายเงินเดือนแก่ข้าราชการ ให้อยู่ในความสงบแล้วกวาดเอาเงินสดไป ประมาณสองล้านหกแสนบาท จากจำนวนทั้งหมดสี่ล้านบาท
วิ่งออกไปขึ้นรถจักรยานยนต์สองคันที่ผู้ขับขี่สวมหมวกกันน็อครออยู่ ขึ้นซ้อนท้ายคนละคัน ขับหนีไปอย่างลอยนวล
เมื่อได้รับแจ้งข่าว เจ้าหน้าที่สถานีตำรวจนครบาลนางเลิ้ง เจ้าของท้องที่ซึ่งอยู่ห่างจากที่เกิดเหตุประมาณห้าสิบเมตร ก็ได้รีบดำเนินการสอบสวนพยานและผู้ใกล้ชิดที่เห็นเหตุการณ์ ตลอดทั้งคืนเพื่อหาข้อมูล จนถึงเช้าวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ก็มีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ในกองบัญชาการตำรวจ นครบาล ก็เข้ามาร่วมประชุมวางแผนจับกุมคนร้ายรายนี้ด้วย
ทางการสอบสวนเจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่า คนร้ายกลุ่มนี้น่าจะมีไม่น้อยกว่าหกคน และมีการวางแผนมาก่อน โดยคนร้ายได้เข้ามาดักรอเจ้าหน้าที่การเงินอยู่ก่อนแล้ว
ซึ่งการกระทำครั้งนี้น่าจะมีเจ้าหน้าที่ซึ่งไปรับเงิน หรือในสำนักงานรู้เห็นเป็นใจด้วย แล้วให้สัญญาณกับคนร้าย จึงได้เข้าไปในห้องเก็บเงินได้ถูกต้อง โดยไม่ลังเล แต่คนร้ายที่เข้าปล้นชุดนี้น่าจะไม่ใช่มืออาชีพ อาจเป็นพวกที่ทำแก้จนเพราะเป็นหนี้สินมาก และที่น่าสังเกตก็คือ เมื่อคนร้ายชิงทรัพย์แล้วขี่จักรยานหลบหนี ได้มีพลเมืองดีเอารถจักรยานสองล้อขวางทางไว้ แต่คนร้ายไม่ได้ยิง แสดงให้เห็นว่าคนร้ายไม่ใช่มืออาชีพอย่างแน่นอน เพียงแต่เป็นคนใจถึงเท่านั้น น่าจะหนีไม่พ้นต้องถูกจับได้อย่างแน่นอน
ขั้นแรกเจ้าหน้าที่ได้คุมตัวนักการของกระทรวงมาสอบสวน ก่อน เพราะเป็นผู้ที่ร่วมเดินทางไปเบิกเงินด้วย น่าจะรู้เห็นในการปล้นครั้งนี้
ต่อมาถึงวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมตัวนายศักดิ์ (นามสมมุติ) อายุ ๓๖ ปี พักอยู่แขวงบางนา เขตพระโขนง อาชีพปกติเป็นบุรุษไปรษณีย์ ซึ่งรับหน้าที่ขับรถจักรยานยนต์พาเพื่อนหนี
เจ้าหน้าที่ได้ยึดธนบัตรตรงตามหมายเลขที่คนร้ายปล้นไป จำนวน ๑๐,๙๑๐ บาทพร้อมกับทองรูปพรรณซึ่งนำเงินที่ปล้นได้ไปซื้อมา มีมูลค่า ๑๑,๗๐๐ บาท สมุดฝากเงินธนาคารจำนวน ๓๙,๗๑๑.๔๒ บาท และจักรยานยนต์ที่ใช้เป็นพาหนะหนึ่งคัน
จากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ นายศักดิ์ได้รับสารภาพพร้อมกับนำเจ้าหน้าที่ไปเอาเงินจำนวน ๘๓,๕๐๐ บาทที่ฝากไว้กับแม่มาคืนให้เจ้าหน้าที่ และยังนำตำรวจไปจับกุมสมาชิกที่ร่วมโจรกรรมครั้งนี้อีกด้วย
วันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ เจ้าหน้าที่ได้จับกุมตัวนายโหม่ง (นามสมมุติ) อายุ ๒๓ ปี ที่บ้านพักถนนพหลโยธิน แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน โดยมีอาชีพเป็นลูกจ้างชั่วคราวขององค์การป่าไม้ ได้เงินของกลางที่มีหมายเลขตรงกับเงินที่ถูกปล้น จำนวน ๕,๕๐๐ บาท อาวุธปืนพกขนาด ๗.๖๕ ม.ม. พร้อมกระสุนสามนัด และรถจักรยานยนต์ที่พาพรรคพวกหนี
ในวันเดียวกันเจ้าหน้าที่ได้จับกุมนายวรา ซึ่งทำงานอยู่ในร้านอาหาร จากบ้านที่พักแขวงลาดยาว เขตบางเขน ไม่ได้ของกลาง ต่อจากนั้นเจ้าหน้าที่ได้จับกุมตัวนายศิริ ไม่ได้ของกลาง เจ้าหน้าที่จึงติดตามไปจับนายริน พร้อมของกลางเป็นธนบัตรหมายเลขตรงกับเงินที่ถูกปล้น จำนวน ๓,๐๐๐ บาท แล้วเจ้าหน้าก็ไปจับตัวนายกรุด ได้เงินของกลาง ๒,๐๐๐ บาท ผู้ต้องหาทั้งสามซึ่งเป็นนามสมมุติ ได้ให้การปฏิเสธทุกคน
ต่อมาในวันเดียวกัน เวลา ๒๒.๐๐ น. กำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนหนึ่ง ได้ไปล้อมแฟลตในซอยถนนจรัญสนิทวงศ์ แขวงบางพลัด เขตบางกอกน้อย ซึ่งสืบทราบมาว่าเป็นที่อยู่ของหนึ่งในแก๊งโจรร่วมปล้นเงินเดือนครั้งนี้ และเจ้าหน้าที่อีกจำนวนหนึ่งก็ขึ้นไปยังห้องที่ ๒๐๖ เมื่อเคาะประตูห้องอยู่ครู่หนึ่งก็ไม่มีเสียงตอบจากด้านใน
พอเคาะอีกครั้งก็มีเสียงคนเดินมาที่ประตู ครั้นประตูเปิดออกก็มีร่างของผู้หญิงคนหนึ่งโผล่หน้าออกมา เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงกระชากหญิงสาวผู้นั้นออกมาให้พ้นประตู แล้วตำรวจสามนายก็กระโจนตีลังกาเข้าไปในห้องเป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงปืนแผดกัมปนาทเข้าใส่เจ้าหน้าที่สามนัดทันที
ตำรวจทั้งสามนายที่จู่โจมเข้าไปจึงยิงปืนสวนไปคนละนัด พอสิ้นเสียงปืนก็เห็นชายผู้หนึ่งนอนหงายตายสนิท อยู่บนเตียง ในชุดเสื้อดำกางเกงดำ ในมือยังกำปืนพกขนาด .๒๒ ม.ม.มีกระสุนเหลืออยู่ในลูกโม่อีก ๔ นัด
จากการตรวจชันสูตรพลิกศพ และค้นหลักฐานในตัวจึงทราบว่าผู้ตายชื่อนายเปี๊ยก (นามสมมุติ) อายุ ๓๐ ปี มีบาดแผลถูกยิงเข้าที่ชายโครงด้านขวา หน้าอกขวาและใต้กกหูขวา และทราบว่าผู้ตายมีประวัติการปล้นมาอย่างโชกโชนในหลายท้องที่
เช่น ปล้นสำนักงานที่ดินในเขตท้องที่ สน.ชนะสงคราม ปล้นร้านขายทองย่านเตาปูนสองครั้ง ปล้นร้านขายทองย่านหัวหมาก และยังมีคดีปล้นอีกหลายท้องที่ด้วย
สุดท้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับตัวนายเลิศ (นามสมมุติ) จากที่พักย่านบางนา ผู้ต้องหาได้รับสารภาพว่า ตนเองเป็นผู้วางแผนทั้งหมดในการปล้นครั้งนี้ โดยมีผู้ร่วมแก๊งทั้งสิ้น ๖ คนใช้จักรยานยนต์ ๓ คัน
ตนเองเป็นผู้ขึ้นไปดูลาดเลาหลังจากเจ้าหน้าที่นำเงินมาเก็บ แล้วจึงลงมาบอกนายเปี๊ยกขึ้นไปกับเพื่อนอีกคนหนึ่งที่ยังหนีการจับกุมอยู่ เมื่อปล้นได้ทรัพย์สินแล้ว จึงแยกย้ายกันหนีไป โดยน้องชายนายเปี๊ยกได้พานายเปี๊ยกไปแบ่งเงินกันที่บ้านแม่เลี้ยง ย่านสามเสน ซึ่งนายเปี๊ยกกับตนได้ส่วนแบ่งมากที่สุด เป็นเงิน ๔๕๐,๐๐๐ บาท นายโหม่งได้น้อยที่สุดเป็นเงิน ๑๕๐,๐๐๐ บาท
เจ้าหน้าที่แจ้งว่าสำหรับผู้ต้องหาบางคนที่จับมานั้น เป็นคนที่รับใช้หนี้จากพวกคนร้าย ซึ่งจะต้องปล่อยตัวไป และนายตำรวจผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง (ขอสงวนนาม) ได้เปิดเผยว่าตำรวจได้สืบสวนจนรู้ว่าเมียนายเปี๊ยกเป็นใครอยู่ที่ไหน จึงได้พาไปเกลี้ยกล่อมจนนางยอมเปิดเผยความจริง ทำให้สามารถตามไปพิชิตนายเปี๊ยกลงได้สำเร็จ
ส่วนหญิงสาวที่อยู่ในห้องของนายเปี๊ยกนั้นไม่เกี่ยวข้องกับการปล้นแต่อย่างใด แต่อาจเป็นต้นเหตุที่ทำให้นายเปี๊ยกต้องพบจุดจบ ในครั้งนี้ก็ได้
สำหรับข้าราชการที่อดได้เงินเดือนเมื่อวันที่ ๓๑ มกราคมนั้น เจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน และผู้ร่วมงานอีกแปดคน ได้เดินทางไปเบิกเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทย มาใหม่โดยขออนุมัติจ่ายเงินสำรองฉุกเฉิน จำนวน สองล้านบาทเศษ เมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์
เพื่อนำมาจ่ายให้แก่ข้าราชการที่ยังไม่ได้รับเงินเดือน โดยขอการคุ้มกันจากตำรวจท้องที่ เพื่อมิให้เกิดเหตุร้ายขึ้นอีก ถึงแม้จะเป็นการล้อมคอกภายหลังวัวหายแล้วก็ตาม แต่ช่วยให้บรรดาข้าราชการทั้งหลาย หายหน้ามืดได้ภายในเวลาเพียงสามวันเท่านั้น
เรื่องก็ควรจะจบลงแค่นี้ แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ หลังจากที่ถูกควบคุมตัวระหว่างฟ้องศาล อยู่ ๒ ปี เมื่อตำรวจได้นำจำเลย ๕ คน คือ นายเลิศ นายริน นายศิริ นายวรา และนายกรุด ไปศาลเพื่อสืบพยาน ในวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๒๙ เวลา ๐๙.๓๐ น.ที่ห้องพิจารณาคดีที่ ๕๐ ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านอาคารศาลอาญา ๒ ถนนหับเผย
โดยทุกคนใส่ตรวนที่ขาทั้งสองข้าง ส่วนนายเลิศและนายริน ได้ใส่กุญแจมือติดกันเป็นพิเศษ
เมื่อเข้าห้องพิจารณาคดีแล้ว ก็มีผู้ร่วมคดีที่ได้มีประกันตัวไปอีก ๔ คนรออยู่ก่อน เมื่อผู้พิพากษาและผู้ช่วยผู้พิพากษาสองท่านชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ออกนั่งบัลลังก์แล้วก็ทำการสืบพยานจำเลยไปตามกระบวนความ
ระหว่างนั้นนายเลิศซึ่งเป็นจำเลยที่ ๑ ได้ยกมือขออนุญาตศาลเพื่อแถลง แล้วก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้พร้อมกับนายรินซึ่งใส่กุญแจมือติดกันอยู่ แล้วเดินไปด้านหลังของโต๊ะผู้พิพากษา ชักปืนที่เหน็บเอวจี้เข้าที่ศรีษะของผู้พิพากษาชาย พร้อมบังคับให้สั่งผู้คุมถอดกุญแจมือ แต่ผู้พิพากษาไม่ยอมออกคำสั่ง ทุกคนในห้องพิจารณาต่างตกตลึงกันหมดไม่มีใครขยับเขยื้อน
นายเลิศจึงบังคับให้ผู้คุมไขกุญแจมือ เพื่อรักษาชีวิตของผู้พิพากษา เมื่อหลุดจากกุญแจมือแล้ว นายเลิศก็หันไปล็อคคอผู้ช่วย ผู้พิพากษาหญิง ไว้เป็นตัวประกัน และเจรจาขอให้จัดยานพาหนะเพื่อหลบหนี ถ้าไม่ได้ในกำหนดเวลาจะสังหารตัวประกันทันที
ต่อมาสารวัตรใหญ่สถานีตำรวจนครบาลชนะสงคราม ได้รับแจ้งทางโทรศัพท์จึง รายงานผู้บังคับบัญชาชั้นเหนือ แล้วนำกำลังจาก สน.ต่าง ๆ เข้าล้อมศาลอาญาไว้ ส่วนทางเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ ก็ได้เตรียมรถยนต์ไว้สองคัน ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้วางแผนที่จะจัดการกับคนร้าย ในเมื่อมีโอกาสต่อไป
แต่เมื่อเวลาได้ล่วงไปถึง ๑๒.๔๐ น. ยังไม่ทันที่คนร้ายจะออกจากห้องพิจารณาคดี ได้เผลอตัวขณะที่พยายามจะถอดตรวนออกจากข้อเท้า อัยการผู้เป็นโจทก์ที่อยู่ในห้องนั้นเห็นได้ที จึงโดดเข้าต่อยคนร้ายปืนหลุดจากมือ พอดีกับนายตำรวจที่แอบเข้ามาทางหน้าต่างได้ จึงเข้าจับกุมตัวคนร้ายไว้โดยง่าย ส่วนจำเลยอีกสี่คนก็ไม่ยอมหนี ผู้คุมจึงเข้าควบคุมตัวไว้
ตามข่าวกล่าวว่า การที่เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงเช่นนี้ขึ้นในศาลได้ ก็เพราะภรรยาของนายเลิศได้แอบเอาปืนมาให้ขณะที่มาเยี่ยมในที่คุมขังใต้ถุนศาล ก่อนจะเข้ามาในห้องพิจารณา และระหว่างที่คนร้ายได้ใช้ปืนจี้ตัวประกันอยู่นั้น ได้ประกาศว่าตนเองไม่อยากจะทำเช่นนี้ แต่ไม่มีทางเลือก เพราะตนได้ปล้นมาตั้งแต่เล็กจนโต และถูกพิพากษาไปแล้ว ๒ คดี มีโทษจำคุกถึง ๔๘ ปี
นายเลิศซึ่งได้เพิ่มคดีที่ร้ายแรงให้กับตนเอง ต้องกลับไปถูกขังเดี่ยวในห้องมืดของแดน ๑ ตั้งแต่วันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๒๙ ได้เพียง ๒ วัน นายร้อยเวรสถานีตำรวจภูธร อำเภอเมืองนนทบุรี ก็ได้รับหนังสือจาก ผู้ทำการแทนผู้บัญชาการเรือนจำกลางบางขวาง ให้ไปทำการชันสูตรพลิกศพนักโทษชายเลิศ ซึ่งผูกคอตายในห้องขัง
สารวัตรใหญ่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองนนทบุรี จึงรีบไปทำการพิสูจน์ร่วมกับแพทย์เรือนจำ พบว่าสภาพศพผู้ตายสิ้นชีวิตอยู่ในลักษณะที่เอาเชือกผ้ายาวหนึ่งเมตร ซึ่งใช้สำหรับผูกหิ้วโซ่ตรวนที่ข้อเท้า ผูกคอกับลูกกรงเหล็กช่องลมในห้องขังสูงหนึ่งเมตร แต่งกายสวมเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินไม่กลัดกระดุม สวมกางเกงกีฬาขาสั้นสีเหลือง ที่ข้อเท้ายังมีโซ่ตรวนพันธนาการอยู่
คาดว่าถึงแก่ความตายตั้งแต่เวลาประมาณ ก่อน๑๑.๓๐ น. เพราะขณะนั้นสารวัตรใหญ่สถานีตำรวจนครบาลนางเลิ้ง ได้เดินทางมาเพื่อสอบปากคำ น.ช.เลิศ ในคดีปล้นซึ่งได้อายัดตัวไว้ เมื่อเจ้าหน้าที่เรือนจำไปเบิกตัวจากห้องขังจึงเห็นว่านักโทษผู้คอตาย ตัวยังอุ่นอยู่ แต่ได้สิ้นชีวิตเสียแล้ว
สรุปว่าโจรก๊กนี้หรือโดยเฉพาะตัวหัวโจกใหญ่ ต้องสิ้นชีพลงด้วยน้ำมือของตำรวจ และด้วยน้ำมือของตนเองทั้งสองคนนั้น ก็เพราะเมียของตนทั้งคู่
โดยเฉพาะ น.ช.เลิศ มีคดีต้องโทษรวมกันถึงห้าคดี และได้สารภาพกับผู้บัญชาการเรือนจำว่า ที่ต้องจี้ผู้พิพากษาก็เพราะจะต้องติดคุกนานมาก ทนไม่ไหว ถ้าถูกตำรวจยิงตายก็เจ็บเพียงนิดเดียวไม่น่ากลัว แต่เผอิญทำไม่สำเร็จถูกจับได้ ก็คิดว่าคงไม่มีโอกาสออกจากคุกแน่
จึงพิพากษาตนเองเสียก่อน ให้หมดเวรหมดกรรมไปชาติหนึ่ง.
#########
จากคุณ :
เจียวต้าย
- [
8 มิ.ย. 49 16:36:28
]