ความคิดเห็นที่ 1 ดังนั้น จึงเป็นสิ่งที่ยากลำบากในการจะสรรหาคำนิยามทางวิชาการมาสรุปว่า แท้จริง บทบาทหรือพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ไทย เป็นเช่นไร หรือมีขอบเขตอย่างไรในทาง กฎหมาย   แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นลักษณะเฉพาะของการใช้พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ของ ไทย คือ   พระราชอำนาจที่ทรงใช้มิใช่เป็นพระราชอำนาจที่กฎหมายรัฐธรรมนูญกำหนดให้ใช้   แต่การใช้พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ไทยเป็นการใช้พระราชอำนาจดั้งเดิมที่ทรงมีอยู่ ก่อนที่จะมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ    เมื่อมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแล้วพระราชอำนาจ ดั้งเดิมดังกล่าวจะคงมีอยู่มากหรือน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับพระบรมเดชานุภาพของพระมหา กษัตริย์แต่ละพระองค์  แต่จากเหตุวิกฤติการณ์ต่างๆที่ที่ผ่านมา ประเทศไทยได้ผ่านพ้นวิกฤติ จากพระบรมเดชานุภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหลายครั้ง  จนเป็น ที่ประจักษ์แล้วว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันทรงไว้ซึ่งพระบรมเดชานุภาพ เป็นล้นพ้น    การที่พระองค์ทรงใช้พระราชอำนาจในกรณีวิกฤติการณ์แต่ละครั้ง นำมาซึ่ง ความสุขสงบในสังคม  และเป็นที่ซาบซึ้งของเหล่าพสกนิกรเป็นอย่างยิ่ง    การที่ได้มีการ วิเคราะห์ศึกษาเปรียบเทียบกับพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในต่างประเทศไม่ว่า จะเป็นการตีความตามกฎหมายรัฐธรรมนูญหรือตีความในเรื่องของธรรมเนียมปฏิบัติทาง รัฐธรรมนูญ           จึงเป็นเรื่องยากที่จะสามารถตีความถึงการใช้พระราชอำนาจดั้งเดิมของพระมหากษัตริย์ของ ไทย  เพราะพระราชอำนาจดั้งเดิมนี้เป็นพระราชอำนาจที่พระมหากษัตริย์ทรงมีอยู่แต่เดิม และยังคงมีอยู่ในปัจจุบัน   กระทั่งมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแล้ว   อาจทำให้มีการมองว่าพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ไทยมีอยู่เท่าที่บัญญัติไว้ใน รัฐธรรมนูญ  แต่แท้จริงแล้ว พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ไทยที่มีอยู่อย่างล้นพ้นแต่ เดิมนั้นก็ยังคงมีอยู่   เพียงแต่ว่าจะสามารถนำมาใช้ได้มากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับว่า การใช้พระราชอำนาจดังกล่าว สอดคล้องกับหลักการของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขหรือไม่เพียงใด   รวมทั้งขึ้นอยู่กับพระบรม เดชานุภาพส่วนพระองค์ของพระมหากษัตริย์แต่ละพระองค์ (Royal Charisma)             อำนาจในทางตุลาการ แต่ดั้งเดิม ก็เป็นส่วนหนึ่งของพระราชอำนาจพระมหากษัตริย์ไทย ในฐานะที่พระองค์ทรงเป็นต้นแห่งความยุติธรรมทั้งปวง  ในสมัยโบราณกาลมา พระมหากษัตริย์ ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ทรงมีพระบรมเดชานุภาพเป็นล้นพ้น ทรงเป็นเจ้าชีวิตของ ประชาชน และตลอดจนผืนแผ่นดินที่เป็นราชอาณาจักร  กระทั่งมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ลักษณะจารีตประเพณีดั้งเดิมนี้ยังคงอยู่ในรูปแบบที่เห็นได้ชัด  จากการปฏิบัติหน้าที่ของเหล่า ผู้พิพากษาและตุลาการ จะต้องถือปฏิบัติภายใต้พระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์  ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นราชนิติประเพณีสืบมาจนกระทั่งถึงการใช้พระราชอำนาจภายใต้ระบอบประชาธิปไตย ปัจจุบัน  ในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีของศาลที่ ต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ ตาม กฎหมาย และในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ทั้งสิ้น  และได้กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๓๓      ตลอดจนการดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาหรือตุลาการตาม กฎหมายรัฐธรรมนูญปัจจุบัน จะได้ทำหน้าที่หรือพ้นจากตำแหน่ง ก็ต้องได้รับการแต่งตั้งจาก พระมหากษัตริย์  ยกเว้นกรณีพ้นจากตำแหน่งเนื่องจากถึงแก่ความตาย          การปฏิบัติหน้าที่ของนักกฎหมายภายใต้ร่มโพธิสมภารขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบันล้วนต้องผ่านเบื้องพระพักตร์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมากันแล้วทั้งสิ้น   นับแต่การธรรมเนียมปฏิบัติในการขอเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรของนักศึกษากฎหมาย ตั้งแต่ระดับชั้นปริญญาตรีเป็นต้นมา  นักศึกษากฎหมายเหล่านั้นก็จะได้รับพระบรมราโชวาท ขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นมงคลแก่การประกอบวิชาชีพตามวิชาที่ร่ำเรียน   น้อมรับพระบรมราโชวาทเป็นแนวทางที่ตนจะได้นำวิชาชีพกฎหมายมาประกอบสัมมาอาชีพ ในสังคมสืบไป     ตลอดจนการถวายสัตย์ก่อนการปฏิบัติหน้าที่ของผู้พิพากษาหรือตุลาการ ผู้ที่จะใช้อำนาจตุลาการภายใต้พระปรมาภิไธยของพระองค์ตามกฎหมาย             พระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ในแต่ละครั้งทรงสะท้อน ให้เห็นถึงความเข้าใจในบทบาทและขอบเขตการทำหน้าที่ที่นักกฎหมายในปัจจุบันควรตระหนัก ถึงความรับผิดชอบต่อบทบาทและหน้าที่ของตนในสังคมและการดำรงตนอย่างเหมาะสม   แนวความคิดเกี่ยวกับพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญในปัจจุบัน  เราได้รับคำนิยามจำกัดความระบอบการปกครองลักษณะนี้ของประเทศสหราชอาณาจักรที่ถือ ว่าเป็นต้นแบบของการปกครองในระบอบรัฐธรรมนูญอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข     โดยภายใต้ระบอบนี้พระมหากษัตริย์จะทรงเป็นประมุขของประเทศ แต่จะใช้พระราชอำนาจ ในทาง นิติบัญญัติ  บริหาร และทางตุลาการโดยผ่านองค์กรหรือหน่วยงานผู้รับผิดชอบต่างๆกัน ไป โดยรูปแบบของการบัญญัติรัฐธรรมนูญนั้น พระราชอำนาจทั้งปวงจะมีการกำหนดไว้ใน รัฐธรรมนูญ          ดังเราจะเห็นได้ว่า ด้วยพระราชอำนาจแต่ดั้งเดิมของพระองค์นี่เองเป็นทำให้เป็นประเด็นถกเถียง ในทางวิชาการถึงบทบาทและการใช้พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ไทยอยู่หลายคราว ถึงการใช้พระราชอำนาจของพระองค์เพื่อยุติเหตุวิกฤติการณ์  เช่นในกรณีการยุติเหตุการณ์ เมื่อครั้ง ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖  หรือจะเป็นเหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๓๕   หรือแม้แต่ในช่วงสภาวการณ์ปัจจุบัน           แต่สิ่งหนึ่งที่พึงสังเกตเกี่ยวกับการใช้พระราชอำนาจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในแต่ละ คราว ที่ทำให้นักกฎหมายทุกคนได้ตระหนัก   เพราะถึงแม้ว่า ปัจจุบันเราจะมีองค์กรต่างๆ ใน การใช้อำนาจเกี่ยวกับตุลาการ ทำหน้าที่ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐและ หน่วยงานทางปกครอง    ศาลปกครองได้เกิดขึ้นภายใต้แนวความคิดที่จะให้เป็นองค์กรหลัก ในการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐ  ให้ปฏิบัติหน้าที่เป็นไปตามกฎหมาย เป็นไปด้วยความโปร่งใสและยุติธรรม              คำว่า "ยุติธรรม" นี่เองเป็นคำสั้นๆ แต่มีความหมายกว้างขวาง จนกระทั่งปัจจุบันนี้ก็ยังตีความ ไม่เป็นที่ยุติ ว่าควรจะกระทำเช่นใด หรือควรจะวางแนวทางอย่างไร ที่จะสามารถปรับใช้กฎหมาย ตีความกฎหมายเพื่อนำไปสู่ความ “ยุติธรรม” แก่สังคม    และนี่เองที่เป็นภาระอันหนักหน่วง ของนักกฎหมายทุกคนโดยเฉพาะตุลาการศาลปกครอง ที่จะต้องธำรงความหมายของคำว่า “ยุติธรรม” ที่ได้รับพระราชทานหน้าที่ให้ถือปฏิบัตินี้ด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง             องค์กรสำคัญในการใช้อำนาจตุลาการที่มีมาแต่สมัยโบราณ ไม่ว่าจะเป็นศาลที่เรียกกันว่า ตระลาการ ในสมัยก่อน   ลูกขุน  ที่ใช้อำนาจในการพิจารณาอรรถคดีความ ก็ล้วนต้องปฏิบัติ ภายใต้กฎหมายทั้งสิ้นในระบบกฎหมายจารีตประเพณี กฎหมายตราสามดวง  ซึ่งถือว่าส่วนหนึ่ง มีพระราชศาสตร์หรือคำวินิจฉัยจากพระมหากษัตริย์เป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายนั้น มาเป็น ตัวบทเพื่อจะปรับบทกฎหมายใช้ในการพิจารณาคดี   แม้กระทั่งต่อมา ในการบริหารราชการ แผ่นดิน สมัยรัชกาลที่ ๕ ก็ทรงกำหนดให้มี Council of State ขึ้นมา  ก็เพื่อเป็นองค์กรที่พิจารณา คดีความที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ ในรูปแบบของคณะกรรมการ (Committee)   ขึ้นตรง ต่อองค์พระมหากษัตริย์และมีการใช้กฎหมายตราสามดวงมาประกอบการพิจารณาคดีความ เช่นกัน  องค์กรที่ใช้อำนาจตุลาการนี้แม้จะอยู่ในรูปของคณะกรรมการก็ดี หรือมีการกำหนดตัว ผู้พิพากษา ตระลาการก็ได้ ประเทศไทยเราถือเป็นจารีตประเพณีจนถึงปัจจุบันว่าต้องกระทำ ภายใต้พระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์   ดังนั้นจึงเป็นรูปแบบประเพณีต่อมาจนถึงปัจจุบัน ที่ก่อนการปฏิบัติหน้าที่ของผู้พิพากษาหรือตุลาการแต่ละท่านจะต้องทำการถวายสัตย์ปฏิญาณ เสียก่อน           พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสต่อตุลาการ ที่เข้าไปถวายสัตย์ปฏิญาณหลายต่อหลายคราว  ให้ตุลาการศาลปกครองถือปฏิบัติหน้าที่ ตามขอบเขตและหน้าที่อันเหมาะสมของตน   องค์กรตุลาการปัจจุบันทั้งสามองค์กร ต่างมีความอิสระในการพิจารณาพิพากษาตามกฎหมาย  แต่ภายใต้ความเป็นอิสระเหล่านั้น องค์กรทั้งสามก็มิได้กระทำการใช้อำนาจตุลาการตามอำเภอใจ  เพราะความเป็นอิสระของศาล คือความเป็นอิสระในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ  เป็นไปตาม กฎหมายทำหน้าที่ในการตรวจสอบคน  ภายใต้รูปแบบและกฎหมายของวิธีพิจารณาคดี   มิใช่กระทำการพิจารณาพิพากษาคดีตามอำเภอใจของผู้พิพากษาหรือตุลาการแต่ละคน                  ทว่ากฎหมายก็มิได้บัญญัติไว้เพื่อให้สามารถปรับใช้ได้ทุกเรื่อง ได้ทุกเหตุการณ์  หลายครั้ง หรือแม้แต่ในช่วงสภาวการณ์ปัจจุบัน เราจึงมีปัญหาอย่างมากมายเกี่ยวกับการตีความกฎหมาย กฎหมายในปัจจุบัน เราทราบอยู่แล้วว่า ถ้ากฎหมายไม่ได้ตราบทบัญญัติไว้ จะไม่สามารถ ดำเนินการได้   หรือแม้แต่ กรณีที่มีการตรากฎหมายไว้เป็นลายลักษณ์อักษร  ก็ยังมีประเด็น ถกเถียงกันอยู่เสมอว่าที่กฎหมายเขียนไว้นั้น สามารถใช้ได้ หรือไม่ได้  อย่างไร   เหมือนดังเช่น กรณีที่เราเรียนมาในหลักเรื่องของนิติกรรมสัญญา  เอกชนสามารถทำสัญญาอะไรกันได้ภายใต้ กรอบกฎหมายเรื่องนิติกรรม  ถ้าการแสดงเจตนาไม่บกพร่อง ไม่มีเจตนาหลอกลวง ฉ้อฉล หรือไม่สุจริต ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือยุติธรรมอันดีของประชาชนแล้ว ภายใต้กรอบ ของนิติกรรมนั้นจะทำอะไรก็สามารถกระทำได้        หากการกระทำในรูปแบบของกฎหมายมหาชนนั้นต่างกัน การใช้อำนาจของผู้ปกครองต่อ ประชาชนต้องระมัดระวังเพียงแต่กรอบแนวความคิดหลักเท่านั้น จะเพียงแต่มีเจตนาสุจริต หรือมีแต่ความประสงค์ดี เท่านั้น ไม่พอ     แต่ต้องคำนึงถึงการใช้อำนาจที่ไปกระทบต่อสิทธิ เสรีภาพหรือประโยชน์ของประชาชนที่มีกฎหมายรองรับด้วยเช่นกัน  ไม่ว่าจะเป็นกฎหมาย รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายใดๆก็ตาม  ดังเช่นพระบรมราโชวาทที่พระองค์พระราชทานให้แก่ คณะตุลาการศาลปกครองสูงสุดเมื่อวันที่  ๒๕ เมษายน ที่ผ่านมา ทรงยืนยันในหลักการ ดังกล่าวอย่างแน่ชัดเหลือเกินว่าพระราชอำนาจของพระองค์ที่มีอยู่ในปัจจุบันนั้น พระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราทรงมีพระบรมเดชานุภาพเป็นล้นพ้น  แต่ทรงเลือกใช้ เพื่อมิให้ กระทบต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน                ดังนั้น  ด้วยภาระหน้าที่ที่นักกฎหมายภายใต้ร่มโพธิสมภารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นี่เอง จึงเป็นสิ่งที่นักกฎหมายชาวไทยทุกคนที่อยู่ในองค์กรต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจ ตุลาการ หรือองค์กรอิสระ หรือองค์กรอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับบ้านเมือง   สมควรจะพิจารณาทบทวน การใช้วิชาความรู้ของตัวเองอย่างหนักว่าตนเองควรจะกระทำอย่างไร  ภายใต้สภาวการณ์ ของบ้านเมืองที่ท้าทายการใช้วิชาความรู้ของแต่ละคนที่เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจทางตุลาการ และการตีความกฎหมาย การปรับใช้ข้อกฎหมาย ตามแนวทางของกฎหมายมหาชน  ว่า านักกฎหมายได้ใช้กฎหมายนั้นเพื่อสนองความต้องการของตัวเอง หรือตีกรอบกฎหมาย จนกระทั่งไม่สามารถเรียกหาความสงบเรียบร้อยให้แก่บ้านเมืองได้  หรือจะหันมาพิจารณา ช่วยกันปรับใช้กฎหมายตามอำนาจหน้าที่ของแต่ละคน  เพื่อนำพาความสงบเรียบร้อยมาสู่ ประชาชนและประเทศ ภายใต้ปีอันเป็นศุภมงคลยิ่งของไทยในปีนี้                                              ~~~~~ขอพระองค์ทรงพระเจริญ ~~~~~~ จากคุณ : โตมิโต กูโชว์ดะ - [ 9 มิ.ย. 49 07:39:10 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน (วันนี้เห็นพระองค์โบกมือทางทีวีแล้วดีใจ๊ ดีใจ น้ำตาซึมหลายหนช่วงนี้) จากคุณ : scottie - [ 9 มิ.ย. 49 16:50:14 ]

ความคิดเห็นที่ 3 อยากให้นักกฎหมายและผู้ปฏิบัติงานเกี่ยวกับความสงบสุข ความอยู่ดีมีสุขของประชาชน เห็นภาพ (ที่ผมไม่มีโอกาสได้เห็น) เหล่านี้แล้ว เกิดจิตสำนึกอย่างที่พี่โตฯ เขียนไว้ในย่อหน้าสุดท้ายครับ ขอให้พระองค์สุขภาพแข็งแรงทั้งกายและใจ อยู่เป็นร่มฟ้าบารมีคนไทยไปอีกนานๆ อืม ว่าแล้ววันไหนมีโอกาสไปทำบุญถวายพระองค์ท่านมั่งดีกว่า จากคุณ : คุณพีทคุง (พิธันดร) - [ 9 มิ.ย. 49 17:01:59 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ขอบคุณคุณโตมิฯ ครับ ที่มีทความดีๆ มาให้อ่าน วันนี้น้ำตาซึมเหมือนกันครับ ------------------------------- จากคุณ : นายตั๋ม เจ้าสำราญ (คั่วกลิ้ง) - [ 9 มิ.ย. 49 18:20:26 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน จากคุณ : ธรณ์ธันย์ - [ 9 มิ.ย. 49 21:12:48 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ที่เขียนบทความนี้ขึ้นมา  เพราะมีงานบางอย่างเกี่ยวพันกัน แต่เมื่อเขียนแล้ว  ก็เป็นชิ้นงานที่บ่งบอกถึงทัศนคติบางอย่างของตัวเองที่อยากถ่ายทอดให้คนอื่นได้รับทราบ  มากกว่าที่จะเก็บไว้เป็นเพียงงานบนหน้ากระดาษ   วันนี้ตัวเองก็คงเป็นเหมือนคนอื่นๆ  ที่ร้องไห้อยู่หน้าจอทีวี   ร้องไห้จริงๆ จากคุณ : โตมิโต กูโชว์ดะ - [ 9 มิ.ย. 49 21:42:46 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ร้องด้วย...ฮือ ฮือ ภูมิใจเหลือเกินที่ได้เกิดมาใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร เห็นสายพระเนตรแล้วมีกำลังใจ รู้เลยว่ามีท่านคุ้มกะลาหัวตัวเองอยู่นี่แหละ บ้านเมืองถึงได้ร่มเย็น อยากให้พวกที่กำลังนึกถึงแต่ตัวเอง สำนึกได้จังคุณโต ถ้าพวกเขาสำนึกได้วันนี้... พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวคงแย้มสรวลให้เราเห็นบ่อยครั้งขึ้นแน่ จากคุณ : noo-uan - [ 9 มิ.ย. 49 21:51:35 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ถอนสายบัวให้ในหลวงหนึ่งที จากคุณ : i_tua_yung - [ 9 มิ.ย. 49 23:17:22 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ร้องไห้หน้าทีวีเหมือนกันค่ะ จากคุณ : คีตาญชลี - [ 10 มิ.ย. 49 01:15:34 ]

ความคิดเห็นที่ 10 เหมือนกับ พี่คีตาญชลี เลยค่ะ ไม่ว่าจะดูจากทีวี กี่ครั้งกี่หน ก็ปลาบปลื้มหัวใจนัก อดน้ำตาไหลไม่ได้สักที ขอให้พระองค์ทรงพระเจริญ อยู่เป็นมิ่งขวัญของราษฎรทั่วราชฏร์ จากคุณ : วิงจี้ (winggy) - [ 10 มิ.ย. 49 20:53:43 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ในฐานะของคนที่เรียนนิติศาสตร์ บทความของคุณโตมิโตฯ ได้พูดแทนใจไปหมดแล้วจริง ๆ ขอบคุณสำหรับบทความนี้มาก ๆ ค่ะ โชคดีที่สุดที่ได้เกิดมาเป็นพสกนิกรใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : ปิยะรักษ์ - [ 10 มิ.ย. 49 21:42:43 ]

ความคิดเห็นที่ 12 โตมิฯ รวบรวมพระบรมราโชวาท  เกี่ยวกับกฎหมายไว้เยอะค่ะ   เดี๋ยวจะลองตัดต่อมาลงให้อ่านกัน ปล. วันนี้ไมรู้เป็นอะไร...สงสัยเห็นรูปคุณปิยะรักษ์ แล้วน้ำตาจะไหล พิมพ์ผิดตลอดเลย แก้ไขเมื่อ 11 มิ.ย. 49 07:39:46 แก้ไขเมื่อ 11 มิ.ย. 49 07:38:44 จากคุณ : โตมิโต กูโชว์ดะ - [ 11 มิ.ย. 49 07:37:57 ]

ความคิดเห็นที่ 13 เพิ่งได้ดูคลิปวิดีโอพระราชดำรัสขณะที่พระองค์เสด็จออกมหาสมาคม ณ สีหบัญชร นั่งน้ำตาไหลพรากๆอยู่หน้าคอมฯนี่ล่ะค่ะ ยิ่งเห็นตอนพระองค์โบกพระหัตถ์ให้ประชาชน ดูแล้วซาบซึ้งจังค่ะ     จากคุณ : nongwin - [ 11 มิ.ย. 49 20:52:28 ]