เสียงซอดังแว่วมาตอนกลางดึก ฟังดูหดหู่ เปลี่ยวเหงา เศร้าสร้อยเสียจนคิดว่าคนที่กำลังสีอยู่นั้นได้ถ่ายทอดอารมณ์ของเขาออกมาทางดนตรี ธีระพงศ์ละมือจากพู่กัน เขาเหลือบมองดูนาฬิกาที่ผนังห้อง เข็มชั่วโมงกับเข็มนาทีชี้ไปที่เลขสิบสอง ซึ่งเป็นเวลาเที่ยงคืนพอดี เขาสังเกตมาหลายคืน เวลาเที่ยงคืนตรงเสียงซอนี้จะแว่วดังมาจากห้องใดห้องหนึ่งในห้องเช่าแห่งนี้ แล้วก็จะสงบลงเมื่อเวลาล่วงเลยมาจนเป็นเวลาตีสามตรงของทุกคืน
เขาเพ่งมองรูปผู้หญิงคนหนึ่งในรูปที่เขาจะเขียน แต่เพิ่งวาดเสร็จเฉพาะใบหน้า หล่อนกำลังยิ้มละไมมาที่เขา และไม่ได้แฝงความนัยอะไรไว้ในรอยยิ้มนั้น เหมือนกับที่ เลโอนาร์โด ดาวินชี แฝงไว้ในภาพ โมนาลิซา แต่ภาพนี้เขาตั้งใจจะสื่อภาพผู้หญิงคนหนึ่ง ถ้าไม่ได้มองลึกลงไปในรายละเอียดจะไม่รู้เลยว่าเบื้องลึกของเธอนั้นมีอะไรที่เลวร้ายน่ากลัวแอบแฝงอยู่ ซึ่งเขาเองต้องพยายามซ่อนรายละเอียดตรงนี้เอาไว้ เพื่อจะบอกแก่ผู้เสพงานของเขา และจะต้องไม่ได้ดูเป็นการบอกแบบโจ่งแจ้งเกินไป
เสียงซอจากห้องตรงข้ามก็ยังคงดังแว่ว เหมือนกับเสียงสะอื้นไห้ของใครบางคน บางอารมณ์เขาก็เคยเคลิบเคลิ้มไปกับมัน บางอารมณ์เขากลับนึกรำคาญขึ้นมาเสียไม่ได้ คืนนี้ก็เป็นอีกคืนที่เขารู้สึกเช่นนั้น ธีระพงศ์สลัดความคิดต่างๆ ออกไปจากหัว แล้วรวบรวมสมาธิให้กลับมา บุหรี่ในมือถูกบี้ลงไปในที่เขี่ย แล้วหยิบพู่กันมาวาดต่อ แม้ว่าเขาจะยังไม่รู้ว่ารูปนั้นจะออกมาในรูปแบบใด แต่เหมือนกับว่าสมาธิของเขาได้ขาดกระเจิงไปไหนต่อไหนแล้ว
นาฬิกาที่ผนังห้องบอกเวลาตีหนึ่งเศษ เขาคงเขียนภาพต่อไปไม่ได้ถ้ายังมีเสียงซอนี้ดังรบกวนโสตประสาทอยู่ หรือไม่ก็ต้องรอจนถึงตีสามเสียงนั้นถึงจะเงียบหายไป แต่เขาคงทนถึงตอนนั้นไม่ไหว เพราะเสียงมันเริ่มดังถี่กระชั้นขึ้นเรื่อย ๆ จาก เศร้าสร้อย เซื่องซึม กลายเป็นเร็ว แรง รัวถี่กระชั้น คล้ายกับผู้ที่กำลังบรรเลงอยู่ในอารมณ์เกรี้ยวโกรธ
ธีระพงศ์วางพู่กันลง ลุกจากเก้าอี้เดินไปที่ประตู เขาจำเป็นต้องคุยกับเพื่อนบ้านของเขา แม้มันจะไม่เป็นการดีนักถ้าจะไปเคาะประตูห้องใครคนหนึ่งที่ไม่รู้จักกลางดึกเช่นนี้ แต่เพื่อนบ้านของเขาก็ทำไม่ถูกเช่นกันที่จะมาทำเสียงดังรบกวนใครต่อใครในตอนดึกดื่น และมันก็ไม่ใช่แค่คืนเดียว มันตั้งแต่ที่เขาเริ่มย้ายเข้ามาแล้ว ทั้งที่เขาเองก็บอกกับผู้ดูแลห้องเช่าแห่งนี้ไปแล้วว่าต้องการห้องที่เงียบที่สุด ชายคนดูแลก็ชี้มาที่ห้องนี้ซึ่งเป็นห้องอยู่ริมสุด แต่คืนแรกที่ได้ยินเสียงซอเขาก็รู้แล้วว่าชั้นนี้มาคนเช่าอยู่ก่อนหน้าเขาอีก ซึ่งก็คือห้องที่เขากำลังจะเคาะประตูอยู่นี่เอง
เขามายืนอยู่ที่หน้าประตูห้องเจ้าของเสียงนั้น เสียงซอยังรัวเร็ว เขาเอามือเคาะประตูไปสามครั้ง แต่ไม่มีเสียงคนตอบรับ เขาเคาะรัวไปอีกหลายครั้ง เสียงนั้นไม่มีทีท่าว่าจะเงียบลงเลย จนบางครั้งก็เหมือนกับใครบางคนเปิดเครื่องเล่นซีดีเอาไว้ เขาตะโกนเรียกไปอีก คราวนี้ได้ผล เสียงซอนั้นเงียบลง แต่ไม่มีใครเดินมาเปิดประตู ธีระพงศ์คิดว่าเจ้าของห้องเองคงไม่กล้าออกมาเปิดประตู แต่ก็พอใจในระดับหนึ่ง อย่างน้อย ๆ ก็ทำให้เสียงนั้นเงียบลงไปได้ แต่จะเดินกลับห้องโดยไม่ได้บอกจุดประสงค์ที่เขามาเคาะห้องกลางดึกคงไม่ได้ เพราะเดี๋ยวเสียงนั้นก็คงจะดังขึ้นอีกเป็นแน่
เขาจึงตะโกนพูดไป
ที่คุณเล่นมันก็เพราะดีนะ
เงียบ...
แต่เสียงมันดังไปหน่อย ผมทำงานไม่ได้
เงียบอีก...
ผมไม่ได้ว่าคุณนะ เพียงอยากให้คุณลด ๆ เสียงลงบ้างเท่านั้นเอง
เหมือนพูดกับตัวเอง ไม่มีเสียงใด ๆ เล็ดลอดออกมาจากห้องนั้นเลย ธีระพงศ์คิดว่าเขาคงจะได้ยินที่เขาพูดออกไป กำลังจะหันหลังเดินมาที่ห้องตัวเอง พลันเสียงจากห้องนั้นก็ดังมา
ฉันเสียใจค่ะ
เป็นเสียงผู้หญิง คะเนจากน้ำเสียงที่ได้ยิน เขาเดาเอาว่าเธอน่าจะเป็นคนมีอายุสักหน่อย แต่จะเป็นใครก็แล้วแต่เขาไม่ได้ตั้งใจจะมาหาเรื่องหรือสร้างความขุ่นเคืองแก่เพื่อนบ้านของเขา มันดูไม่เข้าท่าเอาเสียเลยที่เพิ่งรู้จักกันครั้งแรก แต่เป็นการรู้จักโดยการสร้างความขุ่นเคืองใจให้อีกฝ่าย เขาไม่ต้องการเป็นอย่างนั้น เขาเพียงแค่อยากมาขอร้องธรรมดาเท่านั้น
ไม่เป็นไรหรอก บังเอิญว่าผมทำงานดึก
ฉันเสียใจ เสียงนั้นปนด้วยสะอื้นไห้ เขาเองก็มั่นใจว่าฟังไม่ผิด หรือว่าบางทีเขาอาจจะพูดอะไรรุนแรงเกินไปจนเธอรับไม่ได้
ผมไม่ได้บอกให้คุณหยุดเล่นนะ ผมเพียงอยากบอกว่าเสียงมันดังไปหน่อย
ฉันเสียใจจริง ๆ เธอยังพูดประโยคเดิม เพียงแต่คราวนี้เธอร้องไห้ออกมาจริง ๆ เขาไม่รู้จะทำอย่างไรดี แต่มันก็ไม่ใช่ความผิดของเขา และก็ไม่ได้พูดอะไรรุนแรงไปเกินกว่าคำขอร้อง
ผมขอโทษก็แล้วกัน ถ้าทำให้คุณร้องไห้
ธีระพงศ์เดินเข้ามาที่ห้องตัวเองด้วยความงุนงง เขาทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ตัวเดิมนั้นอีกครั้ง เสียงร้องไห้ยังดังมาเรื่อย ๆ เหมือนกับว่าตัวเขาเองต่างหากที่เป็นฝ่ายไปเชิญชวนเสียงนั้นเข้ามาที่ห้อง เขานึกโทษตัวเอง เขาไม่น่าจะไปเคาะประตูห้องนั้นเลย บางทีการได้ฟังดนตรีมันก็คงดีกว่าการนั่งฟังคนร้องไห้เป็นไหน ๆ รู้สึกว่าที่บริเวณขมับเต้นตุบ ๆ เอนหลังพิงเก้าอี้พรูลมหายใจแรง ๆ หลายครั้งอยู่นาน เอามือนวดเบา ๆ บริเวณขมับไปมา แล้วเขาก็ผล็อยหลับไป
ดวงตะวันสาดส่องพาดขอบหน้าต่างเข้ามาถึงบริเวณกลางห้อง แล้วค่อย ๆ คืบคลานเข้ามายังที่ทำงานของเขา ธีระพงศ์ยังหลับอยู่ที่เก้าอี้ตัวนั้น โดยมีรูปผู้หญิงที่วาดได้แค่ใบหน้ากำลังยิ้มมาที่เขา เสียงเคาะประตูทำให้เขาต้องสะดุ้งตื่น สะบัดศีรษะไล่ความง่วงงุน มองไปที่ประตูรู้สึกแปลกใจกับอาคันตุกะของเขา เวลาขนาดนี้เขาไม่เคยมีแขกมาเคาะห้อง
เขาลุกจากเก้าอี้เดินไปเปิดประตู
โทษทีที่มารบกวนคุณแต่เช้า" คนที่มาเคาะพูดหน้าตาตื่น
" คุณยังสบายดีอยู่ไหม
เขาเป็นคนดูแลห้องเช่าที่นี่ เป็นชายร่างค่อนข้างเตี้ยอยู่สักหน่อย ตัดผมสั้นเกรียนหนวดเคราขึ้นหรอมแหรม แต่ธีระพงศ์จำชื่อเขาไม่ได้ เคยคุยกันครั้งเดียวก็ตอนที่ย้ายเข้ามาเมื่อสองอาทิตย์ที่แล้ว
ผมสบายดี มีเรื่องอะไรหรือ?
เขาค่อย ๆ หันไปที่ประตูห้องตรงข้ามมองดูแวบหนึ่ง แล้วหันมาที่หน้าของจิตรกร เอามือป้องปาก
เมื่อคืนคุณคุยกับใคร
จิตรกรขมวดคิ้ว เขาไม่ได้ตอบอะไร เหมือนกับไม่ค่อยเข้าใจเจตนาของอีกฝ่าย
เอ่อ..จริง ๆ แล้วมันก็เป็นเรื่องส่วนตัวของคุณน่ะนะ แต่..
ผมเดาเอาว่าคุณมีเรื่องอะไรอยากบอกผมแน่ ๆ "
เมื่อคืนผมเห็นคุณยืนคุยกับใครอยู่หน้าห้องนี้
อ้อ จิตรกรหัวเราะ ไม่มีอะไรหรอกแค่คุยกับเจ้าของห้องนี้ เขาเล่นดนตรีเสียงดังไปหน่อย
เสียงซอนั่นใช่มั้ย ผู้ดูแลถามหน้าตาตื่น
ใช่..แล้วคุณรู้ได้ไง ดึกดื่นขนาดนั้นไม่หลับไม่นอนหรือ
เมื่อคืนผมจะขึ้นไปบนดาดฟ้า ผมลืมปิดสวิทย์น้ำ แล้วก็เห็นคุณคุยอยู่กับ...
ก็อย่างที่ผมบอกนั่นแหละ ผมคุยอยู่กับคุณผู้หญิงห้องตรงข้ามผม เอ๊ะ!..นี่คุณมีอะไรหรือเปล่า
ผู้ดูแลห้องส่ายหน้า เปล่า ๆ เอ้อ..คุณกลัวผีมั้ย
จิตรกรสั่นหัว
ดี ผู้ดูแลดีดนิ้วดังเป๊าะ เพราะผมกำลังจะบอกอะไรคุณน่ะซี
เรื่องผี?
แน่นอน เขาพยักหน้า ขยับเข้ามาใกล้ ๆ จิตกร แล้วพูดเหมือนคนกระซิบ
ที่คุณคุยด้วยเมื่อคืน ไม่ใช่คนหรอก คุณโดนผีหลอก ในห้องนี้ไม่มีใครเช่าอยู่ หรือทั้งชั้นนี่แหละไม่มีใครกล้าเข้ามาอยู่เลย หรืออยู่ได้ไม่นานก็ต้องย้ายหนี ห้องนี้เคยมีผู้หญิงผูกคอตาย
-ต่อ คห.1 ด้านล่าง-
จากคุณ :
ความเชื่อ
- [
11 มิ.ย. 49 14:37:13
]