CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    >>>>..... ใต้แสงจันทร์ ....>>>>> บทที่ 4

    “ธารา”

    เสียงเรียกนั้นทำให้ธาราขยับตัวลุกขึ้นยืน ลมหนาวพัดมาวูบ ทำให้ต้องกระชับผ้าคลุมไหล่ผืนบางที่แทบไม่ให้ไออุ่นเท่าไรนักให้กระชับแน่นมากขึ้น

    รอบๆตัวเริ่มมีแสงสว่างมองเห็นสายน้ำที่ไหลเอื่อยๆ ลำแสงสีทองของรุ่งอรุณทอทาบขอบฟ้า ทำให้หมู่เมฆบนท้องฟ้าเป็นสีส้มแดง

    “มีอะไรหรือท่าน”

    เท้าที่ก้าวเข้าไปหาหญิงสาวของนายวาณิชชะงักกึก เมื่อเห็นสายตาที่จ้องมองมาที่เขาตรงๆ

    แม้ร่างโปร่งบางที่ยืนอยู่ตรงหน้าจะสวมเสื้อที่ไม่มีราคาค่างวดนัก แต่กิริยาท่ายืนและสายตาที่ทอดมองมานั้น มีอำนาจบางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกเกรงกลัวขึ้นมาวูบหนึ่ง จนเขาแทบจะเปลี่ยนใจไม่พูดสิ่งที่คิดกะการณ์ไว้เมื่อคืน

    “มีอะไรหรือท่าน” ธาราถามย้ำ เมื่อเห็นนายวาณิชยืนนิ่งไม่พูดจา

    วิทยากลืนน้ำลาย พยายามขจัดความรู้สึกแปลกๆที่เกิดขึ้น

    อย่าโง่หน่อยเลย เราจะมากลัวอะไรกับผู้หญิง แถมยังไร้ญาติขาดมิตรอย่างนี้ด้วย

    เขาเตือนตัวเอง พยายามฝืนยิ้มออกมา

    “เจ้ามาอยู่กับกองคาราวานของข้าเกือบเดือนแล้ว มีอะไรที่ทำให้ลำบากใจหรือไม่” เมื่อพูดได้ประโยคแรก ความรู้สึกแปลกๆที่เกิดขึ้นก็ค่อยๆหายไป เพ่งมองดวงหน้าสวยงามตรงหน้า ก่อนค่อยๆไล่สายตามองดูเรือนร่างโปร่งบางอย่างหลงใหล

    “ข้าก็อยู่สุขสบายดี ขอบคุณที่ให้ข้าได้อาศัยพักพิง...” เสียงที่ตอบกลับมานั้นเรียบเบาเหมือนไม่รู้สึกอะไรกับสายตาเล้าโลมของคนตรงหน้า แต่ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นลุกวาวจนน่ากลัวชั่วครู่ ก่อนจะสงบนิ่งเหมือนเดิม

    “เจ้าไม่ต้องมาขอบคุณข้าหรอก เมื่อวานข้าก็มัวแต่ยุ่งๆเลยไม่ได้ขอบใจเจ้า ถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเจ้า ข้าคงเสียหายมากกว่านี้” ขณะที่พูดเขาก็จ้องมองผิวขาวผ่องที่พ้นออกมาจากแขนเสื้อทรงกระบอกสีมอซอ และเรียวขาได้รูปที่ไว้ด้วยผ้าฝ้ายสีดำซึ่งโผล่พ้นชายกระโปรงสีน้ำเงินซีดยาวครึ่งแข้ง

    “เมื่อวานนัคขานักบัญชีคนเก่าของข้าก็ถูกพวกโจรชาติชั่วฆ่าตายเสียแล้ว ข้าเห็นว่าเจ้าสามารถทำบัญชีได้ ข้าจะให้เจ้าทำบัญชีแทนมีปัญหาไหม”

    “ได้...เริ่มเมื่อไร”

    “ไม่ต้องรีบร้อน" วิทยายิ้มให้อย่างใจดี ดวงตาเป็นประกายวาว "เมื่อวานเจ้าคงจะเหนื่อย เช้านี้ข้าอนุญาตให้พักผ่อนได้ตามสบาย ตอนบ่ายๆค่อยมาพบข้าที่กระโจมใหญ่”

    ร่างขาวผ่องพยักหน้าแทนคำตอบ หลุบตามองพื้นหญ้าเพื่อปิดบังแววตา ขยับตัวจะก้าวเดินออกไป

    กิริยาเช่นนั้นทำให้นายวาณิชเข้าใจว่าหญิงสาวตรงหน้าเกิดอาการเขินอายตัวเอง เขาขยับตัวเข้าขวางไว้ เอื้อมมือจับมือขาวผ่องคู่นั้นมั่น

    “เจ้าจะรีบไปไหนเล่า อากาศยามเช้านี้สดชื่นยิ่งนัก จะรีบกลับไปอุดอู้ในกระโจมทำไม อยู่คุยเป็นเพื่อนข้าก่อนดีกว่า”

    ธาราสะบัดมือให้หลุดจากการจับกุม “ขอบคุณ.....แต่ข้าอยากกลับกระโจม”

    “จะกลับไปทำไม ข้าว่ามานั่งเล่นชมนก...”

    วิทยาชะงักกึกไม่สามารถพูดต่อได้ เมื่อสบกับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่เหมือนมีกองไฟลุกโชนอยู่ข้างใน เขายืนนิ่งอึ้งด้วยความรู้สึกยำเกรง ผสมคละเคล้ากับความกลัวที่ไม่รู้สาเหตุ ทั้งๆที่หญิงสาวตรงหน้าเพียงแค่มองเขานิ่งๆเท่านั้น

    ต่างฝ่ายต่างนิ่งไปครู่

    ธาราถอนหายใจ ชั่วครู่ดวงตาก็กลับสงบนิ่งเหมือนเดิม

    “ถ้าไม่มีอะไรจะกล่าวแล้ว ข้าขอตัว”

    การหันหลังก้าวเดินออกห่างไปของหญิงสาวตรงหน้านั้น เป็นเหมือนสัญญาณบอกเป็นนัยๆว่า อย่าบังอาจคิดหรือเสนอในสิ่งที่เขาตั้งใจไว้ จากความเกรงกลัวกลับเปลี่ยนเป็นความโกรธอย่างรวดเร็ว

    “อย่ามาทำเป็นเล่นตัวหน่อยเลย!” วิทยาเดินตามไปกระชากไหล่ร่างสูงโปร่งให้หันกลับมา

    “ผู้หญิงที่ไร้ญาติขาดมิตรแถมยังความจำเสื่อมอย่างเจ้า การที่ข้าจะเสนอโอกาสให้เจ้ามาเป็นเมียคนที่ห้าของข้าก็ดีเท่าไรแล้ว ข้าอยากรู้นักว่าถ้าข้าไล่เจ้าออกจากกองคาราวานนี้เจ้าจะมีชีวิตรอดได้สักกี่วัน หรือเจ้าอยากไปเป็นเมียพวกโจรป่าพวกนั้นมากกว่า”

    นายวาณิชออกแรงดึงร่างโปร่งบางนั้นเข้ามากอดอย่างหย่ามใจ แต่เพียงชั่วพริบตากลับพบว่าตัวเองนอนกลิ้งอยู่บนพื้น ไหล่ซ้ายรู้สึกปวดร้าวเหมือนถูกเข็มนับร้อยๆเล่นทิ่มแทง จนเขาต้องร้องออกมา

    ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นลุกวาว

    “เจ้าทำอะไรข้า” เขาร้องโวยวายเสียงดัง มือจับไหล่ซ้ายแน่น

    ริมฝีปากสวยได้รูปนั้นแย้มออกเล็กน้อยเหมือนเยาะหยันคนที่นอนครวญครางอยู่บนพื้น

    “เบาๆหน่อยก็ได้ท่าน” เสียงพูดนั้นยังเรียบเบา “แค่เป็นการกดจุดเล็กน้อย ถ้ายอมอยู่นิ่งๆอีกสักครู่มันก็จะค่อยๆหายปวดเอง ข้าไม่คิดจะทำอะไร เพียงแต่อยากแสดงให้ท่านเห็นว่า ข้าพอมีฝีมือในการสู้รบ ดังนั้นในขณะที่ท่านเหลือนักรบรับจ้างที่ยังใช้การได้จริงๆเพียงไม่กี่คน ถ้าท่านยังกรุณาให้ข้าได้อาศัยกองคาราวานนี้ต่อไป จะมีประโยชน์ต่อท่านมากกว่าไล่ข้าออกไป เพราะนอกจากข้าจะช่วยท่านทำบัญชีได้แล้ว ยังสามารถช่วยท่านคุ้มครองกองคาราวานได้อีกแรงหนึ่งด้วย”

    คำพูดเหมือนจะขอร้อง แต่สายตาที่มองตรงมานั้นทำให้นายวาณิชพูดอะไรไม่ออก แม้รู้สึกกรุ่นโกรธอยู่ภายใน แต่กลับทำอะไรหญิงสาวตรงหน้าไม่ได้ด้วยตระหนักถึงความสามารถของตัวเองดี มือขวายังจับไหล่ซ้ายแน่น ค่อยๆขยับตัวลุกขึ้น สายตามองหญิงสาวตรงหน้าไม่วางตา

    เสียงแหวกหญ้ามาตามทางเดินนั้นทำให้ทั้งสองหันกลับไปมอง

    ร่างของสตรีตั้งครรภ์ก้าวเดินเลี้ยวพ้นพงหญ้าออกมา ยิ้มให้ธารา “ตื่นเช้ามาไม่เห็นเจ้า ข้าก็รู้ว่า เจ้าต้องมายืนชมพระอาทิตย์ขึ้นริมน้ำแน่ๆ ข้าเลยมาชวนเจ้าไปอาบน้ำด้วยกัน” คนพูดชะงักไป เมื่อกวาดสายตาไปพบนายวานิชยืนกุมไหล่แน่น หน้านิ่วด้วยความเจ็บปวด ก็รีบเดินเข้าไปหากวาดตามองรอบๆตัว

    “เกิดอะไรขึ้นหรือนายท่าน หรือพวกโจรร้ายมันย้อนกลับมาทำร้ายพวกเราอีก” ไม่มีใครตอบคำถามนั้นสักคน ต่างยืนมองกันนิ่ง

    “ข้าอยากขอร้องให้ท่านกรุณาอนุญาตให้ข้าอยู่กับกองคาราวานนี้ต่อ”

    วิทยามองคนตรงหน้า แม้จะโกรธแสนโกรธเพียงใดแต่สติที่อยู่เหนืออารมณ์โกรธนั้น ทำให้ไม่สามารถเอ่ยปากไล่หญิงสาวอวดดีตรงหน้าอย่างที่พูดขู่ไว้

    นายวาณิชกำมือแน่น เค้นเสียงตอบ “กรุณาหรือ? คงต้องเป็นข้ามากกว่าที่ต้องพูดว่า กรุณาอยู่ต่อไปเถอะ!” ประโยคท้ายเน้นหนัก ขยับตัวเดิน มือยังจับไหล่นวดไปมาแม้จะรู้สึกปวดน้อยลง

    “ไผ่เงินประคองข้ากลับกระโจมที่พัก! แล้วไปบอกให้พวกที่ว่างงานให้รีบช่วยกันเก็บข้าวของ มัวชักช้าจะให้ไอ้โจรชั่วมันกลับมาปล้นจนฉิบหายหมดตัวก่อนหรือไง เวลาเที่ยงวันเราจะเริ่มออกเดินทางต่อไปเมืองเภตรา”

    ไผ่เงินมองหน้าคนทั้งสอง ไม่เข้าใจคำสนทนาที่ทั้งสองพูดกันเท่าไรนัก นึกเป็นห่วงธาราเหมือนกัน เพราะถ้าทำให้นายวาณิชโกรธอาจจะถูกลงโทษรุนแรงได้ แต่หญิงสาวร่างสูงโปร่งกลับมองมานิ่งๆ มุมปากยิ้มเล็กน้อย พยักหน้าให้สัญญาณว่าอีกสักครู่จะตามกลับไป หล่อนจึงประคองสามีให้ก้าวเดินกลับมาที่ลานพักกางกระโจมช้าๆ

    ธาราหันกลับไปมองสายน้ำที่ค่อยๆไหลรินตรงหน้า หล่อนรู้ว่านายวาณิชเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น เรื่องราวครั้งนี้คงไม่จบลงเพียงเท่านี้แน่ แต่ถ้าไม่เลือกทำเช่นนี้หล่อนก็ทำใจให้ยอมรับข้อเสนอที่ส่งมาให้ไม่ได้

    หญิงสาวขยับตัวเดิน จับผ้าคลุมไหล่ผืนบางให้กระชับขึ้น ลมหนาวที่พัดผ่าน นอกจากจะทำให้หล่อนหนาวสั่นไปทั้งตัวแล้ว ความหนาวเย็นนั้นยังเหมือนแทรกซึมเข้าไปในหัวใจ

    ผู้คนมากมายที่อยู่รอบตัว กลับยิ่งทำให้หล่อนรู้สึกโดดเดียวมากยิ่งขึ้น การฟื้นคืนสติขึ้นมาท่ามกลางคนแปลกหน้า และจดจำเรื่องราวใดๆเกี่ยวกับตัวเองไม่ได้ ช่างเป็นเรื่องที่น่าสะพรึงกลัวเหลือเกิน

    ++++++++++++++++++++++++

    (มีต่อค่ะ)

    * แก้ไขคำผิด

    แก้ไขเมื่อ 14 มิ.ย. 49 00:25:36

    จากคุณ : w_panda - [ 11 มิ.ย. 49 15:31:08 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com