ประชาธิปไตยใต้ร่มพระบารมี
บ่อยครั้งนักที่ในชีวิตของผมมักจะได้ยินคำ ๆ หนึ่งที่แม้มีถึงห้าพยางค์ ซึ่งก็นับได้ว่ามีความยาวของคำอยู่มากพอสมควรเลยทีเดียว หากทว่าก็ไม่ได้เป็นที่ยากนักหนาแก่การจดจำจนกลายเป็นที่คุ้นหู ติดปากมาตั้งแต่เยาว์วัยจวบจนถึงปัจจุบันนี้ นั่นอาจจะเป็นเพราะไม่ว่าทิศทางของชีวิตจะหันเหไปทางไหน คำ ๆ นี้ก็ยังคงมีส่วนเกี่ยวข้อง สัมพันธ์กับวิถีการดำเนินชีวิตของเราไปเสียในทุก ๆ ด้าน ถ้าพูดตามภาษานักประพันธ์ก็อาจกล่าวได้กล่าวได้ว่า ห้าพยางค์นี้ มันได้สอดประสานสนิทแนบเป็นเนื้อเดียวกันเป็นที่เรียบร้อยกับวงจรชีวิตของคนไทย จนยากเกินกว่าที่จะฟาดฟันให้แยกขาดออกจากกันได้ ในทุกวัยวันของชีวิต...ไล่เรื่อยไปตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษาหรือแม้กระทั่งไปจนระดับชั้นปริญญา ท่านอาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทสาระการเรียนรู้สังคมศึกษาก็ยังคงสอนให้เราได้เรียนรู้จักกับคำ ๆ นี้...ที่ออกเสียงว่า
ประ-ชา-ธิบ-ปะ-ไตย
อาจารย์ครับ...ประชาธิปไตยคืออะไรครับ ผมยังจำได้ว่าเมื่อครั้งหนึ่ง...สมัยที่ผมกำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นประถมศึกษา คาบหนึ่งของวิชาสังคมศึกษา ผมเคยถามคำถามนี้ขึ้นมากับท่านอาจารย์ผู้สอนด้วยเพราะความอยากรู้ตามประสาเด็กช่างซักช่างถามที่มีอยู่ในตัวถึงถ้อยคำที่มักจะ ได้ยินพวกผู้ใหญ่พูดถึงอยู่บ่อย ๆ และจากข่าวสารบ้านเมืองรายการทางวิทยุโทรทัศน์ต่าง ๆ เท่าที่จะผ่านสายตาและประสาทรับฟังของเด็กในช่วงวัยนี้จนสามารถเก็บคำจดบันทึกลงไปในหัวสมองน้อย ๆ ได้ ท่านอาจารย์ผู้สอนยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะตอบว่า ประชาธิปไตยก็คือ ระบบการปกครอง ที่ถือมติปวงชนเป็นใหญ่อย่างที่ประเทศเรามีใช้อยู่ในทุกวันนี้ยังไงล่ะคะ เมื่อผมได้เรียนรู้ เรื่องการเมืองการปกครองในระดับที่สูงขึ้นก็ทำให้ได้ทราบว่าถ้าเป็นในสมัยก่อนรัชสมัยของ รัชกาลที่ ๗ ไม่มีคนไทยคนไหนเลยที่รู้จักคำ ๆ นี้ ด้วยเพราะเวลานั้นยังไม่มีการบัญญัติศัพท์คำนี้ขึ้นมาใช้ทั้งในภาษาพูดและภาษาเขียน จะมีเพียงก็แต่กลุ่มชนชั้นปัญญาชนที่ได้มีโอกาสไปศึกษาต่อยังต่างประเทศเท่านั้นที่รู้จักคำ ๆ นี้ผ่านทางคำภาษาอังกฤษว่า Democracy คนไทยกว่าค่อนประเทศเพิ่งจะเคยได้ยินคำนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๗๕ แต่ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปีพุทธศักราช ๒๔๗๕ นั้น สังคมไทย ของเรามีการปกครองในระบอบที่เรียกว่า สมบูรณาญาสิทธิราชย์ คือการปกครองที่มีอำนาจสูงสุดของแผ่นดินอยู่ที่พระมหากษัตริย์ ทรงเป็นเจ้าชีวิต มีพระราชอำนาจเหนือหัวทุกชีวิตและทรงเป็นเจ้าแผ่นดินหรือการเป็นเจ้าของแผ่นดินทั่วราชอาณาจักร นั่นคือความเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่ถูกเรียกกันว่า พระเจ้าแผ่นดิน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานานนับพันปีที่มีพระมหากษัตริย์ดำรงพระเกียรติยศอยู่ในฐานะเจ้าชีวิตเจ้าแผ่นดินของไทยเรานั้นก็มีรูปแบบการใช้อำนาจรัฐาธิปัตย์แตกต่างกันไปบ้างตามกาลสมัย ในสมัยสุโขทัยเรามีพระมหากษัตริย์เป็นเจ้าชีวิต-เจ้าแผ่นดินที่เรียกขานกันว่า พ่อขุน ทรงเป็นผู้ครองนครที่คอยดูแลทุกข์สุขปกครองบ้านเมืองให้มีความเป็นอยู่อย่างปลอดภัย อันเป็นการปกครองแบบพ่อปกครองลูก ถัดมาในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็น ราชธานีพระมหากษัตริย์ทรงอยู่ในฐานะเจ้าชีวิต-เจ้าแผ่นดิน โดยทรงเป็นสมมติเทพของปวงชนชาวไทย กระทั่งในสมัยกรุงธนบุรีคาบเกี่ยวมาถึงในสมัยรัตนโกสินทร์ ความเป็นเจ้าชีวิต-เจ้าแผ่นดินได้ถูกเปลี่ยนแปลงรูปแบบอีกครั้ง กลายมาเป็นอเนกชนนิกรสโมสรสมมติในความหมายก็คือ พระเจ้าแผ่นดินที่ประชาชนทั้งปวงให้การยอมรับ ในช่วงเวลาที่การปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ยังคงดำรงอยู่นี้ พระมหากษัตริย์ก็คือกฏหมาย ที่มาของกฎหมายทั้งปวงอยู่ที่เจ้าชีวิต-เจ้าแผ่นดิน ดังคำกล่าวที่ว่า พระบรมราชานุภาพของพระเจ้าแผ่นดินกรุงสยามนี้ไม่ได้ปรากฏในกฏหมายอันหนึ่งอันใดด้วยเหตุที่ถือว่า เป็นที่ล้นพ้น ไม่มีข้อสั่งอันใดจะเป็นผู้บังคับขัดขวางได้ ภายหลังจากที่ระบอบการปกครองของเมืองไทยได้ถูกเปลี่ยนแปลงกลายมาเป็นระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ พระราชอำนาจที่เคยเป็นเสมือนท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ไพศาลถูกจำกัดลงให้อยู่ภายใต้กรอบของรัฐธรรมนูญ ตามสาระสำคัญของรัฐธรรมนูญฉบับปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว ซึ่งถือได้ว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศไทยได้กำหนดเอาไว้ว่าอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศหรืออำนาจอธิปไตยเป็นของราษฎรทั้งหลายไม่ใช่เป็นของพระมหากษัตริย์แต่พระองค์เดียว การใช้อำนาจสูงสุดมีบุคคลหรือคณะบุคคลเป็นผู้ใช้อำนาจแทนราษฎรดังนี้ คือ ๑. พระมหากษัตริย์ ๒. สภาผู้แทนราษฎร ๓. คณะกรรมการราษฎร ๔. ศาล พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจนิติบัญญัติร่วมกับสภาผู้แทนราษฎร มีอำนาจบริหารร่วมกับคณะกรรมการราษฎรและทรงใช้อำนาจตุลาการทางศาล และนับจากเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเกิดขึ้นแต่บัดนั้นแล้ว ความเป็นอยู่และเป็นไปของสังคมไทยก็เป็นไปอย่างสงบราบเรียบเช่นเดียวผิวน้ำที่คงกระเพื่อมไหวจากแรงดันของคลื่นใต้น้ำที่มีจังหวะถาโถมโหมซัดรุนแรงขึ้นบ้างเป็นบางเวลา วิกฤติการณ์บางอย่างที่เกิดขึ้นในประเทศไม่อยู่ในขอบข่ายที่คณะรัฐบาลสามารถที่จะเข้าไปแก้ไขเยียวยาได้ด้วยตนเองเพราะเป็นเรื่องความขัดแย้งระหว่างประชาชนกับภาครัฐ ที่เคยเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง ดังกรณีเหตุการณ์เมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๑๖ ประชาชนจำนวนมากรวมตัวกันเดินขบวนขับไล่จอมพลถนอม กิตติขจร พลเอกประภาส จารุเสถียร และพันเอกณรงค์ กิตติขจร ได้เกิดการเข่นฆ่าระหว่างคนไทยด้วยกัน ณ เวลานั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้ทั้งพระบารมี พระเมตตา พระปรีชาญาณตลอดจนพระราชอำนาจชนิดหนึ่งที่อยู่ในอุ้งพระหัตถ์ของพระองค์นั่นก็คือความจงรักและภักดีของปวงประชาเข้าแก้ไขสถานการณ์จนสงบเรียบร้อยลงด้วยดี และแล้วล้อเกวียนก็ได้เวียนมาบรรจบ ซ้ำรอยเดิมอีกครั้งเมื่อเดือนพฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๕ เกิดการเดินขบวนขับเพื่อไล่รัฐบาลของพลเอกสุจินดา คราประยูร จนมีเหตุปะทะกันถึงขั้นสูญเสียชีวิต พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเรียกทั้งพลเอกสุจินดา คราประยูรและพลตรีจำลอง ศรีเมือง เข้าเฝ้าเพื่อทรงตักเตือนให้แก้ไขปัญหา ดังถ้อยกระแสพระราชดำรัสตอนหนึ่งว่า ...ปัญหาของวันนี้ไม่ใช่ปัญหาของการบัญญัติหรือแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ปัญหาทุกวันนี้คือความปลอดภัยและขวัญของประชาชน... ๒ เหตุการณ์ที่หน้าประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้ว่าเคยเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ต่างกันบนผืนแผ่นดินไทย ทำให้ผมมองเห็นสัจธรรมอยู่ ๒ ข้อด้วยกัน อย่างแรกก็คือ บางครั้งเวลาที่ผ่านไปก็ไม่ได้ทำให้อะไรบางอย่างเปลี่ยนแปลงตามไปด้วยและแน่นอนคำว่า อำนาจเป็นของหวาน ก็ยังคงเป็นสิ่งเย้ายวนใจมนุษย์ปถุชนเสมอ ประโยคนี้เคยถูกกล่าวขึ้นมาโดยคุณประภัสสร เสวิกุล เอกอัครราชทูตนักเขียนชื่อดัง ไว้ในผลงานการประพันธ์นิยายเล่มแรกของท่าน...อำนาจ ผมยังไม่ใช่ผู้ที่มากไปด้วยวัยวุฒิและไม่กล้าคิดว่าตัวเองมีวุฒิภาวะทางความคิดที่มากล้นเกินวัย ทั้งผมไม่เคยคิดว่าตัวผมเองเป็นเด็กที่รู้จักและเข้าใจลึกซึ้งอย่างถ่องแท้มองเรื่องของการเมืองได้ทะลุปรุโปร่ง ด้วยเพราะไม่ใช่เด็กที่เติบโตมาในครอบครัวการเมือง โดยพื้นฐานแล้ว ผมเป็นเพียงเด็กที่รักการอ่านหนังสือ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือตำราที่เปี่ยมไปด้วยความรู้ตลอดจนหนังสืออ่านเล่นเพื่อความเพลิดเพลิน แต่ในขณะเดียวกันก็ได้รับแง่คิดและสาระในการดำรงชีวิตไปด้วย ข้อคิดที่ผมมักจะได้รับในทุกครั้งจากการอ่านหนังสือนวนิยายแนวการเมืองทุกเล่มก็คือ ...ในเกมการเมืองนั้นไม่ว่าฝ่ายไหนจะได้มากหรือเสียน้อยสักแค่ไหน บุคคลที่บอบช้ำและได้รับผลของการเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากที่สุดก็คงหลีกหนีไม่พ้นประชาชนที่ไม่เคยได้ลิ้มรสกับรสชาติขมปร่าของผู้แพ้ที่ได้ต่อสู้อย่างเต็มกำลังความสามารถจากการลงแข่งหรือมีโอกาสสัมผัสกับความหอมหวานอิ่มเอมเท่าที่อำนาจที่พึงมีในมือของผู้ชนะจะบันดาลให้มีได้ แต่เป็นผู้ที่ไม่ได้อยู่ทั้งฝ่ายแพ้หรือชนะที่ต้องทนรับรสกับความขมขื่นที่ตนเองไม่ได้ก่อขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า... แต่ ณ วันนี้ในความคิดของผม...ในสายตาของเด็กอายุ 16 ปีคนหนึ่งก็คือ ความหมายของประชาธิปไตยคือเครื่องมือที่ถูกนำมาใช้ในการแสวงหาอำนาจเช่นนั้นหรือ ประชาธิปไตยในวันนี้ไม่ได้มีความหมายตามพจนานุกรมที่ได้บัญญัติความหมายเอาไว้อีกต่อไปแล้วหรือว่า ระบบการปกครองที่ถือมติปวงชนเป็นใหญ่ / การถือเสียงข้างมากเป็นใหญ่ ประชาธิปไตยที่อยู่บนเส้นทางที่ขนานกัน ไม่มีวันที่จะบังเกิด ขึ้นได้ อย่างมากก็เป็นได้เพียงแค่ ประชาธิปไตยลวง ที่ต่างฝ่ายต่างกล่าวอ้าง หยิบฉวยคำที่มีอยู่แต่เดิมขึ้นมาเพื่อใช้นำหน้ารสชาติความหอมหวานที่ต่างก็ปรารถนาจะได้เป็นผู้ครอบครองแต่เท่านั้น ในความหมายของคำว่า ประชาธิปไตย จากความเข้าใจของผมมาโดยตลอดนั่นก็คือ ความอิสระที่จะคิด ที่จะทำการสิ่งใดที่อยู่ภายใต้กรอบของความเป็นคนดี ที่พระมหากษัตริย์ทรงประทานให้ด้วยพระราชหฤทัยที่เปี่ยมไปด้วยความปรารถนาดีแด่ปวงชนชาวไทยทุกคน เช่นนั้นแล้วประชาธิปไตยที่แท้จริงแล้วคงไม่ได้เกิดขึ้นเพราะอำนาจที่อยู่ในอุ้งมือของใครคนใดคนหนึ่ง อำนาจต่างหากคือตัวแปรที่เกิดขึ้นมาจากประชาธิปไตย...จากความเห็นชอบด้วยความคิดเห็นที่เป็นไปในทางเดียวกันของคนส่วนใหญ่และการใช้อำนาจนั้นก็คงไม่สามารถจะตีความตามตัวอักษรที่ถูกจารึกไว้บนหน้ากระดาษแต่เพียงเท่านั้น หากแต่ต้องสอดคล้องไปกับคุณธรรมและเมตตาธรรม...สำนึกที่สามัญที่สุดที่ดำรงอยู่ในหัวใจของพื้นฐานความเป็นมนุษย์ในทุกทั่วตัวคน สำหรับสัจธรรมอีกข้อหนึ่งที่ผมสัมผัสได้ก็คือถึงแม้ว่าเมืองไทยจะมีลักษณะสังคมที่ถูกกระแสแห่งกาลเวลาพัดพาให้เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยมากน้อยเพียงไร ระบอบการปกครองในวันนี้จะแตกต่างไปจากวันวารแค่ไหนก็ตามพระมหากษัตริย์...คือศูนย์รวมของจิตใจคนไทยไม่เสื่อมคลายเท่า ๆ กับความรักความห่วงใยของพ่อหลวงที่ทรงทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่ลูกไทยทุกคนจะต้องสูญเสียเลือดเนื้อ ชีวิตและหยดน้ำตาเพราะความขัดแย้งทางความคิดและทัศนคติที่เดินสวนทางกันของลูกไทยด้วยกันเอง
ปาฐกถาตอนหนึ่งที่พระวรวงศ์เธอกรมหมื่นพิทยาลาภพฤติยากรได้ทรงเคยแสดงเอาไว้ว่า
...ในวัฒนธรรมเดิมยองคนไทยเรานั้น พระมหากษัตริย์มีหน้าที่ดุจพ่อเมืองเป็นผู้นำออกรบพุ่งในเวลามีศึกสงคราม ทั้งเป็นพ่อผู้ปกครอง เป็นทั้งตุลาการของราษฎรในเวลาปกติ ความสัมพันธ์ระหว่างพระมหากษัตริย์กับประชาชนเป็นไปอย่างสนิทสนมมาก
แม้ว่าวันนี้สังคมไทยจะเปลี่ยนแปลงไปมากมายหลายอย่างจนไม่อาจพูดได้ว่าเหมือนเดิมเช่นที่วันวานเคยเป็นอยู่ หากทว่าคำกล่าวนี้ยังคงมีโอกาสใช้ได้ในวันนี้กับกษัตริย์มหาราชพระองค์หนึ่งผู้เป็นทั้งเจ้าชีวิต-เจ้าแผ่นดิน-เจ้าดวงใจของพสกนิกรชาวไทย ผู้มีพระนามเต็มว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล อดุลยเดชมหาราช แม้ว่าการเมืองเรื่องปกครองของเมืองไทยจะเป็นอย่างไร สิ่งหนึ่งที่ผมรู้ก็คือ เอกอัครกษัตราพระองค์นี้ทรงเป็นศูนย์รวมพักพิงทางจิตใจของปวงชนทุกหมู่เหล่า ทุกเชื้อชาติ ทุกศาสนาโดยเสมอมาและเสมอไป...ไม่ว่าในวังวนของการเมืองจะร้อนแรงหรือวิบไหวสักเท่าใด แต่ที่ใต้ร่มพระบารมีที่ปกเกล้าคุ้มกระหม่อมยังคงเป็นที่พักพิงที่เปี่ยมไปด้วยความหมายของหัวใจทุกดวงเสมอมาอย่างไม่เคยแปรเปลี่ยนมาตลอดระยะเวลาที่ล่วงผ่าน... เนิ่นนานนับ ๖๐ ปี...
*------*------*
จากคุณ :
เม่น
- [
14 มิ.ย. 49 22:02:57
A:58.9.123.131 X: TicketID:110346
]