CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    ๐:•:•:•:๐ ~ ... บุญเดียว ... ~ ๐:•:•:•:๐

    *


    บุญเดียว


    ร่างที่เหมือนไร้น้ำหนักลอยขึ้นแล้วตกลงมาอย่างแรง ความรู้สึกเจ็บแปลบซ่านไปทั่วทั้งร่าง…และไม่รู้สึกอะไรอีกเลย ไม่รู้แม้กระทั่งว่าได้หลุดออกมาจากซากรถได้อย่างไร


    สักครู่ใหญ่สำนึกของเขาก็เตือนให้ได้กลิ่นเลือดคาวคลุ้งจวนเจียนจะเป็นลม เลือดใครกัน…ความรู้สึกมึนพร่าและปวดศีรษะเริ่มรุมเร้า ประสาทสัมผัสที่เลือนลาง สายตาเลือนมัว แต่ก็เขายังรู้สึกได้อีกว่าตัวเองกำลังนอนเปรอะอยู่บนกองอะไรเหนียวๆ…เลือด!


    เสี้ยวหนึ่งของสติสัมปชัญญะอันน้อยนิด ส่งให้เขาเห็นลำแสงวูบเป็นทางยาวพุ่งตรงมาที่ตัวเขา


    “คงเป็นชาวบ้านที่กำลังมาช่วยเรา” เขาคิดเข้าข้างตนเอง ความเต็มตื้นเอ่อล้นขึ้นมาพร้อมกับการภาวนาของให้ความคิดของเขาไม่เป็นเท็จ


    “คนไทยที่มีน้ำใจยังมีอีกเยอะ แต่…ถ้าเป็นแค่พวกไทยมุงล่ะ?” ใจเขาพลันวูบไหวไปตามความคิด


    “แล้วถ้าเป็นยมทูตล่ะ…ไม่ได้นะ…เรายังไม่อยากตาย เราไม่เคยทำชั่วช้าสามานย์ที่ไหน เราทำแต่ดีเหรอ?…มันก็ไม่ใช่นี่นา เราก็เป็นเหมือนกับทุกๆ คนในโลกใบนี้นั่นแหละ ที่เลวไม่เคยมี แต่ความดีก็ไม่เคยแตะเหมือนกัน


    เพียงแต่ทำไมต้องเป็นเรา…แต่เมื่อเช้านี้ อา…ใช่สิ อย่างน้อยเมื่อเช้านี้ เราได้ทำความดี…เป็นบุญเดียวของเรา”


    ช่างนานเหลือเกิน นานเสียจนเขาคิดว่าคงหมดหวัง แสงไฟที่เห็นอาจเป็นเพียงรถที่ผ่านมาและก็ผ่านไป ตามแบบฉบับของคนที่ไม่สนใจเพราะมันไม่ใช่กงการอะไร… จะเป็นได้หรือว่าเขาจะต้องจบชีวิตลงในไม่ช้านี้เสียแล้ว…ความทรงจำเก่าๆ ทยอยไหลย้อนมาไม่ต่างกับสายน้ำที่ไหลคืน นี่คงเป็นลักษณะของคนจะสิ้นลมกระมัง…โอ เขาเคยทำความดีอะไรบ้างหนอ แน่นอนที่สุดอย่างน้อยก็เมื่อเช้านี้ แต่…นั่นจะเป็นความดีครั้งสุดท้ายของเขาแล้วจริงๆ หรือ?



    *



    รถกลางเก่ากลางใหม่แล่นฉิวไปตามถนนที่ยาวจนเหมือนจะทอดยาวไปจรดกับเมฆดำทะมึนเบื้องหน้า อีกไม่นานท้องฟ้าครึ้มนี้คงจะโปรยละอองชุ่มฉ่ำลงมาจนกระทั่งไม่ลืมหูลืมตาเป็ฯแน่


    สองข้างทางเป็นทุ่งโล่ง นานๆ จึงจะมีต้อนไม้ใหญ่ๆ สักต้นสวนผ่านเข้ามาในฉากข้างทางที่รถแล่นเลียบ ชายหนุ่มหมุนกระจกรถยนต์ขึ้นเมื่อเห็นว่าท้องฟ้าเบื้องบนคงไม่พลาดโอกาสที่จะพร่างพรมความชุ่มชื้นในครมนี้ แล้วจึงเปิดเพลงบรรเลงเบาๆ แทนเสียงหวีดหวิวของลมที่พัดอู้กรูเข้ามาเมื่อครู่ สมาธิตั้งมั่นที่จะขับรถยุโรปปุโรทังคันนี้ให้รอดไปถึงสระแก้วให้ได้ ด้วยเรื่องงานแท้ๆ ที่ทำให้เขาต้องห้อตะบันบึ่งรถมาให้ทันการณ์ก่อนที่ปัญหาที่ดินแปลงงามซึ่งบริษัทหมายตาเอาไว้ว่าจะเนรมิตให้เป็นบ้านจัดสรรแสนสวย จะยุ่งเสียก่อนเพราะน้ำมือของแกนน้ำชาวบ้านที่ปลุกปั่นเรื่องไม่ให้โครงการดำเนินต่อไปได้อย่างสะดวกทั้งการก่อสร้างและทางใจ


    มันกระทันหันมาก…ผู้จัดการเพิ่งบอกให้ไป ‘จัดการ’ เรื่อง เมื่อตอนสายของวันนี้เอง เหมือนกับเป็นโชคดีที่มีงานให้ทำหลังจากนั่งแกร่วอยู่ที่โต๊ะทำงานอย่างซังกะตายมาหลายวัน คงเป็ฯเพราะผลตอบแทนที่เขาทำเมื่อตอนเช้ามันส่งให้เห็นทันตาเห็นเป็นแน่…


    ใช่สิ…เมื่อเช้านี้เขายังรู้สึกอิ่มเองเปรมใจอยู่เลย ที่เขาเลือกที่จะเป็น ‘มนุษย์’ ที่แท้จริง ยายคนนั้นทำให้เขารู้สึกถึงความเป็นคน เปลี่ยนความรู้สึกเก่าๆ ความคิดเดิมๆ จนเขามิอาจจะเก็บกับความรู้สึกเอ่อล้นท้นใจนี้ได้ ระยะทางตั้งแต่กรุงเทพฯออกมายังไม่มมีเวลาใดที่เขาไม่หยุดคิดเรื่องนี้เลย เพราะมันแสนจะทำให้เขามีความสุข แม้ว่ามันเป็นเพียงบุญเดียว บุญแค่เล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม


    เขาจำได้ว่าเขากระหืดกระหอบออกมาจากลานจอดรถอย่างไร แต่โมโหกับเรื่องปัญหารถโลกแตกนี้มากมายกว่าขนาดไหน จนทำเอาไม่ได้สนใจ แถมเบื่อหน่ายยายแก่สกปรกกับเด็กชายตัวผอมโซสองคนเสียอีก ที่มานั่งขวางทางเข้าออฟฟิตของเจ้านายเขา


    เสื้อผ้าขาดวิ่น เนื้อตัวมอมแมมไม่ต่างจากหลานชายตัวน้อยที่นั่งดูดนิ้วอยู่ข้างๆ ทำเขารู้สึกขยะแขยง


    “พ่อหนุ่ม นึกว่าสงสารยายเถอะ ยายขอตังค์ค่ารถกลับปราจีนสักหน่อยเถอะนะพ่อคู้ณ” แทนที่จะเป็นใจ เขากลับชักสีหน้าใส่อย่างรำคาญใจ เมื่อได้ยิน พลางนึกในใจว่า…คงเป็นพวกมาหลอกขอเงินละสิ แหม…อุตส่าห์ไปหาเด็กมาเล่นละครด้วย อย่าหวังเลย


    “อะไรกันยาย ไม่มีเงินแล้วมากรุงเทพฯทำไม? ดูสิหอบลูกหลานมาลำบากด้วย” พูดพลางมองดูอย่างพิจารณา ผมยายยาวระบ่าเป็นสีเทาแถมพันกันยุ่งเหยิงกันทั้งศีรษะ ส่วนเจ้าเด็กน้อยสภาพก็ไม่ต่างกันเท่าใดนัก เสื้อผ้าที่สวมอยู่สกปรกดำด่างแทบมองไม่เห็นเค้าเดิมเลย แต่ก็ยังสองจิตสองใจ


    “ยายมาตามหาลูกสาว มันมาทำงานที่กรุงเทพฯ นังเรืองมันเคยส่งเงินไปให้ยายทุกเดือน แต่พักหลังนี้ไม่มีวี่แววมันเลยแม้แต่จดหมายสักฉบับพ่อคุณ แถมยังต้องเลี้ยงไอ้ตัวน้อยนี้สิ ที่บ้านไม่มีอะไรจะกินพ่อเอ๊ย…ข้าวสารสักเม็ดยังไม่มี ยายเลยกะว่าจะมาตามหามันนี่แหละ ที่อยู่ก็ไม่รู้ว่ามันอยู่ตรงไหน มันเคยเขียนบอก แต่ถามใครเขาก็บอกว่าไม่รู้จัก ยายว่าหมดหวังแวก็คิดว่าจะกลับบ้านดีกว่า หาผักหาหญ้ากินกันตามประสากันตาย เออ…นี่แหนะพ่อหนุ่ม ช่วยยายสักหน่อยเถอะนะ เผื่อจะรู้จักบ้าง นึกว่าสงสารเด็กมันก็ได้…” นางทำหน้าเศร้า แล้วนึกขึ้นได้ ยืนซองจดหมายเก่าๆ ที่ดูท่าจะถูกเปิดดูนับครั้งไม่ถ้วน หรือไม่ก็ทรหดอดทนมากับการเดินทางของยายแก่ผู้นี้ จึงได้ยับยู่ยี่ไม่เหลือเค้าเดิมของซองจดหมายลายดอกไม้แสนสวยอยู่เลย


    “นี่…เผื่อพ่อหนุ่มจะรู้จักบ้าง”


    “โอ๊ย…ไม่ร้งไม่รู้อะไรทั้งนั้นแหละ โธ่เอ๊ย…ไม่ส่งข่าวไปบ้านนานยั่งงั้นถูกฆ่าตายไปแล้วเหรอ…ไม่รู้ซะแล้วว่ากรุงเทพฯ มันโหดร้ายขนาดไหน?” เขาพูดด้วยความโมโหระคนรำคาญ


    คำพูดของเขาทำให้หญิงชราอึ้งไปทีเดียว ดวงตาเหม่อลอยคู่นั้นกลับค่อยๆ ระเรื่อแดงขึ้นเรื่อยๆ หากชายหนุ่มกลับไม่ใส่ใจนำพาเท่าไร ได้แต่หันหลังแล้วเดินเข้าออฟฟิตไป


    ทันทีที่เขาผลักประตูกระจกเข้าไป สายตาทุกคู่ก็จับจ้องมองมาที่เขา แต่เขาไม่สนใจ เพราะเป็นกิจวัตรประจำวันของเขาอยู่แล้วที่จะมาสาย…ช่วยไม่ได้ก็บ้านมันอยู่ไกลนี่นา แถมรถก็ยังติดมหาประลัยอีก


    “อ้าว…คุณชยุตม์มาสายตามเคยนะคะ…” เสียงแหลมใสซึ่งเป็นของพนักงานสาวช่างจำนรรจาประจำบริษัท ดังมาข้างๆ ยิ่งก่อกวนป่วนปั่นในหัวสมองของเขาทับทวี


    “ทำไงได้ล่ะครับคุณดาวดึงส์ รถติดออกอย่างนั้น แหม…มันช่างเป็นคำแก้ตัวที่ฟังไม่ขึ้นเลยใช่มั้ยครับ?”


    หญิงสาวที่ชื่อดาวดึงส์ที่ชอบเด้งดึ๋งหน้าหลังคนนั้นได้แต่ยัดไหล่ แต่ชยุตม์รู้ ภายใต้ท่าทางที่ดูเหมือนว่าไม่ใส่ใจนั้นแฝงรอยไว้ด้วยความแข่งขัน พูดง่ายๆ คือหล่อนเป็นคู่แข่งของเขาในการช่วงชิงตำแหน่งผู้จัดการ หลังจากที่เจ้าของตำแหน่งนี้เอ่ยปากว่าออกจะเบื่อหน่ายกับงานที่ทำ และจะปลดตัวเองเสียที ระหว่างหล่อนและเขาจึงมีอะไรมากกว่าถ้อยคำที่เคลือบน้ำหวานไว้เป็นอย่างดี


    “ก็ไม่เห็นจะเป็นไรนี่คะ เพียงแค่บริษัทเสียผลประโยชน์ที่ควรจะได้ไปไม่เท่าไรหรอกค่ะ อย่างคิดมากไปเลย…คุณชยุตม์” คำสุดท้ายที่เป็นการเรียกชื่อเขา ฟังดูแล้วน่าขนลุกมากกว่าท่าทีที่แสร้งทำเป็นอ่อนหวานของหล่อนหลายร้อยพันเท่า เห็นไหมล่ะไม่วายที่หล่อนจะทิ้งโอกาสเหน็บแนมเขา ศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก…ชายหนุ่มคิด


    เขาหันมาใส่ใจงานบนโต๊ะ แต่แทนที่จะมีกองแฟ้มเอกสารเหมือนเคยกลับว่างเปล่า แม้แต่เศษกระดาษสักแผ่นยังไม่มี อะไรกัน…


    เมื่อมีเวลาว่างเขาจึงมองออกไปข้างนอกผ่านผนังกระจก บังเอิญสายตาเจ้ากรรมเหลือบไปมองประตูทางเข้าอย่างไม่ได้ตั้งใจ เขาเห็นยายแก่กับหลานยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ยาแก่ที่ทำให้เขาเข้าทำงานสาย และอดทำงานชิ้นแรกของวันที่จะช่วยส่งเสริมความน่สเชื่อถือในตำแหน่งผู้จักการคนใหม่ในอนาคตบ้าง หรือพอจะลบล้างความผิดที่มาสายเป็นประจำได้บ้าง แต่งานชิ้นนั้นคงถูกตัดหน้าไปโดยแม่สาวดาวดึงส์คนนั้นแล้วอย่างแน่นอน…คิดแล้วเขาก็เริ่มหงุดหงิดขึ้นมาอีกรอบ


    ยายแก่คงนั่งพิงประตูทางเข้าบริษัทกับหลายชายตัวน้อยที่นอนแอบอิงอย่างไม่ทุกข์ร้อนอาทรต่อโชคชะตาของตนเองเลยแม้แต่น้อย ขณะที่ยายที่เดือดร้อนหาทางจะกลับบ้านโดยการขอเงินจากผู้สัญจรไปมา รวมถึงคุณยุทธินท์ผู้จัดการที่เดินผ่านยายไปอย่างไม่สนใจเข้าบริษัทมาเป็นคนสุดท้าย…จนแล้วจนรอดนางก็ยังไม่ได้เงิน


    ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาก็ไม่มีใครสนใจยาย ไม่อินังขังขอบใดๆ ทั้งสิ้น ได้ยินเสียงยายร้องขอก็เมื่อเห็ฯว่าเป็นคนที่ดูจะนึกสงสารยายอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีใครให้ความช่วยเหลืออยู่ดี ชยุตม์คิดว่า คนเหล่านี้ก็เหมือนกับเขานั่นแหละ ใครจะเสี่ยงให้ตัวเองโดนหลอกล่ะ…
    *

    จากคุณ : Roy_พิม - [ 22 มิ.ย. 49 16:14:53 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com