CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    *** Allan Quatermain *** จอมพรานสุดขอบฟ้า*** บทที่ ๗ การสังหารอย่างสยดสยองและร้ายกาจ

    แปลจากเรื่อง  Allan Quatermain  ของ SIR  HENRY  RIDER  HAGGARD

    บทที่ ๗
    การสังหารอย่างสยดสยองและร้ายกาจ

    จากนั้นทุกอย่างหยุดนิ่ง      พวกเรายืนอยู่ที่นั่นท่ามกลางความมืดมิด   เงียบสนิท    และเย็นเฉียบ    รอคอยเวลาออกเดินทาง       บางทีมันคงเป็นเวลาที่แสนจะทรมานอย่างที่สุด---เวลาเดินช้าเหลือเกิน       เวลาครึ่งชั่วโมงผ่านไปอย่างเชื่องช้า       เข็มนาทีเดินลากไปเหมือนถูกถ่วงด้วยตะกั่ว      ความเงียบสงัดจนน่าขนลุกเข้าครอบงำพวกเราทั้งหมดเอาไว้       ด้วยชะตากรรมที่รอคอยอยู่เบื้องหน้าสยบจิตใจของพวกเรา         ข้าพเจ้าจำได้ว่าครั้งหนึ่งเคยลุกขึ้นก่อนอรุณรุ่งไปดูคนถูกแขวนคอ      ในทันทีความรู้สึกคล้ายคลึงกันเข้ามาสู่จิตใจของข้าพเจ้า       เพียงแต่ว่าในคราวปัจจุบันนี้ความรู้สึกของข้าพเจ้าถูกปลุกเร้ามากกว่าจากคนที่อยู่รอบข้าง        หน้าตาขึงขังจริงจังของคนซึ่งรู้ดีว่าในช่วงเวลาสั้น ๆ ที่จะถึงนี้มีความหมายเป็นอย่างยิ่ง       และบางทีพวกเขาทุกคนกำลังจะเดินทางครั้งสำคัญไปสู่การลืมเลือนไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด        เสียงกระซิบอย่างแผ่วเบาที่พวกเขาโต้ตอบกัน        แม้แต่เซอร์เฮนรี่ก็พิจารณาขวานคู่มือของเขาอย่างครุ่นคิด        ท่าทางหงุดหงิดรำคาญใจของกัปตันกู๊ดเช็ดถูแว่นตาของเขาไม่หยุดหย่อน        ทั้งหมดนั้นบอกเล่าเรื่องราวเดียวกันถึงความตึงเครียดของคืนอันยาวนานจนกว่าจะถึงจุดแตกหัก        มีแต่อัมสโลโปกาสเพียงผู้เดียวเท่านั้นยืนพิงตัวเหมือนปกติด้วยขวานอินโกสีกาสและสูดลมหายใจเข้าอย่างแรงเป็นบางครั้ง      ยืนสงบแน่วนิ่งไม่เคลื่อนไหว      ไม่มีสิ่งใดมาสั่นคลอนประสาทอันแข็งแกร่งของเขาได้เลย

    ดวงจันทร์ลับขอบฟ้าไปแล้ว       เป็นเวลาเนิ่นนานที่เธอเข้าใกล้ขอบฟ้าไปเรื่อย ๆ       ตอนนี้เธอจมหายไปหมดดวงแล้วทิ้งให้โลกตกอยู่ในความมืดมิด       ยกเว้นสีเทาจาง ๆ ทางขอบฟ้าด้านตะวันออกเป็นการแสดงว่าอรุณกำลังจะรุ่งในไม่ช้า

    คุณแมคเคนซี่ยืนนิ่งถือนาฬิกาอยู่ในมือ       ภรรยายึดเกาะอยู่ที่แขนของเขาพยายามกลั้นสะอื้นเอาไว้

    “อีกยี่สิบนาทีจะตีสี่”    เขาพูดขึ้น    “มันควรจะมีแสงสว่างพอให้เข้าโจมตีตอนตีสี่ยี่สิบนาที      กัปตันกู๊ดน่าจะออกเดินทางได้แล้ว        เขาต้องการเวลาสามหรือสี่นาทีก่อนการโจมตีจะเริ่มขึ้น”

    กัปตันกู๊ดเช็ดแว่นตาเป็นครั้งสุดท้าย       ก้มหัวให้พวกเราด้วยท่าทีคึกคะนอง---ซึ่งช่วยไม่ได้ที่ข้าพเจ้าจะรู้สึกว่าเขาต้องทำบางอย่างเพื่อรวบรวมกำลังใจขึ้นมา---และด้วยท่าทีสุภาพ       ถอดหมวกเกราะเสริมเหล็กให้กับคุณแมคเคนซี่แล้วเริ่มออกเดินทางไปประจำตำแหน่งยังตอนบนของหมู่บ้าน       ซึ่งจะไปถึงได้โดยใช้เส้นทางอ้อมที่พวกพื้นเมืองรู้จักดี

    ขณะเดียวกันเด็กผู้ชายคนหนึ่งเข้ามารายงานว่าทุกคนในค่ายของพวกมาไซยกเว้นยามสองคนที่เดินเฝ้าอยู่ตรงปากทางเข้าพากันนอนหลับสนิท         ดังนั้นพวกเราที่เหลือออกเดินทาง      คนนำทางออกนำหน้าไปก่อน      จากนั้นเป็นเซอร์เฮนรี่    อัมสโลโปกาส     นักรบแวควาฟี่     และคนของคุณแมคเคนซี่อีกสองคนมีหอกยาวและโล่เป็นอาวุธ          ข้าพเจ้าออกตามไปโดยทันที    อัลฟองเซตามหลังมาพร้อมกับชาวพื้นเมืองห้าคนใช้ปืนเป็นอาวุธ         และคุณแมคเคนซี่ตามมาเป็นกองหลังพร้อมกับชาวพื้นเมืองหกคนที่เหลือ

    หมู่บ้านพักสัตว์เลี้ยงที่พวกมาไซตั้งค่ายพักอยู่ตรงเชิงเนินเขาที่ตัวบ้านตั้งอยู่       หรือพูดอย่างหยาบ ๆ ประมาณแปดร้อยหลาจากตัวสถานี          ระยะทางห้าร้อยหลาแรกเราเดินทางมาอย่างเงียบกริบและระมัดระวัง       หลังจากนั้นเราคืบคลานไปข้างหน้าอย่างเงียบเชียบเหมือนกับเสือดาวออกล่าเหยื่อ       วูบวาบไปเหมือนภูตผีจากพุ่มไม้หนึ่งไปยังพุ่มไม้หนึ่งและจากก้อนหินหนึ่งไปยังอีกก้อนหินหนึ่ง        เมื่อออกเดินทางไปได้เล็กน้อยข้าพเจ้ามีโอกาสมองกลับไปข้างหลัง     และได้เห็นว่าอัลฟองเซผู้ห้าวหาญเดินโซเซตามมาด้วยใบหน้าซีดเผือดหัวเข่าสั่นระริก      และปืนไรเฟิลของเขาที่ขึ้นนกเอาไว้พร้อมที่จะยิงชี้ตรงมายังแผ่นหลังของข้าพเจ้า       หยุดอยู่ชั่วครู่ข้าพเจ้าจัดการให้ปืนไรเฟิลเข้าเซฟเอาไว้แล้วออกเดินทางต่อ        และทุกอย่างเป็นไปด้วยดีจนเรามาถึงระยะประมาณหนึ่งร้อยหลาจากหมู่บ้าน       เมื่อฟันของเขาเริ่มกระทบกันอย่างรุนแรง

    “ถ้าแกไม่หยุดทำอย่างนั้นฉันจะฆ่าแกเดี๋ยวนี้เลย”      ข้าพเจ้ากระซิบบอกอย่างดุดัน      ด้วยความคิดที่ว่าชีวิตพวกเราทั้งหมดต้องมาถูกสังเวยเพราะเสียงฟันที่กระทบกันของพ่อครัวมันมากเกินไปแล้ว       ข้าพเจ้าเริ่มกลัวว่าเขาจะทรยศพวกเรา       และคิดอย่างจริงใจว่าเราควรทิ้งเขาเอาไว้ข้างหลัง  

    “แต่ว่านายท่าน     ผมช่วยไม่ได้จริง ๆ”    เขาตอบกลับมา   “เป็นเพราะว่ามันหนาว”

    ถึงตรงนี้เป็นสถานการณ์ที่บีบบังคับ       แต่ว่าโชคดีข้าพเจ้ามีแผนที่จะจัดการได้       ที่ในกระเป๋าเสื้อของข้าพเจ้ามีเศษผ้าขี้ริ้วชิ้นเล็ก ๆ  ที่ข้าพเจ้าเคยใช้ทำความสะอาดปืน     “เอาไอ้นี่ยัดปากแกไว้”      ข้าพเจ้ากระซิบอีกครั้ง    ยื่นผ้าขี้ริ้วให้เขา   “ถ้าฉันได้ยินเสียงอีกแกตายแน่”      ข้าพเจ้ารู้ว่ามันจะกันเสียงกระทบกันจากฟันของเขาได้        ข้าพเจ้าทำท่าให้ดูเหมือนว่าจะทำอย่างนั้นจริง ๆ      เขาทำตามโดยทันทีและเดินทางต่อไปได้โดยไม่มีเสียง

    จากนั้นเราคืบคลานต่อไป

    สุดท้ายเราก็มาถึงระยะห้าสิบหลาจากหมู่บ้าน        ระหว่างพวกเราและตัวหมู่บ้านเป็นพื้นที่ว่างเปล่าของเนินหญ้ามีเพียงต้นมิโมซ่าเพียงพุ่มเดียวและปอยพุ่มไม้หนามอีกสองสามปอยสำหรับกำบังตัว        พวกเรายังคงซ่อนตัวอยู่ในดงไม้ที่หนาแน่น        ฟ้าเริ่มสว่างแล้ว      ดวงดาวเผือดแสงลงกระพริบแสงเจือจางเล่นกับท้องฟ้าด้านตะวันออก       เราพอจะเห็นค่ายพักได้ชัดพอประมาณ       และบอกได้จากแสงขมุกขมัวจากท่อนฟืนที่กำลังจะดับว่ากองไฟค่ายพักของพวกมาไซอยู่ตรงไหน       เราหยุดอยู่และเฝ้ารอ      เพราะรู้ว่ามียามเฝ้าอยู่ตรงที่โล่ง      ในไม่ช้าเขาก็ปรากฏกายขึ้น      เป็นชายรูปร่างสูงใหญ่เดินไปมาอย่างเบื่อหน่ายในระยะห้าก้าวจากที่กีดขวางด้วยไม้หนามตรงทางเข้า      เราหวังว่าเขาคงจะงีบหลับแต่มันไม่เป็นเช่นนั้น        เขาดูเหมือนกับว่าจะตื่นอยู่เต็มที่อย่างผิดธรรมดา        ถ้าเราไม่สามารถฆ่าเขาอย่างเงียบเชียบทุกอย่างก็จะล้มเหลว       ที่ตรงนั้นพวกเราหมอบอยู่สายตาจับจ้องไปที่เขา         ในไม่ช้าอัมสโลโปกาสที่อยู่ข้างหน้าของข้าพเจ้าไปไม่กี่ก้าวหันกลับมาแล้วส่งสัญญาณบางอย่าง        วินาทีต่อมาข้าพเจ้าเห็นเขาลงคืบคลานด้วยท้องเลื้อยไปเหมือนงู        ฉวยโอกาสที่ยามหันหัวไปทางอื่นเลื้อยคืบคลานไปตามพื้นหญ้าโดยไม่มีเสียง

    ยามที่ยังไม่รู้ตัวเริ่มต้นส่งเสียงพึมพัมเป็นเพลงออกมาเบา ๆ       ส่วนอัมสโลโปกาสคืบคลานต่อไป       เขาไปถึงที่กำบังตัวหลังต้นมิโมซ่ายังไม่ถูกสังเกตเห็นรอคอยอยู่ตรงนั้น       ยามยังคงเดินไปมา        ในไม่ช้าเขาหันตัวมองข้ามรั้วเข้าไปยังค่ายพัก         ในทันทีมนุษย์งูที่ติดตามเขาอยู่เลื้อยคืบไปอีกสิบหลาเข้าไปอยู่หลังปอยไม้หนามปอยหนึ่งพอดีกับยามหันหน้ามาอีกครั้ง       เมื่อยามหันหน้ากลับมาสายตาของเขามองเข้าไปยังปอยไม้หนามและรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง       เขาก้าวเข้ามาหนึ่งก้าว       หยุดอยู่ตรงนั้นอ้าปากหาว      ก้มตัวลงหยิบหินก้อนเล็ก ๆ ขึ้นมาหนึ่งก้อนขว้างเข้าไปตรงนั้น      โดนเข้าที่หัวของอัมสโลโปกาสโชคดีที่ไม่โดนเสื้อเกราะ       ถ้าเป็นอย่างนั้นเสียงโลหะจะเปิดเผยตัวของพวกเรา        และโชคดียิ่งขึ้นไปอีกที่เสื้อเกราะเป็นสีน้ำตาลไม่ใช่สีโลหะสดใสที่จะสังเกตเห็นได้โดยง่าย        เป็นที่พอใจว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติเขาจึงเลิกความสนใจ       และพอใจที่จะยืนเอนตัวอยู่ด้วยหอกของเขายืนเพ่งมองอย่างเกียจคร้านไปยังปอยไม้หนาม      เป็นเวลาอย่างน้อยสามนาทีเขายืนอยู่อย่างนั้นปล่อยตัวตามสบายไปตามอารมณ์        พวกเราหมอบรออยู่ตรงนั้นกระวนกระวายอย่างที่สุด      เกรงไปว่าพวกเราจะถูกพบเห็นได้ทุกวินาทีหรือมีเรื่องร้ายแรงที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น        ข้าพเจ้าได้ยินเสียงฟันของอัลฟองเซทำบางอย่างกับเศษผ้าขี้ริ้ว      จึงหันหัวกลับมาทำหน้าข่มขู่ไปที่เขา        แต่ข้าพเจ้าต้องสารภาพว่าหัวใจของข้าพเจ้าเต้นรัวเช่นเดียวกับเสียงฟันของชาวฝรั่งเศส       ขณะที่เหงื่อแตกสะพรั่งออกมาจนท่วมตัวทำให้ผ้าหนังซับในของเสื้อเกราะติดกับตัวจนน่ารำคาญ       และขณะเดียวกันข้าพเจ้าอยู่ในสภาพที่น่าสังเวชรู้จักกันดีในหมู่นักเรียนว่าหวาดกลัวจนขนหัวลุก

    จากคุณ : Sv - [ วันสุนทรภู่ 21:13:25 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com