.....เมื่อเจ้าสาวที่กลัวฝน ตัดสินใจจะแต่งงาน..
อะไรเป็นจุดเปลี่ยนของความคิดนะ
เพราะรู้สึกว่าตัวเองเฉยๆ เฉยมาก
กับเรื่องการใช้ชีวิตคู่ อาจเป็นเพราะ
ไม่เจอคนที่อยากใช้ชีวิตด้วย แต่ถึงไม่เจอ
ก็ไม่มีความคิดฝันจะสร้างครอบครัว
ไม่วาดฝันเรื่องลูก เรื่องบ้าน เรื่องชีวิตสามีภรรยา
การที่เราสามารถพึ่งพาตัวเองได้
แถมยังเป็นที่ยอมรับชื่นชมมาตลอด
ทำให้มันภาคภูมิใจดีอยู่ ไม่โหยไม่หา
ที่พึ่งทางใจจากใคร แล้วก็ยังเป็นมิสเพอเฟ็คด้วย
คือตั้งมาตรฐานไว้สูง พอเจอคนที่เขามาเสนอตัวก็มักจะหาข้อจำกัดของเขา จนเลี่ยงปฏิเสธด้วยนานารูปแบบไป
มีไม่น้อยที่เขาเหล่านั้นเกรงๆ ขาดความมั่นใจในตัวเอง ในการสร้างปฏิสัมพันธ์ มันเลยไม่ได้คุยกับใครจริงๆจังๆ
เป็นเพราะเราถึงจุดที่เริ่มจะนิ่งแล้ว
ไม่ว่าหน้าที่การงาน การเงิน ภาระทางครอบครัว ทุกอย่างมันอยู่ตัวแล้ว ชีวิตกำลังถึงจุดสำเร็จ
ในระดับที่ตัวเองตั้งเอาไว้ ฉะนั้นเรื่อง
การสร้างครอบครัวจึงเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องนำมาพิจารณาเพื่อการตัดสินใจ
จะเป็นไปได้แค่ไหน ที่เราจะใช้ชีวิตคู่กับใครสักคน ? อัตตาเริ่มลดลง เราอยากมีชีวิตธรรมดา
ง่ายๆประสาสังคมคนทั่วไป มีครอบครัว มีสามี
มีลูก ใช้ชีวิตแบบธรรมดาๆ ทำงาน ใช้ชีวิต
แบบพอดีพอเพียง แล้วมีความบังเอิญ
เขาคนหนึ่งมาได้จังหวะการคิดพอดี
เลยใช้เป็นโมเดลสักหน่อย สัมพันธภาพเป็นไปด้วยดี หน้าที่การงาน รายได้ ก็พอโอเค
การศึกษาใช้ได้ทีเดียว ทัศนะความคิดก็เป็นที่น่าพอใจ แล้วติดตรงไหนอีกล่ะ เห็นทีจะติดตรงที่
เขาชัวร์กับเราไหมเท่านั้นเอง อยากให้โอกาสเขานะ
แต่ว่าเขาจะรับโอกาสไหมเท่านั้นแหละ
เชื่อว่า การมีคู่คุยคู่คิด การแชร์กันและกัน จะทำให้พร้อมสำหรับการเผชิญปัญหาอุปสรรคนานาประการ เราไม่ได้เจอคนเดียวแต่จะมีอีกคนมาแชร์ด้วย ครอบครัวของตัวเองเป็นเรื่องที่ต้องเลือกตัดสินใจเอง
ชาวโลกเขาแต่งงานกันเป็นวัฒนธรรมแล้ว
จะคิดมากไปทำไม เพื่อนๆพี่น้องก็แต่งงาน
มีลูก เลี้ยงลูก กันทั่วบ้านทั่วเมือง
จะวิตกกังวลอะไรเล่า ชีวิตมันก็จะพบ
ปัญหาอุปสรรคทั้งนั้น การมีคู่คุยคู่คิดจะทำให้
ปัญญาชีวิตผ่านไปได้ แม้แต่พี่ป้าน้าอาเพื่อนฝูงรอบตัว
ก็ยังมีครอบครัว มีลูก เลี้ยงลูกให้ได้เรียน
ให้ได้โตกันได้ เราเสียอีกที่มีโอกาสมากกว่าด้วยซ้ำ
ทั้งการงาน การเงิน ความรู้ ทำไมจะจัดการชีวิตไม่ได้ อยากพิสูจน์เหมือนกันว่าเราเลือกชีวิตตัวเองได้
ชีวิตลิขิตเองได้ไหม หรือชะตาลิขิตไว้
เคยไม่เชื่อเรื่องชะตาลิขิต เพราะเราเองเป็นผู้คิด ผู้ตัดสินใจ ผู้เลือกการกระทำของตัวเองได้ แต่วันผ่านคืนเปลี่ยนชีวิตมันเดินทางมาเรื่อยๆ เริ่มผลักภาระให้เป็นเรื่องของชะตาลิขิตล่ะ เพราะว่า หาเหตุผลให้ตัวเองไม่ได้ว่า ทำไม ณ ช่วงเวลานั้น
เราต้องไปอยู่ที่ที่หนึ่ง เราต้องพบผู้คนกลุ่มนั้นๆ
เราต้องมีความคิดในสถานการณ์นั้นๆ
ทำให้เราต้องเกิดการตัดสินใจในการกระทำ ซึ่งมันเป็นจุดเปลี่ยนให้ชีวิตทั้งนั้น อะไรล่ะเป็นตัวกำหนดให้คนต้องคิด ต้องตัดสินใจ ต้องกระทำณ ช่วงเวลานั้นๆ ณ สถานที่นั้นๆ และ กับบุคคลเหล่านั้น เหมือนมีอะไรมาออกแบบไว้ให้
แล้วเรื่องการใช้ชีวิตคู่ ก็คงเป็นเรื่องของชะตาลิขิตเช่นกัน เลือกไม่ได้ด้วยว่าจะต้องพบกับใครคนไหน พอๆกับที่เลือกไม่ได้ว่าจะไม่เอาคนไหน ถ้าเป็นเรื่องของชะตาลิขิตแล้ว ยังไงก็ต้องทำให้เราได้ตัดสินใจเลือกรับ หรือเลือกปฏิเสธได้ ก็ชะตากำหนดไว้ไง
ต้องทำใจยอมรับให้ได้ในเรื่องของการเลือกคนที่จะใช้ชีวิตอยู่ด้วย พอๆกับชีวิตที่ได้ผ่านกาลเวลา
เติบโตมาจนปัจจุบันที่ต้องพบกับผู้คนในแต่ละช่วงของชีวิต ไม่ว่าเพื่อนที่โรงเรียน ครูประจำชั้น เพื่อนร่วมงาน บริษัทหน่วยงาน องค์กร ที่เราต้องพาชีวิตไปเข้าเกี่ยวพันด้วย มันเลือกโดยอธิบายไม่ได้ ว่าทำไมต้องตัดสินใจเลือก เลือกที่จะคิด เลือกที่จะเกี่ยวข้องด้วย และมันก็ล้วนมีทั้งความน่ายินดี มีทั้งปัญหาอุปสรรค ทั้งสุขทั้งทุกข์ในนั้น แต่เราก็ประคับประคองชีวิตตัวตนมาได้
เหมือนกันเลย ถ้าเป็นชีวิตคู่ล่ะ เมื่อถูกกำหนดให้ต้องเลือก ก็เห็นต้องทำใจให้กว้าง ยอมรับความเปลี่ยนแปลง เตรียมพร้อมกับภาระ ปัญหาอุปสรรคที่จะต้องมีอย่างหลีกไม่ได้ ชะตาลิขิตให้ต้องเจอ
มองไปรอบตัว มีผู้คนมากมายที่ทำงานงกๆ
หาเงินผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ผ่อนลูก ผ่อนภาษีสังคม
ผ่อนชื่อเสียง เกียรติยศ ผ่อนบุคลิก
ผ่อนทุกเรื่องตลอดชีพ ทำไมเขาอยู่กันได้
ภาระที่หนักหนา ไม่ว่าชีวิตส่วนตัว เงินทอง
สัมพันธภาพ ภาระงาน ทุกคนไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
นั่นล่ะคือภาพชีวิตจริงๆในสังคม ที่มันจะต้องเป็นไปตามวิถี เราก็คนคนหนึ่ง เป็นแขนงเล็กของสังคม
คงต้องทำวิถีชีวิตให้มันกลมกลืนไป แม้ว่าด้วยความคิด ความเป็นตัวตนของตัวเอง จะคิด จะรู้สึก ได้แตกต่างกับคนส่วนใหญ่ แต่ในความเป็นจริงของชีวิต
เราไม่สามารถอยู่ในโลกอุดมคติได้ จะเป็นพวกติสท์จัด อยู่กับจินตนาการโลกเพ้อโลกฝัน ท่ามกลางความพลุกพล่านของโลกความเป็นจริงงั้นหรือ การยอมรับและทำตัวให้เท่าทัน รู้ทันความเปลี่ยนแปลงของชีวิตอยู่เสมอ
จะทำให้สามารถปรับตัวอยู่ได้อย่างไม่ยากเย็น
สิ่งที่ทำให้กลัวการแต่งงาน ก็เห็นจะเป็นเรื่องของ การกลัวภาระความรับผิดชอบที่จะต้องแบกรับ ทั้งภาระการสร้างความมั่นคงให้ครอบครัวและภาระการเลี้ยงดูลูกนี่แหละ เพราะมองด้วยมุมเดียว
มุมของความรู้สึกคนเดียว ไม่ได้เปิดตา
เปิดใจให้ยอมรับ ความเป็นจริงของชีวิต
ในโลกความเป็นจริง ยังปิดตัวเองไว้ในโลกส่วนตัว
คิดแผกแตกต่าง วนๆแต่ในโลกอุดมคติ
เลยมองว่าเรื่องของชีวิตในโลกความเป็นจริง
มันเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัส และน่าเจ็บปวดเอาการ
เลยหลีกและหนี ไม่อยากมีชีวิตตามสังคมส่วนใหญ่
แต่เอาเข้าจริงๆ เราหนีไม่ได้เลย
ยังต้องมีชีวิตอยู่กับโลกจริงๆ ยังต้องทำงาน
หาเงิน ใช้ชีวิต มีความสัมพันธ์ เกี่ยวข้อง ปฏิสัมพันธ์กับผู้คนในสังคม ดังนั้น ควรแล้วที่จะทำตัวให้กลมกลืน เป็นไปตามวิถีชีวิต ในโลกความเป็นจริง
นึกถึงความสุขเวลาที่ได้เล่นกับเด็กๆ รู้สึกว่าเป็นการอะดรีนาลีนในตัวได้อย่างดี ถ้าการมีลูกเล็กๆ น่ารักๆ ไว้เป็นเพื่อน คงเติมสีสันและสร้างพลังให้ชีวิตไม่น้อยเลย ใครต่อใครในโลกเขาก็ผลิตหน่อมนุษย์ได้มากมาย อย่างน้อยก็มีสิ่งที่เป็นของขวัญพิเศษแก่ชีวิต ทำให้แต่ละวันดูมีค่า
ชาวโลกเขาทำลูกออกมาเพ่นพ่านบนผืนดินได้ สามารถเลี้ยงดูให้เติบโตได้ เราก็ชาวโลกคนหนึ่งที่จะสามารถสร้างมนุษย์ขึ้นมาได้เช่นกัน อย่างน้อยๆก็ทำให้ชีวิตดูมีเป้าหมาย การทำงาน การหาเงิน
การมีชีวิตอยู่ จะได้มีจุดหมายอยู่ที่ลูก มีจุดยืนในครอบครัว ดีกว่าการใช้ชีวิตโสดไปเรื่อยๆ เพ้อๆฝันๆล่องลอยเรื่อยไป โดยไม่รู้ว่าจะทำงานหาเงินใช้ชีวิตอยู่ไปเพื่อใคร พาลจะเบื่อโลกเบื่อตัวเองไปเปล่าๆ
ลูกไม่ใช่เรื่องลำบากของชีวิตเลย แต่เป็นของขวัญอันแสนพิเศษที่สุด
อาจเคยกังวลเรื่อง ความไม่มั่นคงในสัมพันธภาพของคู่ชีวิต กลัวการหย่าร้าง แยกทาง
กลัวความร้าวฉาน กลัวปัญหาในครอบครัว
แต่ตอนนี้มองได้กว้างขึ้น ว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นในครอบครัว มันอยู่ที่คนในครอบครัวเองที่จะประคับประคอง
หรือทำให้มันแตกหัก ถ้ามันไม่ไหวจริงๆแล้ว
อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดไป ทำใจให้ยอมรับอย่างเดียว ยอมรับการเปลี่ยนแปลงให้ได้ มีสติรู้เท่าทันอยู่เสมอ
คงจะจัดการความยุ่งเหยิงในสัมพันธภาพไปได้
ขวัญและกำลังใจของตัวเราเอง เราสร้างได้เองเสมอ ควรต้องเผื่อใจและทำใจ ว่าในอนาคต เขาอาจเจ้าชู้ นอกใจ มีเมียน้อย ติดการพนัน ต้องคดี พิการ
เสียชีวิต ต้องหย่าร้าง แยกกันอยู่
คือทุกเรื่องไม่ว่ายังไง ต้องทำใจให้ได้ แม้ว่าจะต้องมีการจบชีวิตคู่ไป แต่ก็ต้องอยู่ได้อย่างมีพลังใจ
ไหนๆก็เคยอยู่ด้วยลำแข็งตัวเองมานานแล้วนี่ ถึงตอนนั้นถ้าจะต้องพึ่งพาตนเองอีกครั้ง คงไม่ใช่เรื่องลำบากอะไรเลย เตรียมใจ เผื่อใจ พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงของชีวิตอยู่เสมอ
แน่นอน สิ่งที่เป็นเงื่อนไขสำคัญ ของการไม่ยอมใช้ชีวิตคู่สักที คือความกลัวที่จะสูญเสียความเป็นส่วนตัวของตัวเองไป โลกส่วนตัว ความอิสระเสรี ความคิด ความฝัน ที่เคยมีอย่างเต็มที่
เวลาที่เป็นของตัวเอง ชีวิตจิตใจร่างกายความคิดสติปัญญา ที่เป็นของตัวเองเต็มๆ เป็นอันต้องเสียไป เอาไปแลกกับเวลาการดูแลครอบครัว เหมือนเป็นความเห็นแก่ตัวนะ ที่ยังไม่พร้อมจะดูแลเอาใจใส่ใคร นั่นคงเป็นความคิด ความรู้สึก ตอนที่ยังไม่เจอคนที่เราพร้อมยินยอมที่จะเสียสละความสุขส่วนตัว เพื่อทุ่มเทให้เขา กับคนที่รักมากๆ อะไรก็ยอม อะไรก็เต็มใจให้ได้หมดแหละ
สารพัดฉายา.....เจ้าสาวกลัวฝน ....คนเลือกมาก...ผู้หญิงมาตรฐานสูง..สาวมั่น...คนหยิ่ง....
เอาเถอะ ถึงอย่างไรก็ตาม เราเองนี่แหละที่รู้จักความรู้สึกของตัวเราเอง เมื่อได้เปิดตา เปิดหู เปิดใจ ปล่อยวางความเป็นอัตตา ก็เลยยอมรับชีวิตที่เป็นจริง ในสังคม ความเป็นโลกจริงของชีวิต ที่เราต้องอยู่ในสังคม มีชีวิตกลมกลืนไปในวิถี การแต่งงาน การใช้ชีวิตคู่ การเลี้ยงลูก การดูแลคนในครอบครัว ภาระหน้าที่รับผิดชอบการเสียสละความสุขส่วนตัว ความเป็นตัวตน เป็นสิ่งที่ผู้หญิงต้องพบเจอกันอยู่แล้ว คิดอะไรมากมาย เขามี เขาทำ เขาเป็น กันทั่วบ้านทั่วเมือง คิดมากไปไย
การเจอคนที่ใช่ เป็นคนที่เราอยากอยู่ด้วยจริงๆจะเปียกสักกี่ฝนจะกลัวไปไย มีอีกคนที่จะโอบกอด กันฝน หรือเปียกฝนเป็นเพื่อนด้วยกัน...จะชะตาลิขิต หรือสิ่งใดกำหนดก็แล้วแต่ล่ะ เอาเป็นว่า เปิดตาเปิดใจ พร้อมที่จะมองชีวิตด้วยมุมใหม่ แม้ว่าจะยืนในจุดเดิม ..การใช้ชีวิตคู่ การสร้างครอบครัว เป็นหน้าที่หนึ่งในสังคม ที่เราจะต้องทำตัวให้กลมกลืนไปกับวิถี ยอมรับและรู้เท่าทันความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
..เจ้าสาวกลัวฝน..คงได้วิ่งออกไปกลางห่าฝน ไปสัมผัสความสดชื่น เย็นฉ่ำชะที.......
จากคุณ :
เพลงสน บนยอดภู
- [
วันสุนทรภู่ 23:40:01
]