CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    [เรื่องสั้นคั่นบรรยากาศ] ทางเดินบนดวงดาวสีฟ้า : ตอน กำแพงแห่งหัวใจ

    ตอน กำแพงแห่งหัวใจ


             เสียงร่ำไห้อ้อนวอนขอความช่วยเหลือ ดังลั่นออก
    มาจากหน้าห้องผู้ป่วยฉุกเฉิน


        หญิงวัยกลางคนกำลังส่งเสียงร่ำร้องอ้อนวอนขอให้ลูก
    สาวเธอที่อยู่ในอาการโคม่าให้ได้รับการผ่าตัดที่ต้องใช้ค่า
    ใช้จ่ายขั้นสูง


        แต่ผมรู้..ว่าเธอคงไม่มีเงินมากพอ มากพอที่จะให้แก่
    ทางโรงพยาบาล นั่นเองที่ทำให้น้ำเสียงเจ็บแค้นในชะตา
    กรรมของตัวเอง ยิ่งดังกู่ก้อง..ปริ่มจะขาดใจ


         ดวงตานับสิบกว่าคู่ต้องหันมาสบกันโดยมิได้นัดหมาย
    ส่งผ่านความรู้สึกบางอย่าง..ที่ปวดร้าวไปถึงในจิตใจ


        หญิงผู้นั้นยังคงร้องไห้ ก้มลงกราบพยาบาลและแพทย์
    ในชุดขาวที่มีทีท่ากระอักกระอ่วนใจมิน้อย


        หญิงชายในเครื่องแบบสีขาวอันบริสุทธิ์เดินหายลับเข้า
    ไปแล้ว..แต่หญิงผู้นั้นยังคงมิอาจหยุดร่ำไห้ง่ายๆ


         หล่อนทอดสายตามายังผู้คนรอบด้าน ที่ต่างมองด้วย
    ความรู้สึกเหลือคณา แต่มิอาจสบตาอ้อนวอนคู่นั้นได้แม้
    แต่เพียงนิด ใครเล่า..จะช่วยเธอได้ เมื่อเราต่างต้อง
    ดิ้นรน...และทำเพื่อตัวเองทั้งนั้น

           
                   ---------------------------------


        "เฮ้ย นั่งก่อน"


        ไอ้หมอทักทายผมอย่างอารมณ์ดีก่อนที่จะเชื้อเชิญให้
    ผมทรุดร่างนั่งลงบนเก้าอี้รับแขกในห้อง ไม่นานนัก หลัง
    จากที่มันจัดการเซ็นต์เอกสารด้วยลายมืออ่านยากของมัน
    เสร็จแล้ว มันจึงเดินมานั่ง ณ โซฟาตรงข้ามผม


        "แปลกใจ ลมอะไรหอบมืงมาถึงนี่"


         "เมื่อกี๊แวะมาตรวจสุขภาพประจำปีที่โรงพยาบาล
    ข้างๆ จำได้ว่ามืงเคยบอกว่าคลีนิคมืงอยู่แถวนี้ เลยเดิน
    เลาะๆมา"


         ผมตอบไปอย่างที่ใจคิดพลางหันมองไปรอบห้อง
    รับรอง คลีนิคแห่งนี้ถูกจัดไว้อย่างดีและมีความสะอาด
    ทุกกระเบียดนิ้ว น้ำเปล่าเย็นๆถูกนำมาเสิร์ฟโดยผู้ช่วย
    พยาบาลก่อนที่เธอจะเดินออกไป อดคิดในใจว่าที่นี่บริการ
    ดี สภาพดีเยี่ยม...ตามอัตราเงินทองที่จะต้องเสียไป


        "แล้วเป็นยังไง ยังแข็งแรงอยู่เหมือนเดิม?"


        "เออสิวะ"


        ผมตอบไปตามความสนิทสนมคุ้นเคย ถึงแม้จะ
    พยายามทำจิตใจให้ร่าเริงเพียงใด..น่าแปลกนัก ที่มิอาจ
    ลบเสียงครวญคร่ำเมื่อครู่ออกไปได้จากจิตใจสักเพียงนิด
    เสียง..ที่เสียดลึกเข้าไปถึงในจิตใจ


        "มืงมีอะไรรึเปล่า ดูมืงไม่สบายใจ เรื่องเงิน?"


        "เปล่า" ผมตอบไปสั้นๆ ใจหนึ่งอยากจะเล่าเหตุการณ์ที่
    พบเห็น อีกใจก็กลัวเหลือเกินว่ามันจะคิดเช่นไร


        "อย่าโกหกเลยวะ กูทำคลีนิคใหญ่โตแบบนี้ แต่เรื่อง
    เงินก็ยังเป็นปัญหาอยู่ดี แม่ง เซ็งชิบ"


        ร่างภายใต้เสื้อกาวน์สบถออกมาก่อนที่ใบหน้ากรำงาน
    หนักนั้นจะมองเหม่อไปยังรูปถ่ายครอบครัวของเขาบน
    ผนัง


         "แต่ก็อย่างว่าล่ะวะ ลาออกจากโรงพยาบาลมาเปิดคลี
    นิคเองแบบนี้ ก็ยังพอหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตัวเองได้บ้าง"


        "กูเห็นรายได้มืงดีจะตาย ตอนอยู่โรงพยาบาล ยิ่งตอน
    นี้มาทำคลีนิค ก็ดูท่าจะไปได้สวยนี่หว่า"


        "เดี๋ยวนี้ค่าครองชีพมันเท่าไหรกันโว้ย ใช่ก๋วยเตี๋ยวชาม
    ละสองสลึงเหมือนแต่ก่อนที่ไหน ร้อยเดียว เผลอๆมื้อเดียว
    ยังเอาไม่อยู่ ไหนจะค่าเล่าเรียนโรงเรียนลูกอีก โรงเรียน
    เอกชนเดี๋ยวนี้แม่งก็แป๊ะเจี๊ยะแพงชิบหาย ค่าบำรุง
    คอมพิวเตอร์จิปาถะอะไรนักก็ไม่รู้ กูจะตายเอา"


        ไอ้เพื่อนตัวดีตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมตรงหน้าร่ายออกมา
    ยืดยาว ยิ่งพูดเรื่องนี้ ในใจผมกลับสะท้อน..สะท้อนใน
    ความรู้สึกบางอย่างมากมายเต็มไปหมด เงิน เงิน เงิน สมัย
    นี้ความเป็นความตาย..ซื้อหาได้ด้วยเงินเท่านั้น


           "ที่ไหนเก็บแป๊ะเจี๊ยะมืง สมัยนี้เขาห้ามเก็บกันแล้ว
    เว้ย" ผมสัพยอก ทั้งๆที่ในใจกลับว่างเปล่าไปหมด ไม่รู้ว่า
    ทำไม..เสียงกรีดร้องที่จากมาเมื่อครู่ ยังคงกรีดลึกลงไปใน
    จิตใจถึงเพียงนี้


            "เออสิวะ แป๊ะเจี๊ยะไม่เก็บ แต่แปลงกายมากลาย
    เป็นค่าบำรุงโรงเรียนเสียฉิบ อ้างโน่นอ้างนี่ สุดท้ายกูก็ไม่
    เห็นว่าจะจ่ายถูกกว่ากูจ่ายแป๊ะเจี๊ยะตรงไหน"


           "กูมีคำถามว่ะ...ถ้าวันนึงกูล้มละลาย กำลังจะตาย..
    มืงจะรักษาให้กูฟรีๆมั๊ยวะ"


        ผมโพล่งประโยคนี้ขึ้นมาลอยๆ ทำเอามันหันมามอง
    หน้าผมด้วยสายตาประหลาดนัก


        "มืงจะเป็นอะไรตายล่ะ ถ้าเสีอกจะเป็นมะเร็งตายต้อง
    ทำเคมีบำบัด กูก็คงช่วยได้แค่ผ่าตัดชะลอความตายมืงแค่
    นั้นล่ะว่ะ นอกจากนั้น..กูบอกตรงๆ กูไม่แน่ใจ"


        ผมนิ่ง..รับฟังคำตอบนั้นด้วยความรู้สึกหลายอย่างปน
    กัน ไม่โกรธ..แต่เข้าใจ เข้าใจมัน..แต่ไม่เข้าใจโลกใบนี้
    โลกที่ผมมีชีวิตอยู่กับมันมาเกือบครึ่งชีวิต..แต่ไม่เข้าใจ
    อะไรมันเลย


        "ถ้าวันนึง..มียายแก่น่าสงสารคนนึง มาขอให้มืงช่วย
    ลูกเค้า แต่มืงรู้..ว่าเค้าไม่มีเงินแน่ๆ มืงจะช่วยมั๊ยวะ"


        คำถามนี้..กลายกลับเป็นมัน..ที่นิ่งเงียบไป เงียบ..ไป
    นานแสนนาน


        "กูคงช่วย..เท่าที่กูช่วยได้"


        "เท่าที่มืงช่วยได้..คือสุดความสามารถมืง หรือสุดกำลัง
    เงินของเขาวะ"


        "ไอ้ห่านี่ กวนตีนกูจริง" ไอ้หมอส่งเสียงจิ๊กจั๊กในลำคอ
    อย่างรำคาญใจเต็มที


        "กูเป็นหมอ ไม่ใช่เทวดา หมอก็ต้องแดกข้าวเหมือนกัน
    นะเว้ย ไม่ใช่อิ่มทิพย์ จะได้สักแต่ช่วยคนอื่นจนตัวเองตาย
    ไว้กูรวยกว่านี้..มืงมาถามกูใหม่ กูก็อยากช่วยคนเหมือนกัน
    แหละวะ ถึงมาทำอาชีพนี้ แต่มันคือ 'อาชีพ' มืงเข้าใจคำนี้
    มั๊ย 'อาชีพ' ที่กูใช้เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ไม่ใช่แค่อาชีพที่
    ดำรงแต่มนุษยธรรม ถ้ากูช่วยเค้า แล้วกูต้องช่วยฟรีๆอีกกี่
    คนวะ ไม่จบไม่สิ้นหรอกมืง กูไม่ใช่กรมประชาสงเคราะห์
    นะโว้ย ค่าหยูกค่ายาค่าเครื่องมือเทพเครื่องมือสวรรค์อะไร
    นั่นกูก็ต้องใช้เงินซื้อมา ใช่ว่ากูประดิษฐ์เองเสียที่ไหน"


        คำตอบด้วยความหงุดหงิดใจของมันดังก้องเข้ามาใน
    ความคิดผม


         "ช่วงนี้ออกไปทำงานอาสาคนไข้ชนบทบ่อยไหม"


           ผมเปลี่ยนคำถาม ทำเอามันมีสีหน้าสบายใจเล็ก
    น้อย ก่อนจะพยักหน้าออกมาบางเบา


            "มีบ้าง อย่างว่าล่ะวะนี่ก็งานช่วยคนของกูอีกอย่างนี่
    หว่า ธุรกิจกับการช่วยเหลือบางทีมันก็คนละเรื่องกันว่ะ กู
    เปิดคลีนิคกูก็ต้องอยากได้ตังค์ ถ้ากูจะทำฟรีกูไปเปิดกรม
    ประชาสงเคราะห์ไม่ดีกว่าเหรอ"


           "น่าแปลกไหมวะ คนที่เขาเดือดร้อนมาขอความช่วย
    เหลือแกอยู่ตรงหน้า เสีอกไม่ช่วย ดันถ่อไปช่วยชาวบ้าน
    เขาที่อื่น มันต่างกันตรงไหนวะ ทำไมมืงจะช่วยคนต้องแบ่ง
    สถานที่ด้วย"


             คำถามนี้ทำเอามันนิ่วหน้าอีกครั้ง เหมือนๆจะ
    อารมณ์ดีขึ้นมา แต่อยู่ๆก็ถามคำถามที่มันบ่นพึมพำ
    ว่า 'กวนตีน' ขึ้นมาอีก


             "มันไม่เหมือนกันโว้ย"


            ไอ้หมอพูดออกมาได้แค่นั้น แล้วเงียบไป...จนผม
    ไม่รู้ว่ามันเงียบเพราะไม่อยากจะอธิบาย หรือไม่มีคำ
    อธิบายให้กับความจริงที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้    


               อะไร..คือสิ่งที่ชี้วัดความถูกผิดบนโลกใบนี้ ผม
    ไม่รู้อีกแล้ว..ไม่รู้อะไรเลย


        "แล้วกิจการที่บ้านมืงเป็นไง" ไอ้หมอเป็นฝ่ายยิงคำ
    ถามใส่ผมบ้าง เลี่ยงอย่างชัดเจนที่จะไม่ตอบคำถามนั้น


        "ก็เรื่อยๆ พออยู่ได้ล่ะวะ"


        "กูเคยไปดูงานไอ้อำเภอที่มันอยู่ติดแม่น้ำเจ้าพระยา
    ตอนบนหน่อยน่ะ บ้านเรือนไม้ถูกน้ำป่าซัดพังทุกที มืงจะ
    พอบริจาควัสดุก่อสร้างที่มืงทำกิจการอยู่ไปที่นั่นได้ไหม
    วะ"


        "มืงหาโครงการมาสิ มืงเอาชื่อบริษัทกูไปโฆษณา กูก็
    จัดของให้"


       ผมจำได้ถึงเสียงของตัวเองตอบไปตามที่ใจคิด พลาง
    ในลำคอกับแห้งเหือดอย่างประหลาด


         ไม่ว่าจะผม หรือไอ้หมอ เราแทบไม่ต่างอะไรกันเลย
    ตอนนี้ ทำงานเพื่อเงิน เงิน และเงินเท่านั้น


         รอจนกว่าจะรวยรึ...บอกไม่ถูกหรอกว่าเมื่อไหร่..ตราบ
    ใดที่เราจะเติมเต็มความสุขของตัวเองได้เท่านั้น เติมเต็ม..
    สิ่งที่ผมก็ไม่รู้ว่าก้นเหวสุดลึกของสิ่งที่เรียกว่า "ความต้อง
    การ" มันอยู่ที่ไหน


            เราต่างรอที่จะเติมเต็ม... เติมเต็มจนไม่ได้ยินเสียง
    ร้องของคนอื่น ได้ยินเพียงแต่เสียงร่ำร้องในจิตใจของตน
    เอง... แต่จะให้ทำยังไงได้เล่า ในเมื่อเสียงร้องของผู้อื่นมัน
    มากมายเกินกว่าที่จะรับฟังได้หมด ...สู้หลับหูหลับตาไป
    บ้างไม่ดีกว่าหรือ


        นึกถึงเสียงกรีดร้องอ้อนวอนนั้น  ที่เคยเปิดบาดแผลใน
    หัวใจของผมให้เจ็บปวดลึกทรมาน เสียงกรีดร้องที่เคาะเข้า
    มาในกำแพงแห่งหัวใจของผมเอง... ร่ำร้อง..เตือนให้ผม
    ได้ยินเสียงต่างๆบนโลกนี้ ...แต่บอกกับตัวเอง มันก็แค่
    เสียงเสียงหนึ่งท่ามกลางเสียงร้อยพันที่ต้องจำลืมทิ้งไป


         ลืมเสียงร้องที่เปิดบาดแผล..แต่ไม่อาจเปิดเข้าไปได้..
    ถึงกำแพงแห่งหัวใจ


            กำแพงแห่งความเย็นชา...ที่หล่อหลอมคนบนโลก
    ใบนี้ขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้....


            กำแพงแห่งความเย็นชา...ที่ทำให้เราต่างแสร้งไม่
    ได้ยินเสียงร่ำร้องของผู้คนอื่น... แล้วรับฟังแต่เสียงร้องใน
    จิตใจตัวเอง


    (จบค่ะ)

    จากคุณ : ฟองคลื่น คืนจันทร์ พันดาว - [ 28 มิ.ย. 49 23:25:35 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com