CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    ผู้ชายในสายฝน

    เอามาฝากท่ามกลางสายฝน เขียนขณะฝนตกทั้งเรื่องเลยครับ 55+

    +++++++++
    ย่างเข้าสู่สนทยาในช่วงมรสุม ท้องฟ้ามืดครึ้มด้วยปุยเมฆสีเทาปนดำ จับตัวเป็นกลุ่มก้อนลอยต่ำตรงแนวทิวเขายาวออกไปแลไกลลับตา ไม่นาน...หยาดน้ำสีขาวจากฟากฟ้าก็เทโครมลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา  แรงลมโบกพัดทำให้ยอดทิวสนสูงชะลูดหน้าอพาร์ทเม้นท์เอียงลู่จวนจะหักโค่นเป็นสองท่อน  กิ่งไม้และใบหญ้าปลิวว่อนเล่นลม  นกนางแอ่นฝูงใหญ่ตีปีกเริงร่าร่อนถลาโฉบหาเหยื่อ

    ไกลออกไปในเวิ้งน้ำอันกว้างใหญ่ เกลียวคลื่นก่อตัวโหมกระหน่ำซัดหาฝั่งอย่างบ้าคลั่ง เรือประมงลำน้อยกับเรือบริการนักท่องเที่ยวทอดสมอแนวชายฝั่ง ต่างโคลงเคลงตามจังหวะคลื่นลมเหมือนตุ๊กตาเต้นระบำ

    ฉันนั่งอยู่หน้าเคาน์เตอร์มองภาพเหล่านี้ด้วยความเคยชิน อาจเป็นเพราะเติบโตมากับสิ่งเหล่านี้        จนมองเห็นเป็นเรื่องปกติ       ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหากต้องจากจรห่างถิ่นฐานบ้านเกิด ฉันจะคิดถึงสิ่งเหล่านี้หรือไม่ อย่างไร?

    จิตนาการภาพฝันกับการได้ออกไปเผชิญโลกกว้างภายนอกยังคงเป็นเรื่องที่ไกลเกินกว่าจะเอื้อมถึง หากฉันก็ยังหวัง ว่าสักวันคงได้โลดโผนไปตามใจปรารถนา  

    เมื่อครั้งเรียนจบ กิจการให้เช่าบริการห้องพักกับนักท่องเที่ยวของครอบครัวมัดตัวฉันไว้แน่น ความจริงแล้วตอนเรียนอยู่ฉันก็ช่วยงานมาตลอด ครั้งนี้ก็เปรียบเหมือนลูกจ้างคนหนึ่งเต็มตัว  และตั้งแต่นั้นมาฉันก็ไม่ได้เปลี่ยนงานอีกเลย ด้วยเหตุที่ว่า

    “อย่าเลยลูก  จะดิ้นรนไปสมัครงานให้เหนื่อยยากทำไม ในเมื่อกิจการของเราก็ไปได้ด้วยดี ช่วยๆ กันทำในครอบครัวดีกว่านะ” แม่ว่า หลังจากฉันขอไปทำงานในเมืองหลวง    

    ฉันรู้ว่าแม่เป็นห่วง  แต่การได้ประสบการณ์จากสังคมที่นอกเหนือจากที่คุ้นเคยย่อมเป็นสิ่งที่ฉันต้องการเช่นกัน...ฉันแหงนมองบนท้องฟ้าแล้วพาอิจฉา หากว่าบินได้ดั่งนกก็คงจะดี เมื่อนั้น ฉันคงบินไปในที่อันแสนไกล ให้สมใจ แล้วค่อยหวนกลับมา

    นานเท่านานที่นั่งเหม่อมอง  ละอองฝนจับเป็นฝ้าหม่นบนกระจกใส จนหยดน้ำค่อยๆ ไหลลงเบื้องล่างอย่างอ้อยอิ่ง  อดคิดถึงใครบางคนจนต้องเหลือบมองหีบเพลงที่วางอยู่ข้างกาย

    เขาคนนั้นมาพร้อมกับสายฝน แล้วก็จากไปตามวิถีชีวิตของสังคมเมือง  มีเพียงสิ่งเหล่านี้มอบไว้เป็นที่ระลึกให้หวนจดจำคืนวันแต่เก่าก่อน  ยังจำได้ดีถึงคืนที่แอบฟังเขานั่งเป่าหีบเพลงริมชายหาดใต้ดาวเดือนที่พร่างพราย  เสียงอันไพเราะกับพระจันทร์นวลทอแสงเหลืองอร่ามสะกดให้ฉันเคลิ้มฝันเหมือนต้องมนต์สะกด  พอโดนจับได้ฉันวิ่งหน้าตั้งกลับขึ้นห้อง นอนคลุมโปงเหมือนเด็กทำความผิดแล้วผู้ใหญ่รู้ทัน

    อาจเป็นเพราะความไม่เหมือนใครของเขากระมังที่สะดุดใจฉันจนต้องจับตามองเป็นพิเศษมาตั้งแต่เริ่ม แล้วสิ่งเหล่านั้นก็เข้ามาในใจฉันโดยไม่ค่อยรู้เนื้อรู้ตัว บางคนว่าเขา ‘บ้า’ แต่ฉันแย้งทางความคิดอีกแบบหนึ่งว่า ‘แปลกดี’ เหมือนกัน  

    ก็ลองคิดดู วันหนึ่งหลังคลื่นยักษ์ ‘สึนามิ’ ถล่ม  ฟ้าฝนยังคงเทครืนลงมาไม่ขาดสาย  รถโดยสารขาประจำพาแขกมาส่งหน้าอพาร์ทเมนท์อย่างทุลักทุเล   คนอื่นๆ หลังลงจากรถก็พากันวิ่งจ้าละหวั่นเข้าหลบฝน  ส่วนเขาเดินแบบไม่ทุกข์ร้อน สีหน้าหรือก็อิ่มเอิบดูมีความสุข  ต่อมาฉันกับแม่เลยเรียกเขาว่า ‘นายสายฝน’ เพราะยังมีอีกหลายครั้งที่เขาเดินทอดน่องยามหยาดน้ำจากฟากฟ้าหล่นลงมา เรียกว่าแทบจะตลอดระยะเวลาการมาเก็บภาพความเสียหายบนเกาะพีพีเลยทีเดียว

    นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ฉันได้รู้จักเขา...แค่เพียงห่างๆ กับอาชีพช่างภาพประจำนิตยสาร   จากนั้นในช่วงขวบปี ‘อพาร์ทเมนท์’ ของฉันได้ทำหน้าที่ต้อนรับเขาถึงสี่ครั้ง จนได้รู้จักเขามากขึ้น  แน่นอนว่า   ฉันต้องถามเขาถึงที่มาของชื่อและทำไมถึงชอบเดินกลางสายฝน

    “บางทีอาจเป็นเพราะผมเกิดกลางสายฝนมั้ง” เขาว่า เหมือนไม่ใช่เรื่องสำคัญ “ส่วนทำไมถึงชอบเดินเหรอ” เขาตอบแบบไม่ลังเลอีกว่า “เพราะผมไม่ชอบวิ่งต่างหาก ก็แค่สายฝน กลัวทำไมเรื่องเปียก ไม่เคยได้ยินหรือครับที่คนเขาบอกว่า อยู่ใต้ฟ้ากลัวอะไรกับฝน ”  

    ไม่อยากจะเชื่อเสียทั้งหมดหรอก อาจมีอะไรที่มากกว่านั้นแล้วเขาไม่บอกฉันก็ได้ อีกอย่างประกายตากับการอมยิ้มก็เป็นตัวเสริมความเข้าใจของฉันได้เป็นอย่างดี

    ครั้งหนึ่งฉันเคยถามเขาว่าทำไมไม่ไปเปิดห้องพักที่เกาะพีพีเลย จะได้ไม่ต้องเทียวไปเทียวมาให้เสียเวลาทำงาน  เพราะหลังจากเหตุการณ์ ‘สึนามิ’ ไม่นานธุรกิจบริการก็กลับมาเรียกเงินในกระเป๋านักท่องเที่ยวได้อีกครั้ง

    “ผมไม่ชอบความวุ่นวาย “ เขาว่า ”ที่นั่นนักท่องเที่ยวเยอะ โดยเฉพาะชาวต่างชาติ  อีกอย่าง...” จู่ๆ เขาก็หยุดไปเฉยๆ เหมือนเร่งให้ฉันอยากรู้มากยิ่งขึ้น  

    “อะไรคะ?”

    “ที่นี่สวยกว่าตั้งเยอะครับ”

    ฉันหันหลังกลับเดินก้มหน้างุดไปทำงานทันทีด้วยใจไม่ค่อยปกตินัก  ก็สายตาวิบวับนั่นคร้านจะมอง  


    มโนภาพผู้ชายสะพายเป้กับกล้องถ่ายตัวโปรดหายวับในทันทีกับการสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงแม่ดังอยู่ข้างหู

    “อะไรคะแม่?” ฉันถามออกไปโดยอัตโนมัติ  ส่วนแม่ยืนยิ้มส่งมาให้

    “เป็นอะไรหรือเปล่า ลิลลี่? นั่งซึมเชียว แม่เรียกตั้งนานกว่าจะได้ยิน”

    สิ้นคำฉันตาโตขึ้นมาทันที มองหน้าแม่ด้วยความแปลกใจ “แม่ว่าอะไรนะคะ?”

    “อ้าว...ดู เจ้าลูกคนนี้สงสัยอาการหนัก แม่ใช้งานลูกหนักไปหรือเปล่านี่?”

    “ไม่ใช่เรื่องนั้นค่ะ” ฉันรีบบอก “แม่เรียกหนูว่า ลิลลี่”  

    ไม่บ่อยครั้งนักหรอกที่ใครๆ จะเรียกชื่อเล่นฉันเต็มๆ ว่า ‘ลิลลี่’ ส่วนมากจะเรียกเฉพาะคำหลังเสียมากกว่า คงจะง่ายดีหรือว่าหน้าตาฉันไม่เข้ากับชื่อก็ไม่รู้  แต่ยังมีอีกคนที่เรียกชื่อฉันแบบนี้...นายสายฝน  

    ฉันจ้องหน้าแม่ พบเพียงรอยยิ้มที่มากกว่าปกติ แต่ไม่ตอบว่ากระไร พลางยื่นเสื้อแขนยาวมาให้แล้วบอกว่า “อ้าว...ใส่ซะ เดี๋ยวจะเป็นหวัด ทำงานได้ไม่คุ้มค่าแรงที่จ้าง”

    นี่ล่ะแม่ของฉัน ถ้าจะบอกว่าเป็นห่วงลูกสาวคนนี้ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่นะ  ฉันรับเสื้อมาใส่อย่างรวดเร็ว หัวใจอบอุ่นขึ้นมาเหมือนทุกครั้งที่แม่อยู่เคียงข้างคอยเป็นห่วงเป็นใย  ก่อนจากไปแม่เข้ามาลูบหัวฉันแล้วบอกว่า “เมื่อตอนเที่ยง แขกห้อง ‘ลีลาวดี’ มาเปิดห้องไว้แต่ตอนนี้เขาไม่อยู่ ลูกช่วยดูความเรียบร้อยหน่อยนะ  ไม่รู้ว่าแม่ลืมตรงส่วนไหนหรือเปล่า?”

    ว่าจะถามเรื่องชื่อก็เห็นแม่เดินตัวปลิวออกไปสำรวจตรวจตราความเรียบร้อยอันเป็นกิจวัตรก่อนเข้านอนแล้ว  ส่วนฉันอยู่เข้างานผลัดกลางคืนสลับกันกับท่าน ก็ต้องนับหนึ่งจนกว่าจะรุ่งสาง

    สำหรับห้องที่มีชื่อเรียกตามชื่อของดอกไม้นั้น เราให้เช่าเป็นรายเดือน ส่วนหมายเลขห้องธรรมดาจะเป็นรายคืน...ตามคำสั่งของนายจ้าง ลูกจ้างที่ดีต้องปฏิบัติตามทันที เมื่อคิดได้เช่นนั้น ฉันมองหาแม่บ้านให้ไปดูแทน แต่เมื่อไม่เห็นในบริเวณใกล้เคียง เลยต้องออกไปดูด้วยตนเอง



    ใจดวงน้อยพลันเต้นตึกตักหลังออกมาจากห้อง ‘ลีลาวดี’  สองขาก้าวย่างซอยถี่ยิบราวกับลงสนามแข่งเดินมาราธอนก็ไม่ปาน  ไม่แน่หรอกว่าบางทีฉันอาจคิดมากไปเอง กระเป๋าเป้ใบนั้นไม่ได้มีใบเดียวสักหน่อย…แต่มโนภาพผู้ชายสมญานามว่า ‘นายสายฝน’ ก็ลอยเด่นให้ปักใจเชื่อเสียแล้ว

    เมื่อมาถึงหน้าเคาร์เตอร์สิ่งแรกที่ทำคือหยิบเอาสมุดรายชื่อแขกผู้มาพักแบบรายเดือนขึ้นมาเปิดไล่หาทันที  อาจจะด้วยความรีบร้อนก็เป็นได้ ครั้งแรกเลยไม่เจอ บางทีชื่อ ‘ธารา สายนที’ อาจจะเล่นซ่อนหากับฉันอยู่ก็ได้  และเมื่อเปิดถึงครั้งที่ห้า  ฉันต้องยอมรับความจริงว่า...คิดมากไปเอง  

    ส่วนห้อง ‘ลีลาวดี’ เปิดในนามบริษัท!

    นานเท่านานใจยังไม่สงบ  ขนาดแขกมาเปิดห้องพักไปหลายรายแล้วยังไม่สามารถสลัดภาพเขาออกไปจากสมองได้ มันน่าสงสัยน้อยเสียเมื่อไหร่  แม่ผู้เข้มงวดกฎระเบียบถึงขนาดใช้ลูกสาวไปตรวจเช็คความเรียบร้อยอีกครั้ง จะว่าหลงลืมก็ไม่น่าจะใช่ เพราะข้าวของทุกอย่างในห้องก็พร้อมสำหรับบริการ

    เมื่อไม่มีทางว่าใจจะหายว้าวุ่น ฉันจึงผุดลุกผุดนั่งไปวนเวียนอยู่หน้าห้องนอนแม่หลายครั้ง  ครั้นจะเรียกแม่มาถามก็ไม่เข้าที  เลยได้แต่ถอนหายใจหนักๆ แหงนมองฟ้าที่มืดครึ้มก็คงไม่ต่างอะไรกับใจฉันยามนี้  ก่อนจะเดินหงอยเหงากลับไปทำหน้าที่ของลูกจ้างต่อไป

    ไม่รู้ว่ามีใครเป็นเหมือนฉันบ้างหรือเปล่า? ถึงแม้ว่าจะเหนื่อยล้าจากการทำงาน แต่พอถึงเวลานอนกลับนอนไม่ค่อยหลับเมื่อมีเรื่องมาให้ครุ่นคิด  ปกติฉันจะนอนหกโมงเช้า ไปตื่นเอาบ่ายโมง  แล้วนี่ก็บ่ายสองเข้าไปแล้วฉันเพิ่งตื่น  นั่นเป็นเพราะเพิ่งหลับไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงนี้เอง

    เรื่องนี้ไม่ต้องหาแพะที่ไหนเลย นอกจากนายคนเดียว ‘นายสายฝน’ ทำให้ฉันนอนตื่นสาย

    หลังจากใช้เวลาไปพักใหญ่สำหรับการทำธุระส่วนตัว  ฉันลงมาเดินฉุยฉายอยู่ข้างๆ แม่  ทำทีเป็นนั่งพักผ่อนอ่านหนังสือพิมพ์เพื่อเสพข่าว  ส่วนใจนั้นหวังว่าหากนาย ‘สายฝน’ มาพักที่นี่จริงๆ แม่จะต้องบอกฉัน  หรือไม่บางทีแม่อาจเรียกไปสอบถามหลังจากใช้ฉันให้ไปดูห้องนั้นเมื่อคืนก็เป็นได้  และเมื่อนั้นฉันจะได้เข้าเรื่อง

    ต้องยอมรับว่านั่นเป็นเพียงแค่ความคิดกับการคาดหวัง  ส่วนความจริงคือผ่านมาจนหนังสือพิมพ์เปิดกลับไปกลับมาสองรอบแล้วแม่ยังคงเงียบ และยังคงวุ่นวายอยู่กับการต้อนรับลูกค้า จนไม่มีเวลาแม้กระทั่งเหลียวมามองลูกสาวคนนี้เลย  

    ‘ทำไมเราไม่เข้าไปถามแม่ตรงๆ นะ?’

    คำถามนี้ผุดขึ้นมาขณะสองเท้าพาฉันมาหยุดนั่งลงบนชิงช้าไม้กระดานใต้ต้นหูกวางริมชายหาด  อันเป็นสถานที่พักผ่อนมุมเดียวที่ฉันสามารถปล่อยใจไปตามอิสระ สุข ทุกข์ เศร้า ยังมีคลื่นลมเป็นเพื่อนดั่งเช่นทุกครั้ง  

    หาดทรายสีขาวกับเขียวมรกตของน้ำทะเล  ต้องแสงแดดเป็นประกายระยิบระยับยามเมื่อคลื่นซัดหาฝั่ง อันดามันยังคงมนต์ขลังให้น่าค้นหา ขณะเดียวกันก็น่ากลัวยามเมื่อมันบ้าคลั่งเมื่อพายุเริ่มก่อตัวอย่างเมื่อวาน    

    ความคิดฉันคงลอยไปเรื่อยเปื่อยหากไม่มาสะดุดกับเสียงเพลงที่ล่องมาตามลม  โน๊ตเพลงคุ้นหูจนต้องลุกขึ้นยืนหันมองรอบกาย หาที่มาของเสียง

    นั่น!!...หากว่าฉันไม่ตาพร่ามัวหรือคิดมากไป ต้องเป็นเขาแน่ๆ...นายสายฝน  นั่งเป่าหีบเพลงห่างจากฉันไม่ถึงสิบเมตร

    เสียงเพลงหยุดไปแล้วแต่เสียงคลื่นยังคงดังอยู่ใกล้ๆ รวมทั้งใจของฉันด้วย มันเต้นไม่เป็นจังหวะที่ได้เห็นเขาอีกครั้ง ไม่ใช่ในมโนภาพเหมือนที่ผ่านมา        

    ชั่วครู่...เขาเดินมานั่งบนชิงช้าไม้กระดานอีกอันหนึ่งของต้นหูกวาง ต่างหันหน้าออกทะเลเหมือนกัน  ส่งยิ้มที่คุ้นตามาให้  ฉันไม่กล้ามองหรอก นอกจากยามเขาเผลอ

    ความจริงฉันมีเรื่องถามเขามากมาย  แต่การทำเป็นนิ่งเฉยแล้วค่อยๆ ถาม ทำทีเป็นชวนคุยก็น่าจะเป็นทางออกที่ดีตามประสาผู้หญิง  เขาเองก็ไม่ใช่คนบ้าน้ำลายนอกจากขยันยิ้มเท่านั้น

    เวลาผ่านไปนานเท่าใดฉันไม่รู้หรอก รู้เพียงว่าอะไรที่ฉันอยากรู้คงไม่ปล่อยผ่านเก็บเอาไปคิดเดาคนเดียวแน่  แล้วก็จริงอย่างที่ฉันเคยสงสัย  เขามาเปิดห้อง ‘ลีลาวดี’ ตั้งแต่เมื่อวานตอนเที่ยงในนามของบริษัท แล้วก็ไปที่เก็บภาพที่เกาะพีพีเลย เพิ่งกลับมาเมื่อตอนเช้า

    ความจริงฉันน่าจะฉุกใจคิดตั้งแต่แม่เรียกชื่อฉันแล้ว รอยยิ้มของแม่นั่นก็ใช่  ทั้งยังให้ไปดูห้องอีก  แม่หนอแม่ แกล้งลูกสาวสุดที่รักได้ยังไงนะ  ฉันคิดพาลไปถึงแม่ แล้วมาลงเอากับคนแถวนี้ที่นั่งยิ้มกับเกลียวคลื่น

    “มาคราวนี้ไม่พาแฟนมาด้วยล่ะ?”  ถามออกไปแล้วก็อยากกัดลิ้นตัวเองเสียให้รู้แล้วรู้รอด  เพราะดูเหมือนน้ำเสียงตัวเองออกจะบึ้งตึงกระเง้ากระงอดชอบกล

    เขายิ้มก่อนตอบ “หมอดูว่าเนื้อคู่ผมอยู่ทิศใต้ อยู่ใกล้แม่น้ำ น้ำทะเล ก็เลยออกตามหา”

    เอาแล้วไหมล่ะ  ไม่น่าเปิดทางเลยเรา  ฉันทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เปลี่ยนเรื่องคุยเป็นงานเป็นการขึ้น  เขาบอกอีกว่ามาคราวนี้จะเรียกว่ามาพักร้อนก็ได้  หรือถ้ามีภาพเอาไปลงนิตยสารบ้างก็จะเป็นค่าตอบแทนให้บริษัทสำหรับค่าที่พัก


    สักพักเขาหันมาทางฉัน “ลิลลี่ครับ”

    “คะ?”

    “ผมมีโปรแกรมจะพายเรือไปรอบๆ เกาะแล้วก็ถ่ายภาพด้วย”

    “แล้วยังไงคะ?”

    “เอ่อ...คือ ผมอยากชวนคุณไปด้วย” กว่าเขาจะเอ่ยออกมาได้ฉันเองนั่งลุ้นอยู่แทบแย่

    “หมายถึงให้ฉันพายแล้วคุณนั่งถ่ายภาพสบายๆ ใช่ไหมคะ?” ฉันถามเอาเรื่อง ไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าทำไมต้องทำปากกับจมูกชิดกัน

    ความจริงฉันก็แกล้งพูดไปอย่างนั้นแหละ แต่ดูเหมือนเขาละล่ำละลักอธิบายว่าเขาเป็นคนพายเอง ถ่ายเอง ส่วนให้ฉันนั่งเป็นแม่ย่านนางเป็นขวัญใจคนพาย

    บ้าจริง!!  เขาพูดออกมาได้อย่างไรกันนะ รู้สึกตัวเองนั่งทำหน้าไม่ค่อยจะถูก มันร้อนๆ ยังไงไม่รู้  ฉันอ้างโน่นอ้างนี่สารพัดว่าไม่สามารถไปได้ ต้องทำงาน แล้วฉันก็ไม่ใช่นักท่องเที่ยว ถึงกระนั้นแม่คงไม่อนุญาตหรอก

    “ผมขออนุญาตแม่ของคุณแล้ว เห็นท่านบอกว่าคุณเองก็อยากไปมานานแล้ว”

    ตายแล้ว!! แม่ฉัน  เอาลูกสาวมาขายแล้วไหมล่ะ แล้วนี่แอบไปคุยกันตอนไหนก็ไม่รู้  แล้วก็ไม่ยอมกระซิบกันมั่งเลย    โมโหก็โมโห ส่วนหนึ่งก็อายด้วย เลยตะคอกด้วยเสียงที่ไม่เบานัก

    “แล้วจะไปกี่โมง?” เท่านั้นแหละเขาหัวเราะก๊ากเลย  ฉันทำเสียง ‘ฮึ’ ดังๆ ที่ถามน่ะ ไม่ได้รับปากว่าจะไปสักหน่อย  

    จากนั้นเราสองคนต่างก็ตกอยู่ในภวังค์ของตัว ฉันนั่งไกวชิงช้าเล่นไปมาช้าๆ  มองภาพรอบกายด้วยใจเบิกบาน ดอกไม้ริมทาง ใบหญ้าสีเขียว หาดทรายสีขาว เกลียวคลื่นและแสงแดด ดูเหมือนว่าต่างยิ้มให้ฉัน  ส่วนเขานั่งเป่าหีบเพลงเป็นดนตรีประกอบฉาก นานๆ ครั้งจะหันมาส่งยิ้มให้ แต่ฉันทำเป็นมองไม่เห็น  ฮัมเพลงตามเป็นบางครั้งแก้เขิน

    แล้วก็เหมือนทุกวันในช่วงนี้พอตกเย็น ท้องฟ้ามืดครึ้ม ลมพัดแรง ไม่นานสายฝนก็โปรยปรายลงมา ฉันลุกลี้ลุกลนบอกให้เขาวิ่ง ส่วนตัวฉันนั้นเตรียมวิ่งเช่นกัน  ความตั้งใจของฉันโดนปฏิเสธโดยมืออุ่น เขาจับมือฉันแล้วบอกว่า

    “อย่าเลย เหนื่อยเปล่า เดินกลับสบายๆ ดีกว่า” เขาบอกพร้อมด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น

    ไออุ่นจากอุ้งมือหนาผ่านเข้ามาให้ใจหวั่นไหว ฉันกลายเป็นลูกแมวเชื่องๆ ทันที เดินตามต้อยๆ ท่ามกลางสายฝนสีขาวไปกับผู้ชายในสายฝน สัมผัสประหนึ่งว่าถึงแม้จะหนาวเย็นแต่ก็ดูอบอุ่นในหัวใจ    

    +++++++
    07/49
    แล้วเจอกันในเรื่องต่อไปครับ ซึ่งไม่รู้ว่าอีกเมื่อไหร่ zax
    อนงค์นาง

    แก้ไขเมื่อ 04 ก.ค. 49 16:01:40

    จากคุณ : อนงค์นาง - [ 4 ก.ค. 49 15:57:24 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com