วันวาน...ผ่านผัน
ณ ที่นี้...คงมั่น
ผูกพันรัก...ชั่วกาลนิรันดร์
++++++++++++++++
นี่แก... ฉันมาถึงแล้วนะ แกอยู่ไหน...
ปัทม์กรอกเสียงลงในโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงขุ่นมัวเล็กน้อย เพราะแสงแดดยามเที่ยงช่างร้อนแสนร้อน บวกกับกลิ่นควันจากรถที่ติดกันเป็นแพยาวยิ่งน่าหงุดหงิดเข้าไปใหญ่
ปัทม์บอกตัวเองว่าไม่ชอบเลยกับเมืองใหญ่อันแสนวุ่นวาย แต่หล่อนก็อยู่เมืองนี้จะเข้าปีที่เจ็ดอยู่รอมร่อ เรียกว่าที่นี่แทบจะเป็นบ้านของหล่อนไปแล้ว
ก็เหมือนกับเด็กต่างจังหวัดทั่วไปที่สอบเอนทรานช์เข้ามาในมหาวิทยาลัย และหล่อนก็เรียนเพลินจนกำลังจะได้ปริญญาใบที่สองอยู่แล้ว ดีแต่ว่าทางบ้านของหล่อนไม่เดือดร้อนกับการที่หล่อนยังขอความช่วยเหลือด้านการเงิน
ครอบครัวของหล่อนไม่ใช่คนร่ำรวย บิดามารดาเป็นข้าราชการที่ทำงานมาร่วมยี่สิบปีจึงพอมีเงินเดือนให้ใช้จ่ายโดยไม่ลำบาก พี่ชายคนโตของหล่อนก็ทำงานแล้วทำให้แบ่งเบาภาระของครอบครัวไปเยอะ
ตอนแรกหล่อนก็คิดว่าเรียนจบแล้วจะกลับไปหางานทำที่บ้านเกิด ลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่งซึ่งเปิดรีสอร์ตที่ริมแม่น้ำชีก็ชวนอยู่บ่อยๆ ให้หล่อนไปช่วยงานเขา เพราะกิจการที่ทำท่าว่าจะดีวันดีคืน ผู้คนชอบที่จะไปพักผ่อนด้วยการแสวงหาธรรมชาติบริสุทธิ์ รีสอร์ตของพันทิศจึงเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว ทว่าปริญญาอีกใบก็ยั่วใจเหมือนกัน หล่อนคิดว่าถ้าตัวเองก้าวสู่โลกการทำงานเมื่อไรก็คงจะขี้เกียจหวนกลับมาเรียนอีกแน่ ก็เลยผลัดพันทิศเอาไว้ก่อน
เออ... แล้วตึกที่แกว่าอยู่ตรงไหนล่ะ
ปัทม์กวาดสายตาไปรอบตัว เบื้องหน้าเป็นตึกสูงซ้อนๆ กันอยู่ มันทำให้หล่อนอึดอัดทุกครั้งราวกับจะหายใจไม่ออก หล่อนเกลียดตึกแบบกล่องๆ อย่างนี้มาก แต่ดูเหมือนว่าทุกวันนี้ไม่ว่าจะไปทางไหนก็จะมีกล่องสี่เหลี่ยมแบบนี้อยู่ทั่วไป
หล่อนมองหาตึกที่เพื่อนสนิทซึ่งคบกันมาตั้งแต่เรียนมัธยมที่จังหวัดเดียวกัน แต่พอเรียนมหาวิทยาลัยก็แยกกันเรียนคนละแห่ง จนกระทั่งปริญญาโทก็ยังอยู่กันคนละมหาวิทยาลัย แต่ยังติดต่อกันอยู่เสมอ เรียกว่าหล่อนคบกับเพื่อนคนนี้มากกว่าเพื่อนที่เรียนคณะเดียวกันเสียอีก
วันนี้เจ้าเพื่อนสนิทก็นัดหล่อนมาหาเพื่อนที่จะไปดูหนังกัน แล้วเพื่อนของหล่อนก็ดีเหลือเกิน นี่หล่อนอุตส่าห์มาหาถึงที่แต่แทนที่จะมาหากลับให้หล่อนเดินหาตึกที่ตัวเองมาทำวิจัยอยู่เอง แล้วขอโทษเถอะ หล่อนเพิ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก
โรงพยาบาลพระมงกุฎก็ใหญ่ซะขนาดนี้...แล้วจะหาเจอไหมนี่
แกเดินผ่านตึกโรงพยาบาลมาเรื่อยๆ นะ เลียบถนนมา แล้วแกจะผ่านตึกเก่าๆ สวยๆ แล้วก็จะเจอแถบอาคารเรียน...เออ เดี๋ยวนะ ฉันต้องวัด EKG น้องหนูก่อน แค่นี้ก่อนนะ
ให้ตายเถอะ... ปัทม์มองโทรศัพท์อย่างแค้นใจ
ดูกับมันสิ...วางไปแล้ว หล่อนต้องคลำทางเอาเอง
วัตราเพื่อนของหล่อนกำลังเรียนปริญญาโทอยู่เช่นกัน หล่อนเป็นนักศึกษาในสาขาวิชาสรีรวิทยา ตอนนี้มาทำวิจัยอยู่ที่นี่ เห็นว่าเกี่ยวกับคลื่นไฟฟ้าหัวใจอะไรสักอย่างที่ต้องใช้ น้องหนู ที่วัตราเรียกเสียน่ารัก แต่ความจริงก็คือหนูทดลองนั่นแหละ
เพื่อนของหล่อนน่ะ สุดซาดิสม์เลยล่ะ
ปัทม์พยายามคลำหาเส้นทางตามที่วัตราบอกไว้ โดยพยายามเดินอยู่ในเขตโรงพยาบาลแต่ให้มองเห็นถนนที่คู่ขนานกับรั้วโรงพยาบาลเพื่อที่จะได้ไม่หลงทาง ซึ่งถ้าได้หลงแล้วหล่อนไม่แน่ใจว่าจะหาทางออกได้หรือเปล่า
หล่อนรู้แค่คร่าวๆ ก็รู้จากวัตรานั่นแหละว่าโรงพยาบาลพระมงกุฎเป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่สังกัดกับกองทัพบก เรียกง่ายๆ ว่าเป็นโรงพยาบาลทหาร แต่ว่าบุคคลทั่วไปก็สามารถมาใช้บริการได้ ที่นี่อยู่เกือบใจกลางกรุงเทพมหานคร ใกล้กับอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิซึ่งแทบจะเรียกว่าเป็นศูนย์กลางของการขนส่งมวลชนในกรุงเทพ
นอกจากตัวโรงพยาบาลแล้ว ยังมีส่วนของวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้าซึ่งเป็นโรงเรียนผลิตแพทย์ให้กับโรงพยาบาลในกองทัพบกซึ่งในส่วนนี้แหละที่วัตราเข้ามาทำวิจัย และยังมีวิทยาลัยพยาบาลกองทัพบกด้วย
เอ๊ะ... ปัทม์อุทานอย่างตกใจกับรถคันใหญ่ที่แล่นสวนมาอย่างรวดเร็ว จนหล่อนกระโดดหลบแทบไม่ทัน
เมื่อกี้หล่อนมัวแต่มองตึกรอบๆ เลยลืมตัวไปว่าเดินอยู่บนถนนเล็กๆ ภายในโรงพยาบาลซึ่งความจริงก็ดูโล่งๆ เพราะวันนี้เป็นวันเสาร์ แต่ก็ยังพอมีผู้คนและรถสัญจรไปมาบ้าง ไม่ได้ร้างเป็นป่าช้าเหมือนโรงพยาบาลที่บ้านของหล่อน
เฮอะ... ไม่รู้จักระวังผู้หญิงตัวเล็กบอบบางอย่างเราบ้างเลย ปัทม์แยกเขี้ยวใส่ท้ายรถ
ผู้หญิงตัวเล็กที่สูง ๑๖๗ เซนติเมตร และบอบบางด้วยน้ำหนัก ๕๙ กิโลกรัม เดินอย่างมาดมั่นไปตามทางแล้วพลันชะงักกับภาพเบื้องหน้า
สิ่งก่อสร้างที่หล่อนไม่คิดจะเจอ...
แล้วแกจะผ่านตึกเก่าๆ สวยๆ เสียงของวัตราดังผ่านหูไปเหมือนเสียงกระซิบ หล่อนเจอแล้วตึกแบบยุโรปเก่าเรียงกันยาวเหยียด ตัวตึกสีไข่เหลืองนวลตัดกับหลังคากระเบื้องสีแดงเข้มด้วยสถาปัตยกรรมงดงามทำให้ต้องอึ้งไปหลายอึดใจ
ปัทม์ค่อยๆ ระบายลมหายใจช้า ซึมซับกับความงามเบื้องหน้า
ถ้าไม่มีรถที่แล่นสวนมา หล่อนคงคิดว่าหลุดเข้าไปในฉากละครย้อนยุคสักเรื่อง
สนามหญ้าเขียวขจีกับตึกโบราณที่หาได้ยากในปัจจุบัน ราวกับอยู่อีกคนละโลก...
หญิงสาวเดินราวละเมอไปตามสายตาที่จับอยู่กับภาพเบื้องหน้าโดยไม่ละสายตาไปมองสภาพแวดล้อมรอบกาย
โอ๊ย... ปัทม์อุทานเมื่อรู้สึกว่าตัวเองชนกับอะไรสักอย่าง ร่างสูงออกท้วมเล็กน้อยไม่เพรียวบางเข้าสมัยเซไปแต่ก็ยังทรงตัวได้
หล่อนหันไปมองสิ่งที่คิดว่าเป็นกำแพง
กำแพงของหล่อนสูงแทบค้ำศีรษะ ทอดตามองหล่อนด้วยแววพิศวง... นัยน์ตาสีเข้มเกือบดำราวนิลเจียระไนเปล่งประกายระยับข่มแสงแดดจ้าให้อาย
ปัทม์รู้สึกราวกับถูกดึงลงไปในบ่อน้ำลึก...แทบจมหาย
อากาศที่หายใจเบาบางลงไปทันใด จนหล่อนต้องพยายามหายใจให้มากขึ้น...แต่ก็แทบเป็นไปไม่ได้
ริมฝีปากหนาทว่าหยักได้รูปสวยขยับนิดๆ แต่ปัทม์กลับรู้สึกว่าเป็นรอยยิ้มที่งดงามที่สุดในโลก... โดยเฉพาะรอยยิ้มในดวงตาที่หล่อนคิดว่าตัวเองมองไม่ผิด
ขอโทษครับ...เป็นอะไรหรือเปล่าครับคุณ...
ไม่เป็นไรค่ะ...ปัทม์เหม่อเอง เสียงทุ้มนุ่มที่ออกมาจากริมฝีปากคู่สวยทำให้หล่อนตอบโดยอัตโนมัติ
กำแพงที่บัดนี้กลายมาเป็นรูปหล่อโลหะที่งดงามด้วยความสมบูรณ์ของสรีระแห่งเพศชายที่ควรจะพึงมีทำให้ปัทม์ถอนสายตาออกไม่ได้
ถ้าอย่างนั้นผมต้องขอตัวก่อนนะครับ...อ้อ เดินระวังรถด้วยนะครับ
ปัทม์มองตามร่างสูงใหญ่ที่ก้าวเดินช้าๆ ไปตามทางที่หล่อนผ่านมาเมื่อครู่ ชายเสื้อกราวน์ยาวสีขาวสะบัดตามแรงลมให้เห็นสีเขียวเข้มแบบทหารของชุดข้างใน แล้วต้องถอนใจแต่แทนที่จะโล่งใจกลับมีอะไรบางอย่างค้างคาอยู่ในใจกับรอยยิ้มในนัยน์ตาสีนิลคู่นั้น
หล่อนสลัดศีรษะ...
ท่าจะแย่แล้วเรา...ทำอย่างกับไม่เคยเจอคนหล่อ
แต่หล่อแบบนี้หล่อนก็ไม่เคยเจอจริงๆ นั่นแหละ ไม่ใช่แค่คำว่าหล่อ แต่ยังรวมถึงสง่า เปี่ยมไปด้วยพลังและอำนาจบางอย่างในตัว อีกเสียงหนึ่งในตัวบอกหล่อน
โดยเฉพาะ อะไรบางอย่าง ที่หล่อนรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก
ปัทม์พยายามสลัดความรู้สึกแปลกๆ ออกไป และก้าวเดิน...แต่ก็ต้องชะงักอีกครั้ง
ผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดขลิบริมด้วยลูกไม้ถักมือสีเขียวก้านมะลิซึ่งถูกพับอย่างเรียบกริบเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมเล็กๆ วางเด่นอยู่บนพื้นถนน บริเวณที่เขาคนนั้นยืนอยู่เมื่อครู่...
จากคุณ :
samita
- [
5 ก.ค. 49 10:12:37
]