ดูราวกับว่าเวลาได้ถูกหยุดลงไปแล้ว
ผมยืนคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ยามแหงนหน้าขึ้นมองคอนโดสูงสิบสี่ชั้นที่ตั้งอยู่ตรงหน้า ผมถอนหายใจเฮือกหนึ่งแบบที่ทำทุกครั้งเมื่อมองไปเห็นบ้านมืดๆ
ไม่มีประโยชน์ที่จะคิดถึงอดีต ผมยักไหล่และย้ำกับตัวเองขณะก้าวเข้าสู่ตัวอาคารอย่างช้าๆ จากนั้นก็กดลิฟท์ไปที่ชั้นสิบสอง เพื่อกลับไปยังบ้าน...ที่เคยเป็นของเราสามคน
ลิฟท์เกิดเสียงดังติ๊งเมื่อมาถึงชั้นเป้าหมาย ผมเดินออกจากลิฟท์อย่างช้าๆ ก่อนจะเดินขึ้นบันไดไปอีกหนึ่งชั้น และจากทางเดินที่เห็นอยู่ตรงหน้า ผมก็ได้ยินเสียงแหลมๆ ของป้าจิตรซึ่งเป็นขาเม้าท์ประจำชั้นแว่วมา ผมส่ายหน้าน้อยๆ กับเสียงคุยจุ๊กจิ๊กนั่น ไม่รู้ป้าจิตรเอาเรื่องเก่ามาขายใหม่หรือเปล่า ตอนผมกับพ่อแม่ย้ายมาใหม่ๆ ยังโดนแกหลอกซะจนหลอนไปหลายวัน ก่อนจะรู้ว่ามันไม่มีอะไร
จริงๆ นะค้า คุณน้อง ป้าจิตรเริ่ม ที่ชั้นสิบสามนี่แหละค่า มีคนกระโดดตึกลงไปนะคะ นัยว่าเป็นชู้กับคุณนายที่ชั้นสิบสี่แน่ะค่ะ แล้วแกก็เฮี๊ยนเฮี้ยน
ผมได้แต่นึกสงสารผู้เช่ารายใหม่อยู่ในใจเมื่อเดินผ่านป้าจิตรและเธอคนนั้นมา แหม...ป้าจิตรไม่บอกเขาไปล่ะฮะ ว่าเรื่องมันผ่านมายี่สิบปีแล้ว แล้วผมก็อยู่ที่นี่มาตั้งนาน ผมยังไม่เคยเห็นเขาเลย
จะว่าไป พอพูดถึงชั้นสิบสามที่ผมอยู่นี่มันก็น่าน้อยใจนะฮะ ค่าเช่าเราก็จ่ายเท่ากันทั้งตึกแท้ๆ แต่ถ้าจะมาที่ชั้นสิบสาม กลับไม่มีลิฟท์จอดซะอย่างนั้น ลิฟท์จะจอดแค่ชั้นสิบสองและสิบสี่ แล้วชั้นเราก็ถูกเรียกว่าชั้นสิบสองครึ่ง ไม่ใช่สิบสาม
ชั้นสิบสามก็ชั้นสิบสามสิน่า อะไรนักหนาก็ไม่รู้สิ
ผมส่ายหน้าน้อยๆ กับความคิดของตัวเองขณะเปิดประตูบ้านเข้าไป ความเงียบสงัดและความมืดที่พุ่งตรงเข้ามาหาทำให้ผมใจหาย ความเงียบที่ทำให้แม้แต่เสียงเข็มนาฬิกาเดินในแต่ละวินาทียังดังก้องไปทั่ว ผมไม่ชอบเลยจริงๆ
ผมจึงทำอย่างเดิมที่เคยทำมาคือกดสวิตช์ไฟทั้งหมดที่มี โดยไม่เว้นแม้แต่ไฟในห้องน้ำ แต่แล้วผมก็กลับไม่รู้ว่าความมืดในตอนแรกกับความสว่างที่ทำให้ผมมองเห็นห้องโล่งๆ ตรงหน้าได้อย่างชัดเจนนี่ แบบไหนที่จะดีกว่ากัน และแม้อากาศภายนอกจะร้อนเพียงใดก็ตาม แต่ความเยียบเย็นที่แทรกอยู่ในทุกอณูของบรรยากาศก็กลับทำให้ผมถึงกับสะท้าน ผมยืนอยู่กลางห้องที่ดูเหมือนจะกว้างเกินไปสำหรับคนๆ เดียวแล้วรู้สึกหนาวเยือกขึ้นมาในอก
ว่างเปล่า...มันช่างว่างเปล่าไม่มีอะไรเลยจริงๆ
บ้านหลังนี้ได้กลายเป็นแค่บ้านทางกาย แต่ไม่ใช่บ้านทางใจอย่างที่เคยเป็นอีกแล้ว...
ผมเสียคนสำคัญที่สุดในชีวิตของผม...แม่ ไปเมื่อห้าปีก่อน พ่อซึ่งเอาแต่เหม่อลอยตลอดการสวดอภิธรรมศพในวันแรกๆ ยังคงเผลอตัวสะกิดผมให้ไปตามแม่ให้กลับบ้าน
ผมได้แต่นั่งนิ่ง ไม่กล้าสบตาพ่อ ไม่รู้จะบอกท่านให้รู้ตัวได้อย่างไรว่า แม่ไม่อยู่กับเราอีกแล้ว แม่จากไปแล้ว...
แต่สุดท้าย ท่านก็รู้ตัวและเราก็ขับรถกลับบ้านตามลำพังสองคน
ท่ามกลางความเงียบสงัดภายในรถ ผมหวิดๆ จะร้องไห้ออกมาหลายครั้ง ผมพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้อย่างเต็มที่ แต่เมื่อทำเพียงแค่สูดน้ำมูกขึ้นมาฮึดหนึ่งเท่านั้น น้ำตาที่กลั้นเอาไว้ก็ไหลออกมา ผมรีบเช็ดน้ำตาอย่างรวดเร็ว พ่อเคยสอนไว้ว่า เราเป็นลูกผู้ชาย เวลาเสียใจและอยากร้องไห้ เราจะไม่ทำให้ใครเห็น แม้จะเจ็บปวดเพียงใด เราจะร้องไห้ในใจ
แต่ยิ่งเช็ดน้ำตาเท่าไหร่ มันก็ยิ่งไหลออกมา
ทำไมมันไม่หยุดไหล
ทั้งๆ ที่ผมก็ไม่อยาก...จะร้องไห้
ไม่อยาก...
แต่ก็กลั้นไม่ไหว
ผมกลั้นไม่ไหวแล้วจริงๆ
พ่อค่อยๆ ชลอความเร็วรถลง เปลี่ยนเลนช้าๆ และเข้าจอดที่ข้างทาง พ่อดึงตัวผมเข้ามากอดไว้ และเราก็ร้องไห้ด้วยกันเงียบๆ
หลังจากงานศพของแม่ผ่านไป พ่อก็เงียบขรึมและพูดน้อยลงกว่าเดิม ท่านเริ่มทำงานหนักและกลับดึกมากขึ้น ผมเป็นห่วงท่านมาก หลายครั้งที่ผมหิ้วท้องรอกินข้าวเย็นกับพ่อจนฟุบหลับคาโต๊ะกินข้าว
พอตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ผมมักจะพบว่าพ่อออกไปทำงานแล้ว และท่านก็ทิ้งร่องรอยของความเอาใจใส่ห่วงใยไว้บนผ้าห่มซึ่งคลุมตัวผมอยู่ ผมกระชับผ้าห่มที่คลุมตัวไว้เล็กน้อยก่อนจะปลดมันลงจากบ่า พับเก็บให้เรียบร้อยเหมือนที่เคยเห็นแม่ทำ
ผมเหลือบมองกับข้าวที่พร่องไปนิดหน่อยบนโต๊ะ ผมไม่รู้ว่าฝีมือทำกับข้าวของผมพัฒนาขึ้นหรือยัง เพราะพ่อยังคงกินข้าวน้อยเหมือนทุกครั้ง บางทีผมน่าจะ...ไม่สิ ควรจะเข้ามาช่วยแม่ทำกับข้าวให้มากขึ้น แต่มาคิดได้ตอนนี้มันจะได้อะไรขึ้นมา ในเมื่อคนสอนก็ไม่อยู่แล้ว และคนกินก็ไปทำงานแล้ว...ผมถอนหายใจออกมาอย่างเศร้าๆ เมื่อพบโน้ตเล็กๆ ที่เป็นเหมือนการสื่อสารย่อยๆ ของเรา วันนี้พ่อคงกลับดึก ไม่ต้องทำกับข้าวไว้รอหรอก
และเมื่อปริมาณคนกินเหลือเพียงคนเดียว ผมจึงอาศัยฝากท้องไว้กับร้านข้าวแกงแถวบ้าน แทนการหุงข้าวและทำกับข้าว ตอนนี้อุปกรณ์ภายในครัวทุกอย่างดูเก่า มีฝุ่นจับ ยกเว้นกาต้มน้ำร้อนกับไมโครเวฟ
..................................
ท้องของผมร้องประท้วงขึ้น ผมลูบปลอบมันเบาๆ นึกขอบใจที่มันช่วยดึงผมออกจากความทรงจำ ผมเดินเข้าไปที่ครัวและลูบหม้อหุงข้าวมอมๆ โดยอัตโนมัติ ผมมองฝุ่นดำๆ ที่ติดนิ้วมือของผมขึ้นมาและยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อสำรวจของกินสำหรับเย็นนี้ ในตู้เย็นโล่งๆ มีเพียงขวดน้ำดื่ม นี่ถ้าแม่รู้ จะต้องว่าเราแน่ๆ ที่กินแต่ของไม่มีประโยชน์ ผมพึมพำกับตัวเองขณะควานหาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่น่าจะยังมีเหลืออยู่และยิ้มออกมาหน่อยหนึ่งเมื่อพบมัน
บางครั้งการได้แอบผู้ใหญ่ทำความผิดอะไรเล็กๆ น้อยๆ นี่มันก็ตื่นเต้นดีเหมือนกันนะ แต่รอยยิ้มก็ค่อยๆ จางหายไปจากใบหน้าช้าๆ เมื่อนึกถึงความจริงข้อหนึ่งที่ว่า
ท่านไม่อยู่แล้วนี่
ไม่มีใครคอยตำหนิ ไม่มีใครคอยเป็นห่วง
เราต้องอยู่ด้วยตัวเองแล้ว
จากคุณ :
surudee
- [
วันเข้าพรรษา 01:36:09
]