คราวนี้มาตอบคำถามที่ 2 ของคุณ Sv ครับ
เมื่อตอนHaggard เป็นเด็กนั้น เขาไม่ใช่เป็นเด็กที่เรียนเก่ง เขาถูกย้ายโรงเรียนบ่อย
คุณพ่อของเขาซึ่งมีลูกทั้งหมด 10 คน (เขาเป็นลุกคนชายคนที่ 6 ในจำนวนลูกชาย
7 คน ลูกอีก 3 คนเป็นผู้หญิง) คิดว่าเขาเป็นเด็กหัวทึบ ... แต่ผมคิดว่า
Haggard คงได้รับการศึกษาแบบยุค Victorian ครับ เป็นการศึกษาที่เรียกกันว่า
classical education คือมีการสอน grammar logics และ rhetorics บวกกับ วิทยาศาสตร์
ประวัติศาสตร์ ศิลป วรรณคดี และคณิตศาสตร์ ... แน่นอนครับ เขาต้องรู้ภาษากรีก และลาตินพอสมควร
ผมคิดว่าเขาคงเขียน "อมตเทวี" ไม่ได้ดีเช่นนี้ ถ้าไม่รู้สองภาษานี้เลย และคงไม่มี
ทางเขียน "The World's Desire" (1890) ซึ่งเล่าถึงการผจญภัยของ
วีระบุรุษกรีกโอดิสซิอุส ต่อจากที่ Homer เล่าไว้ใน "The Iliad" และ "The Odyssey"
ถ้าเขาไม่ได้อ่านวรรณกรรมเอกสองชิ้นนี้
ในยุคนั้น เด็กในอังกฤษ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ชาย) ที่เติบโตในครอบครัวที่มีฐานะดีอย่างบิดาของ Haggard
จะได้รับการศึกษาเช่นนี้กัน เป็นการศึกษาที่กว้างและมีคุณภาพมาก เพื่อที่อำนวย
บุคลากรชั้นหนึ่งมาบริหารและดูแลราชอาณาจักรอังกฤษอันกว้างใหญ่ไพศาลของยุคนั้น
ปี 1875 ตอนที่ Haggard อายุได้ 19 ปี คุณพ่อของ Haggard เห็นว่าลูกชายคนนี้คง
มีอนาคตที่รุ่งเรืองในอังกฤษได้ลำบาก เขาจึงขอให้สหายเพื่อนบ้านที่สนิทสนมกันชื่อ
Sir Henry Bulwer ผู้ที่กำลังจะเดินทางไปรับตำแหน่งผู้ว่าราชการรัฐเนตาลในอาฟริกา
ให้รับ Haggard เป็นเลขานุการประจำตัวติดตามไปด้วย ตอนนั้นอังกฤษกำลังรบกับพวกบูร
ซึ่งเป็นคนผิวขาวในอาฟริกาที่มีเชื้อสายชาวดัชท์ ที่ไม่ต้องการอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ ...
เมื่อตอนที่ Sir Theophilus Shepstone ประกาศยึด Transvaal เป็นของอังกฤษเมื่อปี
1877 นั้น Haggard ได้ติดตามไปด้วย และเป็นผู้อ่านประกาศนั้นจนจบ เมื่อเจ้าหน้าที่
ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ประกาศคนแรกเกิดเสียงแหบอ่านไม่ได้
Haggard คงได้เดินทางไปทั่วแคว้น Pretoria และ Transvaal ในฐานะเลขานุการของข้าหลวง
และได้ซึมซับตำนาน ประเพณี วิถีและภาษาของคนพื้นเมืองอย่างมากมาย ซึ่งเป็นข้อมูลที่
เขาเอามาเขียนนิยายภายหลัง
Haggard กลับประเทศอังกฤษเมื่อปี 1881 แล้วก็เริ่มศึกษากฏหมายเพื่อที่จะเป็นทนาย
เขาสอบผ่านเมื่อปี 1884 ... เขาคงไม่ใช่ทนายที่ดีนัก เพราะเขามีเวลาว่างมาเขียนนิยาย
ซึ่งเป็นงานอดิเรกที่เขาชอบ ก่อนหน้า "King Solomon's Mines" เขาเขียนนิยาย
สองเรื่อง "Dawn" (1884) และ "The Witch's Head" (1884) เรื่องแรกไม่เกี่ยวกับอาฟริกา
แต่เรื่องที่สองเนื้อเรื่องเกิดในอาฟริกา ทั้งสองเรื่องไม่ได้รับความนิยมเท่าไร
เมื่อปี 1885 ระหว่างอยู่บนรถไฟในกรุงลอนดอน Haggard ได้ถกกับพี่ชายเกี่ยวกับ
นิยายเรื่อง "Treasure Island" ("เกาะมหาสมบัติ") ของ Robert Louis Stevenson
ซึ่งกำลังโด่งดังอยู่ในช่วงนั้น ... Haggard เห็นว่านิยายเรื่องนี้ไม่ดีอย่างที่คน
เขาว่ากัน พี่ชายเขาจึงท้าว่า Haggard เองคงไม่มีปัญญาที่จะเขียนนิยายแบบนี้ให้ดีได้เท่าครึ่ง
หนึ่งของ "Treasure Island" .. ตกเย็นวันนั้นเอง Haggard ก็วางโครงเรื่องนิยายผจญภัย
แนวการแสวงหาสมบัติแบบ "Treasure Island" โดยมีอาฟริกาเป็นฉาก และมีตัวละคร
อัลลัน ควอเตอร์เมนซึ่งอยู่ในวัยชราเป็นพระเอก (เพื่อให้แตกต่างจากนิยายของ Stevenson
ซึ่งมีเด็กวัย 11 เป็นตัวเอกเล่าเรื่อง) เขาเขียนนิยายนี้จบภายใน 6 อาทิตย์
นิยายเรื่องนั้นคือ "King Solomon's Mines" ซึ่ง Haggard เขียนคำอุทิศไว้ว่า
"This faithful but unpretending record of a remarkable adventure
is hereby respectfully dedicated by the narrator, Allan Quatermain,
to all the big and little boys who read it."
ทันทีที่นิยายเรื่องนี้ออกวางแผงก็ได้รับความนิยมอย่างอุ่นหนาฝาครั่ง นิตยสาร The Academy บอกว่า
เป็น "a boys' book of the first class, which holds the attention from the first page to the last."
นิตยสาร Vanity Fair ไม่บอกว่าเรื่องนี้เป็นนิยายสำหรับเด็ก แต่แนะนำให้ทุกคนอ่าน "this clever
and highly exciting story." มีผู้อ่านหลายคนคิดว่าขุมทรัพย์พระศุลีมีจริงตามแผนที่ ถึงกับมีการวางแผน
เดินทางไปอาฟริกาแสวงหาขุมทรัพย์กัน ...
อีกสองปีต่อมา Haggard ก็เขียน "อมตเทวี" ("She") และ "จอมพรานสุดขอบฟ้า" ("Allan Quatermain")
ซึ่งก็ได้รับความนิยมอย่างมากมายเหมือนกัน
Haggard เขียนนิยายและเรื่องสั้นทั้งหมดประมาณ 60 เรื่อง แต่ปัจจุบันนี้มีผู้อ่านส่วนใหญ่รู้จักนิยายของเขาก็
แค่สามเรื่องที่ผมกล่าวมาแล้ว แต่ความจริงแล้ว นอกจากนิยายชุดอัลลัน ควอเตอร์เมน 14 เรื่อง และนิยาย
ชุด "อมตเทวี" อีก 4 เรื่อง (เรื่องหนึ่งเขาเอาตัวละคร อัฌฌาเทวีพระนางสองพันปี พระเอกอัลลัน และ จอมขวาน
อัมสโลโปกาส มาเจอกัน) นิยายอิงประวัติศาสตร์ของเขาก็อ่านสนุกและให้ความรู้ด้านประวัติศาสตร์ของโลก
มาก เช่น "Cleopatra" (1889) ที่เล่าถึงพระนางคลีโอพัตรา
จากมุมมองของเจ้าชายฮาร์มาคิสแห่งไอยคุปย์ "Montezuma"s Daughter" (1893) ที่เกี่ยวกับชาว Aztecs ในยุคของ
Hernando Cortes และ Eric Brighteyes (1891) ซึ่งเป็นนิยายเกี่ยวกับตำนานของพวกไวกิ้งส์ ...
จนกระทั่งทุกวันนี้ ผู้อ่านยังตัดสินไม่ได้ว่า ระหว่าง "King Solomon's Mines" หรือ "Treasure Island" เล่มไหนเป็นนิยายผจญภัยที่ดีกว่ากัน ...
(ที่มา http://en.wikipedia.org/wiki/H._Rider_Haggard และ หนังสือชีวประวัติของผู้เขียนชื่อ "Rider Haggard"
ของ Morton M. Cohen พิมพ์เมื่อปี 1960)
แก้ไขเมื่อ 16 ก.ค. 49 10:41:42
แก้ไขเมื่อ 15 ก.ค. 49 00:39:14
แก้ไขเมื่อ 15 ก.ค. 49 00:33:59
แก้ไขเมื่อ 14 ก.ค. 49 22:08:35