CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    Trip & love: ตามรอยแห่งรัก ตอน ละอองรักในสายลม โดยนฬาลี ตามติดด้วยตอนจบของทริปนี้




    สายลมนำพาความรัก...มาพบพาน...มาผูกพัน...กระชับมั่น...ด้วยสายธารแห่งกาลเวลา”


    ภายในห้องมีเพียงเสียงเพลงดังอย่างแผ่วเบา ในวันนี้ฉันต้องอยู่คนเดียวเพราะนีรชาพี่สาวฝาแฝดไปภูกระดึงเพื่อทำใจกับข่าวการแต่งงานระหว่างพาแก้วกับธันยธรณ์ เพื่อนสนิทที่รชาหลงรัก ฉันเองก็อยากไปด้วยแต่รชาขอไว้ ทำให้มีเวลาพอจะทบทวนถึงเรื่องราวต่างๆ ซึ่งเคยสะกิดใจมาหลายครั้งแต่ไม่กล้าพอที่จะค้นหาคำตอบ ฉันคิดไปคิดมาอยู่หลายตลบก่อนตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและกดหมายเลขที่ต้องการทันทีเพราะกลัวตัวเองจะเปลี่ยนใจ

    “สวัสดีจ้า สายลมแห่งความคิดถึงสายไหน ที่ช่วยพัดและดลใจให้สาวน้อยฌัชฌมนท์ โทร.หาหนูเล็กได้”

    เสียงใสๆ พร้อมคำทักตามแบบฉบับของหนูเล็กเริ่มขึ้นหลังจากปล่อยให้ฉันฟังเสียงสัญญาณโทรศัพท์ดังอยู่หลายครั้ง

    “ทำไมจ๊ะ มนท์โทร.หาหนูเล็กไม่ได้หรือ”

    “ได้จ้า ได้ทุกเวลาเลย แหม...อย่างงอนสิ แค่แซวเล่นนิดเดียวเอง”เสียงออดอ้อนดังมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้นึกภาพได้ว่าคนพูดกำลังทำหน้าตาแบบไหนอยู่

    “หนูเล็กจ๊ะ ช่วงนี้งานที่ร้านยุ่งมากไหม”

    “ไม่นี่นา มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า”

    “คืองี้นะ ถ้าพรุ่งนี้มนท์ขอไปบ้านหนูเล็ก…”ฉันกลั้นใจรอคำตอบของเพื่อน เพราะถึงแม้เราจะสนิทกันในช่วงเรียนมหาวิทยาลัย แต่ตอนนี้ฉันทำงานอยู่ในกรุงเทพฯ ส่วนหนูเล็กกลับไปดูแลกิจการเล็กๆ ของครอบครัวที่จังหวัดบ้านเกิด

    “ไหนบอกใหม่อีกทีสิ หนูเล็กกลัวว่าตัวเองหูฝาดไปน่ะ”

    “เอ่อ...มนท์ถามว่าขอไปเที่ยวบ้านหนูเล็ก พอดีช่วงนี้พอจะมีเวลาว่าง”

    “เย้ๆๆ…ทำไมจะไม่ได้ เกือบปีแล้วสิ หลังจบเราเจอกันนับครั้งได้เลย รู้รึเปล่าหนูเล็กดีใจแค่ไหนชวนกี่ทีก็ไม่มา แต่บอกไว้ก่อนเลยนะว่ามาแล้วห้ามบ่นไม่มีที่เที่ยว เพราะจังหวัดนี้เล็กนิดเดียว”เสียงใสร่ายยาวมาเป็นชุด

    “จ้า ก็แค่อยากเปลี่ยนบรรยากาศจากกรุงเทพฯ บ้าง มนท์ไม่ได้ไปรบกวนแน่นะ”

    “โอ๊ย...ไม่เลยสักนิด ดีเสียอีกหนูเล็กจะได้มีเพื่อน วันๆ เห็นคนอยู่ไม่กี่คนเบื่อจะตายอยู่แล้ว”พร้อมกับเสียงทุ้มนุ่มที่แทรกเข้ามา

    ’ใครเบื่อพี่   หึหน้าตาเป็นไง นินทาอะไร พี่ได้ยินนะ’

    ’พี่รองนิสัยไม่ดี มาแอบฟังเค้าคุยโทรศัพท์’

    ‘เพิ่งรู้นะ..ว่าแบบนี้เค้าเรียกว่าแอบฟัง เอ...ไม่ใช่มั้งเสียงคุยลั่นบ้านขนาดนี้ สี่ขาข้างล่างยังได้ยินเลย’

    ‘พี่รองจะไปไหนก็ไปไม่ต้องมากวนเลย หนูเล็กจะคุยกับเพื่อน... ไปสิยืนอยู่ได้’เสียงที่ได้ยินทำให้อดนึกถึงรชาไม่ได้ ถ้าวันนี้รชาอยู่บ้าน ฉันคงจะเล่าเรื่องบางอย่างที่เกิดขึ้นในรอบหลายปีที่ผ่านมาให้ฟัง...

    “มนท์จะมายังไง”

    “ขับรถไปเอง แล้วจะโทร.ถามทางเป็นระยะจ้ะ”

    “ได้สิ ไม่มีปัญหา รชามาด้วยไหม”

    “ไม่จ้ะรชาไม่อยู่ มนท์ก็เลยจะไปหาหนูเล็กไง”

    หลังจากนั้นเราคุยกันเรื่องเส้นทางและกำหนดเวลาออกเดินทางต่ออีกครู่ใหญ่ ก่อนขอตัวมาจัดเตรียมกระเป๋าและของบางอย่างเพื่อการเดินทางในวันพรุ่งนี้    




    วันรุ่งขึ้นฉันออกเดินทางแต่เช้าโดยเลือกใช้เส้นทางจากกรุงเทพฯมุ่งสู่อยุธยา ตลอดทางฉันคิดถึงเรื่องราวบางอย่างที่ค้างคาในใจ เรื่องที่มีส่วนผลักดันให้ต้องเดินทางในครั้งนี้นอกเหนือจากการไปเยี่ยมหนูเล็ก ระหว่างทางฉันแวะส่งจดหมายโดยใช้บริการไปรษณีย์ด่วนพิเศษ ถ้าจดหมายไปถึงเรื่องราวคงกระจ่างเสียที

    เมื่อแวะเติมน้ำมันรถก็อดไม่ได้ที่จะเข้าร้านมินิมาร์ทเพื่อเลือกซื้อขนมเปี๊ยะติดมือไปด้วย ก่อนเดินทางต่อโดยเลือกใช้เส้นทาง สายตากฟ้า – เขาทราย เพื่อหลีกเลี่ยงเส้นทางสายเอเชีย จนถึงแยกที่ต้องการจึงชะลอรถเข้าข้างทางเพื่อโทรศัพท์หาหนูเล็ก  

    “หวัดดีจ้า ถึงไหนแล้ว”

    “ตอนนี้มนท์เลี้ยวจากแยกมาราวๆ 15 กิโลน่ะ”

    “อืม งั้นขับตรงมาอีกสัก 3 กิโล สังเกตทางขวามือ แยกที่ต้องเลี้ยวจะมีร้านขายเครื่องเรือนจำพวกไม้ มีแยกเดียวแหละ”

    “เห็นแล้ว ด้านขวามือข้างหน้าเห็นมีพวกเก้าอี้ไม้วางขาย”

    “ใช่แล้วเลี้ยวขวามาเลยนะ ตามถนนข้างๆ ร้านนั่นแหละ”ฉันเปิดไฟเลี้ยวขวาก่อนหมุนพวงมาลัยไปทางนั้น  

    “เลี้ยวมาแล้วจ้า”

    “งั้นคราวนี้ขับช้าๆ ตรงมา แล้วมองทางซ้ายมือนะ เดี๋ยวหนูเล็กจะวิ่งออกไปรออยู่หน้าบ้าน”

    ฉันขับรถไปเรื่อยๆจนเห็นหนูเล็กมายืนโบกไม้โบกมืออยู่ข้างทาง จึงเลี้ยวรถเข้าไปผ่านประตูรั้วที่เปิดรอไว้ หนูเล็กปราดเข้ามาทักทายแล้วชวนเข้าบ้าน แต่ไม่ลืมที่จะเอื้อมมือมารับถุงขนมเปี๊ยะของฝากติดไปด้วย

    “ไปๆ ขึ้นบ้านกันดีกว่า” ขณะเดินขึ้นบันไดบ้าน หนูเล็กเล่าคร่าวๆ ถึงสมาชิกหลักของบ้าน ได้แก่คุณอา หนูเล็ก พี่รอง ป้าสมใจและลุงสมนึกคนเก่าแก่

    ภาพใหญ่เด่นบนฝาผนังห้องโถงทำให้ฉันถึงกับชะงักฝีเท้าที่กำลังเดินกลายเป็นหยุดยืนมองอย่างชื่นชม แล้วอดถามไม่ได้

    “หนูเล็ก..ภาพนี้สวยจัง นกอะไรน่ะ แล้วถ่ายที่ไหนเหรอ”

    “อ้อ .. ’ภาพยามเช้า‘ เป็นภาพที่ฝูงนกเป็ดน้ำที่ถลาบินตัดกับแสงแดดยามเช้าและผืนน้ำ ภาพนี้ถ่ายที่บึงน้ำกลัดน่ะ”

    “ใครถ่ายไว้  ฝีมือพี่รองใช่ไหม”

    “ไม่ใช่หรอก เอ่อ...พี่ใหญ่เป็นคนถ่ายน่ะ”

    “พี่ใหญ่...ใครหรือ ไม่เห็นหนูเล็กเคยพูดถึง”ฉันมองหน้าเพื่อนด้วยความสงสัย

    “ตอนนี้เค้ายังไม่อยากพูดถึงขอโทษนะมนท์ คุยเรื่องอื่นได้ปะ”สีหน้าและน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปของหนูเล็กทำให้ฉันรู้สึกแปลกใจแต่ก็ไม่กล้าเซ้าซี้ถามต่อ จึงได้แต่เดินตามเพื่อนเอาของไปเก็บที่ห้อง




    ก่อนรับประทานอาหารเย็นฉันได้พบกับพี่รองอีกครั้งหลังไม่ได้พบนานมากแล้ว เราช่วยกันวางแผนคร่าวๆ ว่าวันพรุ่งนี้จะไปเที่ยวที่ไหน หนูเล็กได้ถามข่าวคราวของเพื่อนที่ช่วงหลังบางส่วนขาดการติดต่อกันไป เพราะบางคนไปทำงานไกลหรือบางคนมีครอบครัวไปแล้ว

    เราย้ายจากห้องรับประทานอาหารมานั่งดูรายการโทรทัศน์ในห้องโถง หนูเล็กเริ่มเล่าประวัติของเมืองพิจิตรให้ฟัง โดยที่มีพี่รองนั่งทำงานอยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง ฉันเห็นเขาเหลือบมองพวกเราที่คุยกันอยู่เป็นระยะๆ แต่ไม่มาร่วมวงด้วย ช่วงหนึ่งหนูเล็กเริ่มท่องคำขวัญประจำจังหวัด

    “ถิ่นประสูติพระเจ้าเสือ แข่งเรือยาวประเพณี พระเครื่องดีหลวงพ่อเงิน เพลิดเพลินบึงสีไฟ ศูนย์รวมใจหลวงพ่อเพชร รสเด็ดส้มท่าข่อย ข้าวเจ้าอร่อยลือเลื่อง ตำนานเมืองชาละวัน”

    “เอ่อ.. หนูเล็กจะไปประกวดท่องคำขวัญที่ไหนหรือ”คำตอบที่ได้มากลายเป็นหมอนอิงที่ถูกโยนใส่ จากนั้นสงครามหมอนขนาดย่อมก็เริ่มขึ้น

    “โอ๊ย...พอเหอะหนูเล็ก ไม่ไหวแล้ว”

    “ก็ใครก่อกวนก่อนล่ะ คนเขาท่องให้ฟังยังมาแซวอีก”

    “แหม...อย่างอนน่า ไม่ได้เล่นงี้มานานเล่นซะหอบเลย”

    ”งั้นถามอีกนิดนะ หนูเล็กรู้ปะว่าชื่อจังหวัดมีความหมายว่าไง สงสัยไม่รู้แหะ เงียบยังงี้”

    “เชอะใครไม่รู้ หนูเล็กซะอย่างเรื่องแค่นี้“พลางทำเสียงขึ้นจมูกก่อนตอบว่า” ‘พิจิตร’ มีความหมายว่า ‘เมืองงาม’ ”หนูเล็กหันมายักคิ้วให้

    “งั้นถามต่อ เมืองโอฆะบุรีกับเมืองสระหลวง คือเมืองอะไร”

    “ยัยมนท์...หล่อนรู้คำตอบหมดแล้วนี่ มาแกล้งถามเค้าทำไม”

    “แหม..มนท์รู้นิดหน่อยเองเคยมีเพื่อนคนนึงบอกมาจ้ะแต่จำไม่ค่อยได้แล้ว หนูเล็กเล่าหน่อยนะ”

    “อืมม..ก็ได้ พิจิตรเคยถูกเรียกขานมาหลายชื่อ ในสมัยสุโขทัยเราจะเรียกว่าเมืองสระหลวง แต่มาในสมัยกรุงศรีอยุธยาก็คือ เมืองโอฆบุรี ที่หมายถึง เมืองในท้องน้ำ”

    “ถ้างั้นที่มนท์เคยอ่านเจอว่ามีเมืองพิจิตรเก่ากับเมืองพิจิตรใหม่ มันเป็นยังไงจ๊ะ”

    “อ๋อ..เมืองพิจิตรใหม่ก็คือเมืองที่ย้ายมามาตั้งที่บ้านคลองเรียง ในสมัยร.5 หลังจากที่ทรงให้ขุดคลองเรียงขึ้นเพราะแม่น้ำน่านสายเดิมตื้นเขิน คลองเรียงจึงกลายเป็นแม่น้ำน่าน แล้วก็คือเมืองพิจิตรในปัจจุบัน”

    “ส่วนเมืองพิจิตรเก่าก็คือบริเวณที่แม่น้ำน่านสายเดิมไหลผ่าน ปัจจุบันก็คืออุทยานเมืองเก่า เป็นไงหนูเล็กเก่งเปล่าแล้วพรุ่งนี้จะพาไปเที่ยวถ้ามนท์ทำตัวน่ารักๆ”หนูเล็กหัวเราะเสียงใสทำให้อดที่จะหัวเราะตามไปด้วยไม่ได้ แต่ก็รู้สึกเหมือนว่ามีคนมองอยู่ พอหันไปก็เห็นพี่รองหันกลับไปสนใจหนังสือในมือต่อเหมือนกับว่าเมื่อกี้ไม่ได้มองมาเลย

    “จ้า เก่งมากจ้ะ แต่ตอนนี้ไปนอนก่อนได้ปะ มนท์ง่วงแล้ว”

    “ก็ดีเหมือนกัน”หนูเล็กหันไปทางพี่รองพลางบอกว่า“งั้นพวกเราไปนอนก่อนนะพี่รอง”

    “อืมม..ไปเถอะ ตอนแรกพี่นึกว่าเราจะนั่งคุยกันจนถึงเช้า...”หนูเล็กคว้าหมอนโยนใส่พี่รองทันทีที่เขาพูดจบ ฉันต้องรีบดึงหนูเล็กเข้าห้องนอนก่อนที่สงครามหมอนครั้งใหม่จะเริ่มขึ้น


    แก้ไขเมื่อ 12 ก.ค. 49 21:48:41

    จากคุณ : AmeliaM - [ 12 ก.ค. 49 21:47:22 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com