CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    เมื่อครั้งหนึ่งนั้น ในดินแดนเผ่าพันธุ์ปกาเกอญอ

    ต้นฝนปี 2543  ได้มีโอกาสไปใช้ชีวิตการทำงาน  ในชุมชนเล็กๆกลางหุบเขาของจังหวัดแม่ฮ่องสอน  ที่ที่ยังคงความดิบของธรรมชาติไว้ได้  ยังคงความบริสุทธิ์ของวิถีชีวิต  อารยธรรมเผ่าพันธุ์  ช่วงเวลาของการใช้ชีวิตบนเส้นทางหาเลี้ยงชีวิต  6 ปีที่โน่น  ทำให้ได้มีโอกาสเก็บเกี่ยวความทรงจำ  ความประทับใจ ประสบการณ์ อย่างที่ชีวิตนี้หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว    นอกจากนี่นั่น   หุบเขาสายหมอก  ผืนดินระหว่างขุนเขา อบอวลด้วยม่านหมอกทุกเช้าตรู่และค่ำคืน
    เริ่มจากการได้อ่าน นวนิยาย เรื่องสั้น สารคดี  บทความ เกี่ยวกับวิถีชีวิตชนเผ่าต่างๆ สมัยเรียน  แล้วเกิดความประทับใจ  ในเรื่องราวเผ่าปกาเกอะญอ หรือกะเหรี่ยง  ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตน  ภูมิปัญญาที่โดดเด่น  ความเชื่อ  คติ ที่แหลมคม    ต้องชื่นชมอย่างจริงใจว่า ปกาเกอะญอ เป็นเผ่าที่มีความลึกล้ำในการดำรงชีวิต  มีความมั่นคงในวิถีมาอย่างยั่งยืนยาวนาน  ทำให้เกิดความสนใจและอยากจะได้ไปสัมผัส  วิถีชีวิตจริงๆ  ที่ไม่ใช่เพียงเรื่องราวจากงานเขียนที่อ่านเท่านั้น  การเลือกเส้นทางเดินของชีวิตและงาน  หลังจากจบมหาวิทยาลัย  จึงมีเหตุนี้เป็นแรงจูงใจ
    สิ่งที่เก็บไว้กับใจไม่รู้ลืม  ก็ได้แก่  วิถีการดำรงชีวิตในเผ่าพันธุ์ของปกาเกอะญอ  ทุกอย่างมีเหตุผลในตัว  มีที่มาที่ไป  การกระทำ วัตร จารีต พิธีกรรม ความเชื่อ ทุกสิ่งมีเหตุผล ผสมผสานด้วยศาสตร์ต่างๆมากมาก  หาใช่เพียงความล้าหลัง ไร้อารยธรรม หรือความงมงาย  อย่างที่ภายนอกเผ่าพันธุ์มองเข้ามา
        เอกลักษณ์อันโดดเด่นของปกาเกอะญอ ที่เกิดความประทับใจ  ได้แก่
          1. การทำไร่หมุนเวียน   หาใช่เป็นการทำไร่เลื่อนลอยไม่  พวกเขาจะทำการถางไร่ ทำการเพาะปลูกบนผืนดิน  แล้วเวียนไปที่แห่งใหม่ ในรอบ 7 ปี ถึงจะได้วนกลับมาทำที่เดิม  เพื่อให้ต้นไม้ได้เติบโตรักษาผืนป่า ต้นน้ำเอาไว้   การตัดต้นไม้ต้องเหลือตอเอาไว้ ให้ได้แตกกิ่งก้าน  ทุกต้นในผืนดินดอย  หากถูกตัดไปใช้งาน ก็จะเหลือตอไว้ให้พอแตกกิ่งก้านต่อไป  เป็นวัฒนธรรมที่สืบต่อกันมา  ถ้าถามว่าทำไมต้องตัดให้เหลือตอไว้  เขาจะตอบว่า ถ้าตัดหมดมันไม่ดี  เป็นความเชื่อที่สืบทอดกันมา  บรรพบุรุษของเขาได้สร้างกุศโลบายไว้ในความเชื่อ
        2. การเลี้ยงลูก  ภาพสตรีปกาเกอะญอ ใช้ผ้าห่มเนื้อเบา หรือผ้าขาวม้า ผูกโอบด้านหลังลูกกระเตงมัดรวบกับตัวของแม่เกือบตลอดเวลา เป็นภาพเอกลักษณ์ที่จะลืมยาก   เด็กทารกจะเหมือนได้นอนเปลผ้าที่ผูกสะพายแล่งไว้กับแม่ หรือ พี่  ตลอดเวลา  ไปไหนไปด้วย  ได้รับความอบอุ่นใกล้ชิดกับคนเลี้ยงตลอดเวลา  ไม่งอแง  จิตใจสงบตั้งแต่เล็กๆนี่เอง คนปกาเกอะญอถึงได้เป็นผู้มีลักษณะใจเย็นนิ่มนวล ยิ้มง่าย  สุขภาพจิตดี
    3.การสร้างเตาไฟไว้กลางบ้าน ใช้เป็นที่ประกอบอาหารและรับแขก  เตาไฟกลางบ้านจะทำโดยการทำพื้นกระดานให้ต่ำกว่าบริเวณอื่น ใส่ดิน ทำร้านไม้ไผ่สานคร่อมไว้  แล้วใช้เป็นที่ก่อไฟหุงข้าวต้มแกง  ควันที่ลอยขึ้นไปก็จะเป็นที่อบแห้งของอาหารพืชผักเครื่องเทศนานาชนิดที่วางไว้เหนือเตา อย่างพริก พันธุ์ข้าวโพด หนู นก งู จะได้เก็บไว้กินได้นานๆ  บริเวณเตาไฟนี้แหละ เป็นที่ที่ชอบมากที่สุด เพราะหลังจากกินข้าวกันเสร็จแล้ว ก็จะเป็นที่พักผ่อนไป  เก็บกวาดสำรับกับข้าวแล้ว ก็ตั้งน้ำชา จิบชาหย่อนเกลือเม็ดไปหน่อย ในแก้วไม้ไผ่หอมๆ  คุยกันไป  ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ  เล่านิทาน เล่าโจ๊ก  เหตุการณ์บ้านเมือง  เด็กน้อยก็มาทำการบ้านข้างเตา อาศัยแสงสว่างจากไฟ  พอง่วงก็ปูเสื่อนอนกันข้างเตา อย่างอุ่นกาย บริเวณรอบเตานี้ถือเป็นบริเวณเอนกประสงค์ของบ้านเลย ตั้งแต่ทำอาหาร กินข้าว รับแขก  ตลอดจนที่หลับนอน แม้แต่เจ็บป่วยก็มานอนกันข้างเตา แถมยังเป็นที่เก็บอาหารและพันธุ์พืชไว้เพาะปลูกได้อีก
    4.ภาษาของตัวเอง- ภาษาปกาเกอญอ  มีทั้งภาษาพูดและภาษาเขียน      คำส่วนใหญ่จะออกเสียงควบ เป็นเสียงพยัญชนะ2เสียงควบกัน อย่าง ซา ป_ก่า (ชรา)  , เค_ง(สวย)  , ฝ_วิ ( อร่อย )         การเรียงไวยากรณ์คล้ายๆภาษาอังกฤษ  ถ้าแปลเป็นภาษาไทยจะแปลจากหลังมาหน้า เช่น
         “ซา เดอะ” แปลว่า บ้านของฉัน ( ซา คือ ฉัน  ,เดอะ คือ บ้าน )
                      “เซอล่ะ แคโต่โบ” แปลว่า ดินสอของครู (  เซอล่ะ คือ ครู ,แคโต่โบ คือ ดินสอ)
        “ ซูเถาะ”   แปลว่า  หมูสีดำ (  ซู คือ สีดำ ,เถาะ คือ หมู )
       “หยะโพ ที” แปลว่า น้ำปลา (หยะโพ คือ ปลา  ,ที คือ น้ำ)
    ส่วนการถามก็ใช้คำเฉพาะตามลักษณะการถาม  และมีคำท้าย คล้ายๆ ไหม ,เหรอ , อย่างถามว่า
        “เต่อก่า แฮ เลาะ ?” ( ใครมาเหรอ)  
       “ปือแก บาท เลาะ?”  ( กี่บาท)  
         “ต่าและ?”  ( อะไร)
    และมีหลายคำ ที่ได้รับอิทธิพลจากภาษาไทยใหญ่  ภาษาคำเมือง หรือภาษาไทย ใช้ปนในภาษากะเหรี่ยง  เช่น
    “โซะ มะ นอ”  คือ ส้มมะนาว
    “ซิ กะโป”คือ ซิ่นกระโปรง
    “โฮ หม่อ” คือ โรงหมอ หรือโรงพยาบาล
    5. บ้านไร้ตะปู  การสร้างบ้านไม่ใช้ตะปู  ใช้เชือกปอมัดไขว้ สร้างกระท่อมทั้งหลัง  โดยไม่มีตะปู  ไม้ขื่อไม้แปร บันได   เสา ใช้การมัดผูกทั้งสิ้น  เป็นความน่าทึ่งของภูมิปัญญาบรรพชนปกาเกอะญอ  การสร้างบ้านสักหลัง เพียงหาไม้มาจากป่าซึ่งมีมากมาย ส่วนมากเป็นไม้สน ซึ่งโตเร็ว  โดยจะตัดไว้ให้เหลือตอเพื่อปล่อยให้งอกแตกกิ่งก้านโตมาใหม่ได้   ใช้ไม้สนมาทำ  ขื่อ  คาน  เสา  ส่วนฝา พื้น จะใช้ไม้ไผ่เนื้อแก่  ซึ่งจะทนทานแข็งแรง  อยู่ได้นานกว่า 5 ปี  แล้วหลังคาก็จะใช้ใบตองก๊อ ซึ่งเป็นปาล์มชนิดหนึ่ง (คล้ายใบตาล) ซึ่งมีมากมายในป่ามามัดทำเป็นแถบเพื่อมุงหลังคากันแดดกันฝนได้หลายปี  ทุกวัสดุการทำบ้านมีเพียงจากธรรมชาติ ใช้ตอกมัด เชือกปอฟั่นมัดคาด  เถาวัลย์ดึงรั้ง  กลายเป็นบ้านที่มั่นคงแข็งแรงได้อย่างน่าอัศจรรย์  แต่ไม่มีตะปูแม้แต่อันเดียว

    จากคุณ : เพลงสน บนยอดภู - [ 14 ก.ค. 49 23:52:08 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com