CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    ----- กระต่าย หมายดาว บทที่6-7 ค่ะ -----

    6

    .
    เมื่อกลับมาถึงบ้านพักของตัวเอง ตรีภัทรก็ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาตัวยาวกลางห้องนั่งเล่นอย่างอ่อนระโหยโรยแรง  ท่ามกลางสายตาอยากรู้อยากเห็นของพี่ชายคนโตที่นั่งนิ่งมองเขาอยู่ก่อนแล้วฝั่งตรงข้าม

    เอกอรินทร์กดรีโมตคอนโทรลปิดทีวี แล้วหันมาเอ่ยกับน้องชายด้วยเสียงเอื้ออาทร

    “เป็นไง เจ้าตรี ซีดมาเชียวนะแก?”

    “ก็พี่โทน่ะสิ ผมบอกแล้วว่าไม่ไหวๆ ก็ไม่เชื่อ นี่ผมอาเจียนหมดไส้หมดพุงไปแล้วนะครับ” น้องชายบ่นอย่างไม่ชอบใจ ถ้อยคำกล่าวโทษของตรีภัทร ทำให้ร่างสูงของคนที่ก้าวตามเข้ามา ต้องร้องลั่น รีบแก้ตัวเป็นพัลวัน

    “ไม่เกี่ยวกับฉันซักหน่อย ใครจะไปตรัสรู้ล่ะ ว่าแกจะเป็นโรคประหลาดขนาดนี้ หนอย…ทนสายตาคนเยอะๆ ไม่ได้ก็ไม่ยอมบอก”

    “ถ้าบอกแล้วพี่จะฟังผมไหมล่ะ?” คนเป็นน้องย้อนเข้าให้ ฝ่ายนั้นก็อ้ำอึ้งไปบ้างเหมือนกัน แต่แค่แวบเดียว เจ้าตัวก็ตั้งหลักได้ แล้วโต้กลับไม่มียั้ง

    “ก็นั่นล่ะ มันเป็นความผิดของแก ถ้าฉันรู้ ฉันก็จะไม่บังคับแกหรอก ฉันไม่ใช่คนใจร้ายใจดำอะไรซักหน่อย “

    “น้อยไปสิ ใจดำจนเข้าขั้นอำมหิตเลยต่างหาก!!”

    “ไอ้ตรี หาเรื่องกันเรอะ?” ทวิภพขึ้นเสียงเข้าข่มขวัญน้องชายตัวดี วันนี้ดูมันจะปากกล้าขึ้นกว่าปกติเยอะทีเดียว “อย่าลืมสิวะ ว่าใครใจดี อุตส่าห์ให้เงินแกยืมตั้งหมื่นนึงนะ หา?”

    “แล้วก็ใจดี๊ดีคิดดอกเบี้ยเงินกู้ร้อยละยี่สิบต่อเดือนด้วย เกิดมาไม่เคยเจอพี่คนไหนหน้าเลือดอย่างนี้มาก่อนเลยจริงๆ ด้วยครับ” ตรีภัทรประชดเข้าให้ เจ้าหนี้ผู้ใจดีเลยสะอึกอึ้ง ตาเบิกโพลง อ้าปากค้างเติ่ง

    “ฉันจะยังไง ก็ได้ชื่อว่าเป็นคนหาเงินมาใช้หนี้ดอกเบี้ยแบงค์ล่ะวะ ไม่เหมือนแกหรอก นอกจากจะไม่ทำอะไรที่มันได้เงินเยอะแล้ว ยังทำให้บ้านเราต้องขายขี้หน้าด้วย หนอย…ขายหมูปิ้ง คิดได้ยังไงกันวะ?”

    ทวิภพบ่นน้องชาย ใบหน้าเรียวคมสันถ:-)ทึงเอาเรื่อง…เอกอรินทร์กับตรีภัทรเงียบกริบไปทันทีที่อีกฝ่ายยกเรื่องดอกเบี้ยธนาคารขึ้นมาพูด

    เอกอรินทร์เจียมตัว เพราะหนี้สินทั้งหมดที่บานเบอะอยู่ตอนนี้ ก็มาจากร้านเพชรที่เขาลงมาดูแลต่อจากพ่อทั้งนั้น

    ส่วนตรีภัทร เขาไม่สามารถหาเงินก้อนใหญ่เท่าทวิภพได้ ก็เลยได้แต่ช่วยทำงานบ้าน ขายของได้เงินมาก็เอามาใช้จ่ายในบ้านและเป็นค่าเล่าเรียนของตัวเองเท่านั้นก็ย่ำแย่เต็มทีแล้ว ภาระต่างๆ เรื่องหนี้สินธนาคารทั้งหมด จึงต้องตกอยู่ในความรับผิดชอบของทวิภพเพียงคนเดียว…

    เพราะอย่างนี้ ทุกคนจึงเหมือนว่าต้องเกรงใจคนหาเงินเข้าบ้านคนนี้มากเป็นพิเศษ ถ้าเป็นไปได้ เขาไม่อยากแตะให้พี่แกต้องบ่นเรื่องมากเลยจริงๆ แต่บางครั้งมันก็ทนไม่ไหวเหมือนกัน

    ทวิภพคิดว่าตัวเองเป็นเสาหลักของบ้าน จะทำอะไรใครๆ ก็ต้องพลอยเห็นดีเห็นงามตามเขาไปเสียหมด จนบางครั้งไม่คำนึงถึงผิดถูกนอกจากเงิน…เงินกำลังเข้ามาเป็นปัจจัยใหญ่ที่สุด ในการเลือกทางดำเนินชีวิตของพวกเขาสามคนพี่น้องไปเสียแล้ว

    ตรีภัทรไม่ต้องการเห็นพี่ๆ ต้องเป็นอย่างนั้นเลย…บางครั้งเขาก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า กับการไล่ตามความฝันอันแสนห่างไกลที่พ่อแม่ทิ้งเอาไว้ให้…การจะประคับประคองกิจการที่ล้มไปแล้วให้กลับพลิกฟื้นขึ้นมาใหม่ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ และใช่ว่าจะทำกันได้สำเร็จในระยะเวลาอันสั้น ในเมื่อพวกเขาไม่มีเงินทุน ไม่มีเวลามากพอที่จะต่อยอดรอคอยจนกว่าจะถึงวันที่ดอกไม้บาน…

    อะไรๆ มันเลยดูจะยากเย็น ไม่ผิดกับเข็นครกขึ้นภูเขาเลยทีเดียว…

    “ผมไม่อยากจะเถียงกับพี่เรื่องนี้แล้ว เอาเป็นว่าหนี้ของเราจบกันแล้วนะครับ แล้วพรุ่งนี้ ผมขอสองร้อยค่าแรงของผมด้วยผมจะไปนอนล่ะ”

    น้องชายตัดบท พยุงกายลุกขึ้นสะโหลสะเหล หากยังไม่ทันได้ก้าวเท้าออกเดิน เสียงโวยวายโหยหวนของดาราหนุ่มก็ดังขึ้นไล่หลัง

    “เฮ้ย เข้าใจผิดอะไรหรือเปล่าเจ้าตรี ใครยกหนี้ให้นายไม่ทราบ?”

    ตรีภัทรขมวดคิ้ว นิ่วหน้ามองพี่ชายอย่างหวาดระแวง

    “ก็พี่ไง พี่โทสัญญากับผมเอาไว้แล้วนี่ครับ ว่าถ้าผมยอมไปงานนี้เป็นเพื่อนพี่ พี่จะยกหนี้ให้ผม แถมค่าจ้างให้อีกสองร้อยด้วยไงฮะ?”

    ชายหนุ่มพยายามทบทวนความทรงจำให้อีกฝ่าย และยิ่งหน้าซีดสลดขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเห็นท่าโคลงศีรษะไม่รู้ไม่ชี้ของทวิภพ

    “งั้นเหรอ…ทำไมฉันไม่ยักจำได้เลยล่ะ?”

    นั่น..เอากับพี่เขาสิ…มามุขนี้อีกแล้ว ยันเตเลย โกงกันเห็นๆ!!

    ตรีภัทรถอนใจยาว ลอบมองสบตากับเอกอรินทร์พี่คนโตอย่างเอือมระอา

    “อย่าบอกนะ ว่าพี่คิดจะเบี้ยวผมน่ะ ผมไม่ยอมหรอกนะพี่โท” ตรีภัทรเตือนพี่ชายเสียงเย็น สบตาอีกฝ่ายไม่กะพริบ

    “ใครว่าฉันจะเบี้ยวแก เปล่าซักหน่อย” ดาราหนุ่มรูปหล่อยักไหล่ยิ้มเจ้าเล่ห์ “ฉันแค่จำไม่ได้ว่าเคยสัญญาอะไรอย่างนั้นออกไปตอนไหน…เอาเป็นว่า ในระหว่างที่ฉันยังจำอะไรไม่ได้ แกก็ใช้หนี้ฉันมาก่อนแล้วกัน ไว้จำได้เมื่อไหร่แล้วค่อยว่ากันอีกทีนะ โอเค้?”

    ตกลงเอาเองเสร็จสรรพพี่ชายตัวดีก็วิงตัวปลิวขึ้นบันไดวนไปชั้นสองอย่างเร็วรี่ ไม่สนใจอาการอึ้งๆ ตะลึงงงของน้องชายอีกต่อไป

    ก็หนี้ตั้งหนึ่งหมื่น แบงค์พันสิบใบ แบงค์ร้อยก็ร้อยใบเชียวนะ( แบงค์ยี่สิบขี้เกียจนับ เดี๋ยวจะหาว่าเรางก) มันใช่น้อยๆ เสียเมื่อไหร่ เรื่องอะไรจะยกให้ฟรีๆ

    ไม่มีคำว่า ‘ ฟรี’ ในพจนานุกรมของคนเค็มปี๋อย่างนายทวิภพ…ก็น่าจะรู้กันดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ เหอะๆ อยากโง่เชื่อเอง มันช่วยไม่ได้!!

    ตรีภัทรถอนหายใจเฮือก มือที่ยกค้างเตรียมจะกวักเรียกเจ้าพี่คนรองตัวร้ายลดลงอย่างหมดเรี่ยวแรง ก่อนจะแปะลงมาที่กระเป๋ากางเกง แล้วกระทบของที่ตกค้างอยู่ในนั้นเข้าโดยบังเอิญ

    ชายหนุ่มขมวดคิ้ว ล้วงเอาของในกระเป๋าออกมาดู…กองผ้าเช็ดหน้าขยุกขยุยสีชมพูอ่อนที่ติดมือออกมา ทำให้เขาอดนึกถึงความเอื้ออาทรของหญิงสาวคนนั้นไม่ได้…

    แพรดาว…ผู้หญิงที่สูงส่งประดุจดาวบนท้องฟ้า ถ้าเธอรู้ความจริง ว่าเขาไม่ใช่ คนที่อยู่สูงส่งอย่างเธอ…หากเป็นได้แค่กระต่าย ที่ได้แต่แหงนฟ้ามองดูดาวอยู่บนพื้นดินเท่านั้น…เธอจะยังเอื้ออารีต่อเขาอย่างนี้ไหม?

    “ผ้าเช็ดหน้าใครน่ะ เจ้าตรี ยังกะของผู้หญิงแน่ะ อย่าบอกนะ ว่าแกริอ่านใช้ผ้าเช็ดหน้าลายดอกไม้กับเขาด้วย?”

    เอกอรินทร์ส่งเสียงถาม รับไม่ได้อย่างแรง ที่เห็นเจ้าน้องชายทำท่าจะชื่นชมเจ้าผ้าเช็ดหน้าสีหวานแหววผืนเล็กๆ อันนั้น ราวกับจะหลงไหลนักหนา

    ตรีภัทรหน้าเจื่อนลงไป รีบเก็บผ้าเช็ดหน้ากลับเข้ากระเป๋าเสื้อเชิ้ต เสหัวเราะแห้งๆ

    “ไม่ใช่ของผมหรอกครับ…ของคนรู้จักเขาให้ผมยืมมาเช็ดหน้าน่ะ เดี๋ยวว่าจะซักไปคืนเขาเหมือนกัน”

    “คนรู้จัก…” พี่ชายหรี่ตามองเหมือนจ้องจะจับผิด “คงไม่ใช่แม่พวกสาวใช้ในซอยนี้หรอกนะเจ้าตรี ฉันขอห้ามแกเด็ดขาด ไม่ให้รับไมตรีจากสาวใช้จนๆ นะโว๊ย”

    คนเป็นน้องส่ายหน้าให้กับความคิดของพี่ชายคนโต…แต่ไม่กล้าบอกอีกฝ่ายอยู่ดี ว่าเจ้าของผ้าเช็ดหน้าผืนนี้คือใคร

    ก็เธอคนนี้ คือคนเดียวกับที่ทวิภพหลงไหลละเมอหาเมื่อวานนี่นา…เขาจำได้…ถ้าพี่เอกรู้ว่าเขาได้ผ้าเช็ดหน้าของแพรดาวมา รับรองเลยว่าเรื่องจะต้องเข้าถึงหูของพี่โท และเขาเองก็จะเดือดร้อน

    ตรีภัทรไม่อยากทะเลาะกับพี่ชายด้วยเรื่องผู้หญิง เขาอยากอยู่อย่างสงบ เป็นกระต่ายเจียมตัว ไม่ใช่กระต่ายตะกายดาวน่าเหน็ดเหนื่อยอย่างพวกพี่ๆ

    +++++++++++++++++++

    “เจ้านายคะ คุณมุกมณีโทรมาอีกแล้วค่ะ”

    เสียงใสรายงานเจ้านายหนุ่มหน้าเคร่งเป็นครั้งที่เท่าไหร่ของเช้าวันนี้แล้วก็สุดจะเดา เอกอรินทร์ถึงกับยกมือกุมขมับ รำคาญกับการตามตื๊อของมุกมณี และความพยายามที่จะเข้ามารายงานให้เขาทราบของแม่เลขาสาวหน้าใสเหลือกำลัง

    แต่จะสั่งไม่ให้นารากานต์เข้ามารายงาน มันก็ดูจะแสดงความร้ายกาจของตัวเองที่มีต่อมุกมณีออกมาโจ่งแจ้งเกินไป…เพราะอย่างนี้ เขาจึงจำต้องกล้ำกลืนฝืนทนปั้นหน้ายิ้มเยือกเย็น

    “บอกว่าผมไม่ว่างนะ ยุ่งมาก คงไม่มีเวลาคุยโทรศัพท์กับใครอีกหลายวันเลยเชียวล่ะ”

    นารากานต์นิ่งมองเอกสาร บนโต๊ะทำงานของเจ้านาย เห็นชัดๆ ว่าเพิ่งเคลียร์งานออกไป จะไม่ว่างได้ยังไง?

    “เหรอคะ…เจ้านายมีงานอะไรทำ ถ้าไม่ไหวให้เดียร์ช่วยก็ได้นะคะ “

    “ไม่ต้องหรอก แค่คุณไปช่วยงานขายของที่หน้าร้านให้ด้วย ผมก็ไม่รู้จะขอบคุณยังไงแล้ว…อย่าลำบากเลยนะคุณเดียร์”

    เสียงห้าวทุ้มนุ่มละมุนเอ่ยออกมาอย่างอ่อนโยนจนคนฟังพลอยชะงัก จ้องหน้าเขานิ่งงันไปอึดใจหนึ่ง

    “เดียร์ไม่ลำบากอะไรหรอกค่ะเจ้านาย เจ้านายเป็นคนให้โอกาสเดียร์ได้ทำงาน เดียร์อยากช่วยเจ้านายเท่าที่จะสามารถช่วยได้ อย่าถือเป็นบุญคุณเลยนะคะ”

    เธอยิ้มร่าเริงส่งมาให้ ใบหน้าได้รูปส่วนนั้นสดใสบริสุทธิ์แสดงให้เห็นถึงความจริงใจในคำพูดของตัวเองเป็นอย่างดี

    วูบหนึ่งเอกอรินทร์รู้สึกละอาย…เขาเสียอีกที่รับเธอเข้ามาทำงานเพราะไม่มีทางเลือก ตอนนั้นเขาให้พนักงานเก่าออกหมดเพราะไม่มีเงินจ้าง ต้องรับพนักงานใหม่ค่าจ้างถูกกว่าเข้ามาแทน เด็กเพิ่งจบใหม่อย่างนารากานต์กับคนขายของหน้าร้านอย่างสิริวลี จึงได้ก้าวเข้ามาร่วมงานกับเขา

    นารากานต์เข้าใจว่าเขาให้โอกาสเธอ หารู้ไม่เลย ว่าเขาจ้างเธอเพราะไม่มีทางเลือกที่ดีกว่าต่างหาก…

    เด็กหนอเด็ก ช่างไร้เดียงสาน่ารักเหลือเกิน…

    ชายหนุ่มยิ้มกริ่มก่อนจะยิ้มค้าง กะพริบตาปริบๆ สะดุ้งโหยงทันทีที่รู้สึกตัว นี่เขามองว่านารากานต์ ‘ น่ารัก’ ขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?

    ยุ่งล่ะสิ ไม่ได้เด็ดขาด เขาจะมองสาวน้อยฐานะขัดสนอย่างเธอว่าน่ารักไม่ได้ มันผิดเจตนารมย์อย่างแรง ก็เขาวาดหวังเอาไว้แล้ว ว่าเจ้าสาวของเขา จะต้องร่ำรวยเลิศเลอเพอร์เฟ็คต์ ยิ่งรวยเท่าไหร่ก็ยิ่งน่าสนเพื่อเขาจะได้หลุดพ้นจากความยากจนที่กำลังคุกคามชีวิตอยู่ตอนนี้เสียที ขืนไปรักเด็กกะโปโลอย่างนารากานต์ มีหวังไม่ต้องได้ลืมตาอ้าปากไปทั้งชาติ

    มันหมดสมัยที่รักกันก็ต้องช่วยกันสร้างฐานะแล้ว ในเมื่อยุคนี้เป็นยุค ‘ หัวใครไวหลอกได้หลอกเอา’ เขาก็จะใช้หัวสมองและความหล่อเลิศอลังการงานสร้างของตัวเองนี่ล่ะ เป็นบันไดปีนป่ายขึ้นไปหาดาวดวงใดดวงหนึ่งบนฟากฟ้า …

    แน่นอน ว่าดาวทั้งหลายเหล่านั้น…จะต้องไม่มีดาวบนดินอย่างนารากานต์ปะปนอยู่ด้วยเด็ดขาด!!

    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    ยังมีต่อค่ะ

    แก้ไขเมื่อ 16 ก.ค. 49 08:39:21

    จากคุณ : ลันเตา... - [ 16 ก.ค. 49 08:39:00 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com