CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    บันทึกรักนักดับเพลิง

    บันทึกรักนักดับเพลิง

    ต้นคูนที่เรียงรายเป็นทิวแถวริมรั้ว และสองข้างถนนทางเข้าสำนักงานเทศบาลออกดอกเหลืองอร่ามเป็นพวงย้อยเต็มกิ่งก้าน ลมร้อนพัดดอกนั้นพลิ้วไหวรับแสงตะวันที่กำลังลอยตัวสูงสาดส่องกระทบดูพริ้งพราย

    ข้าพเจ้าขับรถกระบะคู่ชีพเคลื่อนไปอย่างเนิบช้า ผ่านพุ่มพฤกษ์ดอกสีทองแต่ละต้น ไม่อยากให้ถึงที่หมายเร็วไป ด้วยใจอยากจะชมความเหลืองอร่ามของดอกไม้ให้เต็มตาก่อนที่จะเข้าตบเท้ารายงานตัวต่อผู้บังคับบัญชาของวันแรกที่ย้ายมารับตำแหน่งใหม่ตำแหน่งที่ก้าวหน้าขึ้นอีกขั้น
    “ขอต้อนรับหัวหน้าดับเพลิงคนใหม่” ผู้บังคับบัญชากล่าวทิ้งท้ายหลังจากข้าพเจ้าเข้ารายงานตัว
    เมื่อออกจากห้องผู้บังคับบัญชาข้าพเจ้าตรงดิ่งไปที่หน่วยดับเพลิงที่อยู่ด้านหลังอาคารสำนักงาน ไม่นานนักพนักงานดับเพลิงแต่ละคนเข้ามาไหว้ทักทายข้าพเจ้าในฐานะผู้บังคับบัญชาคนใหม่ของพวกเขา
    ………………………….

    ข้าพเจ้านั่งทบทวนและประเมินผลงานย้อนหลังจากหนึ่งปีที่ผ่านมานับแต่ย้ายมาใหม่ หากเป็นหน้าฝนพวกเราจะเบาใจ เพราะเหตุการณ์เกิดน้อยมากอันเนื่องจากสภาพความชื้น แต่ถ้าถึงคราหน้าหนาวและหน้าร้อนเมื่อไหร่ล่ะก็พวกเราจะไม่เป็นอันหลับอันนอน ต้องคอยระแวดระวังรอรับแจ้งเหตุ โดยเฉพาะเวรวิทยุ-โทรศัพท์จะต้องประจำตลอด 24 ชั่วโมง ส่วนข้าพเจ้าไปไหนมาไหนจะไม่ยอมห่างวิทยุมือถือ พร้อม ว.ประสานงานกับเครือข่ายใหญ่ตลอด
    บ่อยครั้งที่ได้รับแจ้งเหตุ พวกเราจะไม่รีรอรีบบึ่งรถดับเพลิงระงับเหตุ หลายต่อหลายครั้งที่ได้รับคำชมเชยจากผู้บังคับบัญชาและชาวบ้านร้านตลาดที่สามารถระงับเหตุไฟไหม้ได้เร็วไวไม่ลุกลามใหญ่โต
    บางครั้งพวกเราเหน็ดเหนื่อยจากการดับไฟ โดยเฉพาะวันนั้นดับไฟที่ลุกลามจากป่ามาตามตอซังข้าวเข้าใกล้บ้านเรือนท่ามกลางแสงแดดอันแผดกล้าของเที่ยงวัน ไม่มีถนนให้รถดับเพลิงเข้าไปฉีดน้ำใกล้ๆ พวกเราต้องหักเอากิ่งไม้ที่มีใบหนาเข้าตบไฟ ทุกคนร้อนระอุจากแสงแดดระคนเปลวไฟ บางครั้งสำลักควัน แต่ถึงแม้ว่าจะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าและหิวกระหายสักเพียงใด พวกเราก็ยืนหยัดปกป้องอัคคีภัยให้ชาวประชา
    ……………………………
    ข้าพเจ้าขับรถกลับจากทำธุระมุ่งหน้าไปตามถนนที่ทอดผ่านชุมชนตัวอำเภอในเวลาอันเย็นย่ำเพื่อกลับหน่วยดับเพลิง พลันสายตาเหลือบไปเห็นกลุ่มควันที่พวยพุ่งสู่ท้องฟ้า เสียงร้องของผู้คนระเบ็งเซ็งแซ่ระคนตกใจฟังไม่ได้ศัพท์
    ข้าพเจ้าจอดรถแล้วเดินไปหากลุ่มคนพวกนั้นเพื่อสอบถาม
    แต่แล้ว...เมื่อข้าพเจ้าแหงนมองตามพวกเขา โอ!!!ให้ตายสิ...หญิงสาวคนนั้นร้องขอความช่วยเหลืออย่างตื่นตระหนกบนอาคารชั้นสามโดยมีเหล็กดัดคล้ายกรงขังนักโทษที่หน้าต่างปิดกั้น เปลวไฟและกลุ่มควันพวยพุ่งแรงขึ้นทุกขณะ
    ข้าพเจ้าไม่รอช้า ว.แจ้งไปยังลูกน้องผู้เข้าเวรประจำหน่วยดับเพลิงที่อยู่ห่างออกไปราวครึ่งกิโลเมตร
    ห้านาทีผ่านไปอย่างเนิบช้า เสียงหวออันโหยหวนของรถดับเพลิงดังแว่วมาแต่ไกล เวลานี้ผู้คนที่เรียกว่าไทยมุงเริ่มแน่นขนัด ข้าพเจ้าเป่านกหวีดให้ผู้คนหลีกทางให้รถผ่าน เมื่อรถดับเพลิงมาถึงข้าพเจ้าให้สัญญาณมือให้รถกระเช้าดับเพลิงเข้าประชิดตัวตึก
    ไม่รอช้าข้าพเจ้ากระโดดขึ้นกระเช้าพร้อมส่งสัญญาณให้รถยกสูงสู่ที่หมายหญิงสาวที่ติดอยู่กับหน้าต่างเหล็กดัดนั้น
    “น้อง...ถอยไป” ข้าพเจ้าร้องสั่งก่อนที่จะใช้ขวานเหล็กใหญ่สำหรับกู้ภัยฟันไปที่ลูกกรงเหล็กสองสามที แต่...ไม่มีทีท่าว่าลูกกรงเหล็กจะหักงอหรือพังทลาย ข้าพเจ้ามองหน้าเธอเวลานี้เม็ดเหงื่อผุดพรายเต็มใบหน้าที่ขาวซีดเผือดด้วยความหวาดกลัว
    พลัน...กลุ่มควันจากเปลวไฟที่ถูกรถดับเพลิงคันอื่นระดมฉีดเข้าไปก็พวยพุ่งขึ้นมาจากชั้นล่าง เธอกำลังสำลักควัน...
    “หมอบลง” ข้าพเจ้าร้องบอกตามหลักวิชาการที่ฝึกอบรมมาว่ากลุ่มควันจะมีความบางเบาลอยตัวหากหมอบแนบพื้นจะพอมีอากาศหายใจ เธอปฏิบัติตามอย่างว่าง่ายก่อนที่ข้าพเจ้าจับเอาหัวฉีดน้ำประจำกระเช้าฉีดเข้าไปในห้องเพื่อไล่กลุ่มควันนั้นเป็นการบรรเทาเบาบาง
    สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นพยาน...ข้าพเจ้านึกในใจก่อนกระหน่ำฟันขวานลงบนเหล็กดัดหลายต่อหลายครั้งอย่างนับไม่ถ้วน เวลานั้นดูเหมือนว่าข้าพเจ้าไม่เหน็ด ไม่เหนื่อย คล้ายกับว่ามีพลังฮึดขึ้นมาอย่างมหัศจรรย์
    นานเท่าไหร่ไม่รู้-รู้เพียงว่าเหล็กดัดนั้นหักสะบั้นและพังทลายลง ข้าพเจ้าร้องเรียกหาเธอ-เธอยืนขึ้นยื่นมือมา ไม่รอช้าข้าพเจ้าคว้าข้อมือเธอดึงขึ้นกระเช้า ท่ามกลางเสียงโห่ร้องและปรบมือของบรรดาไทยมุงอย่างดีใจ และโล่งอก เธอกอดข้าพเจ้าไว้แน่นอย่างหวาดกลัวความสูงระคนดีใจ
    หลังจากกระเช้าลงพื้นเธอวิ่งไปสวมกอดและร่ำไห้กับบรรดาญาติพี่น้องที่ยืนรอจนลืมแม้กระทั่งจะขอบคุณข้าพเจ้า แต่ช่างเถอะข้าพเจ้าไม่ได้น้อยใจหรือตำหนิเธอแม้สักนิด
    ค่ำคืนนั้นรถดับเพลิงเร่งฉีดสกัดกั้นการลุกลามของเปลวไฟ แต่น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟเพราะมันได้ลุกลามไปหลายคูหา ผู้บังคับบัญชาสั่งขอรับการสนับสนุนรถดับเพลิงทั่วทั้งจังหวัดมาระดมฉีด
    เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงเพลิงจึงอยู่ในวงจำกัด คงเหลือเพียงกลุ่มควันและเปลวไฟที่แดงฉานอยู่ไม่มากนัก พวกเราเข้าเคลียพื้นที่โดยการกู้ซากถ่านที่ยังมีแสงไฟเพื่อให้ดับสนิท
    ผู้บังคับบัญชาสั่งกางเต็นท์เป็นศูนย์อำนวยการชั่วคราวเพื่อให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นแก่ผู้ประสบภัยและให้พวกเราเฝ้าระวังดูแลความเรียบร้อย
    ภายในเต็นท์เต็มไปด้วยเหยื่อเพลิงที่ร่ำไห้โหยหวนกับความสูญเสียอันใหญ่หลวงในชีวิต ภาพเบื้องหน้าสิบกว่าคูหาที่มอดไหม้ ยังคงเหลือเพียงต้นเสาที่โด่เด่อย่างทระนง ข้าพเจ้าอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้ากับความล้มเหลวในการฉีดสกัดเพลิงไม่ให้ลุกลามออกไปในครั้งนี้ แม้ว่าหลายต่อหลายคนจะบอกว่ามันเป็นเหตุสุดวิสัยและทำดีที่สุดแล้วก็ตาม
    “ไหน...ไหน...ไอ้หัวหน้าดับเพลิงมันอยู่ไหน ดับกันยังไงวะถึงเอาไม่อยู่จนซิบหายหมดอย่างนี้” เสียงเอะอะของชายวัยกลางเดินปรี่เข้ามาประชิดตัวแล้วปล่อยหมัดกระแทกปากข้าพเจ้าจนเซถลาล้ม ลูกน้องกรูกันเข้าจับตัวเขาไว้
    “ปล่อยเขาเถอะ” ข้าพเจ้าลุกขึ้นบอกพลางยกหลังมือขึ้นเช็ดเลือดที่ไหลจากมุมปาก
    “ส่งตำรวจดีไหมครับหัวหน้า” ลูกน้องยังจับตัวชายคนนั้นไว้แน่น
    “ไม่ต้อง...เขาสูญเสียมากพอแล้ว เป็นผมอาจทำเหมือนเขาก็ได้...ปล่อยเขา” ข้าพเจ้ากระชากเสียง
    ทันทีที่ลูกน้องปล่อยตัวเขา-เขาคุกเข่าลงกอดขาข้าพเจ้าแล้วร่ำไห้เหมือนเด็กๆ ปากพร่ำบ่นถึงความสูญเสียสิ้นเนื้อประดาตัว
    หนึ่งสัปดาห์ผ่านมาขณะที่ข้าพเจ้ากำลังเคร่งเครียดกับกองเอกสาร
    “หัวหน้าครับมีแขกมาขอพบ” ลูกน้องมารายงาน ข้าพเจ้าพยักหน้าให้เข้ามา
    “สวัสดีค่ะ” เธอนั่นเอง ข้าพเจ้าตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูกรีบเชื้อเชิญให้นั่งพลางมองดวงหน้าใสๆ จิ้มลิ้มที่รับกับเส้นผมที่ยาวสลวยนั้นเล่นเอาจังงังเหมือนถูกมนต์สะกดไปชั่วครู่
    “พิมมาขอบคุณที่ช่วยชีวิตวันนั้นค่ะ” เธอส่งยิ้มหวาน
    “ไม่เป็นไรครับ...เป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว” น้ำเสียงข้าพเจ้าประหม่า
    “งั้นเพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณ พิมขอเลี้ยงข้าวเที่ยงคุณหัวหน้าดับเพลิงนะคะ” หัวใจข้าพเจ้าพองโต ดีใจราวถูกหวย
    “เรียกผมยุทธก็ได้ครับ”
    “ค่ะพี่ยุทธ” เสียงหวานใสตอบรับทันควัน
    เธอก้าวขึ้นรถที่ข้าพเจ้าเปิดประตูรอ ที่หมายคือร้านอาหารเรือนแพริมฝั่งน้ำ
    “ขอบคุณพี่ยุทธอีกครั้งนะคะที่ช่วยชีวิตพิม” เธอย้ำขณะทานข้าว
    ข้าพเจ้ายอมรับว่ามีความสุขมาก จากความอ้างว้างไม่เคยมีเพื่อนต่างเพศ บัดนี้เริ่มก่อตัวในใจให้ยอมรับว่านี่หรือคือรักแรก- รักแรกพบ ข้าพเจ้ายอมรับว่าเราคุยกันสนุกถูกคอ
    เธอเล่าให้ฟังหลังจากที่ข้าพเจ้าช่วยเธอลงมา เธอวิ่งไปหาพ่อแม่และดีใจจนลืมขอบคุณข้าพเจ้า โชคยังดีบ้านมีประกันภัยจึงไม่เดือดร้อนนัก เวลานี้เธอกับครอบครัวไปซื้อบ้านจัดสรรหลังใหม่แล้ว
    ก่อนจากกันหลังจากอาหารเที่ยงวันนั้น เธอถือโอกาสบอกลาข้าพเจ้า
    “พิมตัดสินใจไปทำงานบัญชีกับพี่สาวที่โรงงานทางภาคตะวันออกอาทิตย์หน้าค่ะ ”
    “อ้าวเหรอ...โอ..ผมคงคิดถึงพิมน่าดู”
    “คิดถึงก็เขียนจดหมายหรือไม่ก็โทรหาได้นี่คะ”
    “ครับ...” ข้าพเจ้าเสียงอ่อยๆ
    ระหว่างที่เธอรอวันเดินทาง ข้าพเจ้าถือโอกาสแวะเวียนไปหาเธอที่บ้านแทบทุกวัน

    รถทัวร์เคลื่อนออกจากสถานี บขส. ข้าพเจ้าเห็นเพียงมือทีเรียวงามนั้นโบกลาในกระจกรถภาพนั้นค่อยๆ เลือนหายไปจากสายตา... โลกแห่งความเหงาเข้าครอบงำข้าพเจ้าเสียแล้ว
    ไม่ถึงสิบวันจดหมายของเธอก็ส่งมาถึงมือ ข้าพเจ้าดีใจรีบเปิดซองด้วยมือที่สั่นระริก เธอบอกว่าปีหนึ่งกลับมาเยี่ยมบ้านได้เฉพาะในช่วงปีใหม่ เธอส่งรูปมาให้ดูต่างหน้า และเล่าถึงหน้าที่การงานของเธอที่โรงงานนั้น โรงงานอันเป็นธุรกิจของชาวญี่ปุ่น สิ่งสำคัญที่ข้าพเจ้าอดดีใจไม่ได้อีก นั่นคือเบอร์โทรศัพท์ที่เธอให้มา อ่านจบข้าพเจ้าหยิบรูปเธอขึ้นมาจุมพิต
    ข้าพเจ้าไม่รีรอที่จะตอบจดหมายและโทรศัพท์ทางไกลไปหาเธอแม้ว่าค่าโทรจะหลายร้อยบาทก็ตามที จากนั้นมาสัปดาห์ละครั้งที่ข้าพเจ้าโทรไป หลายต่อหลายสัปดาห์ และนานหลายต่อหลายเดือน จนข้าพเจ้ากล้าพูดกับตัวเองว่ารักเธอเข้าเต็มเปาเสียแล้ว

    ในที่สุดวันขึ้นปีใหม่ก็มาถึง ข้าพเจ้ามุ่งหน้าไปหาเธอที่บ้านอย่างไม่ลังเล ความหวังตั้งใจว่าจะชวนเธอไปทานข้าวแล้วหาโอกาสเหมาะๆ บอกรักเธอขอเธอแต่งงาน เพราะข้าพเจ้าตัดสินใจแล้วว่าจะมีครอบครัวกับเขาเสียที
    ข้าพเจ้าชะลอรถช้าๆ หน้าบ้านเธอพร้อมหัวใจเต้นแรงอย่างประหม่า เมื่อรถจอดสนิทไม่ลืมที่จะหยิบเอาดอกไม้ช่อใหญ่ที่ซื้อมาแล้วขยับเสื้อผ้าที่สวมใส่ให้เข้ารูปเพื่อความมั่นใจ
    “สวัสดีค่ะพี่ยุทธ...” เธอออกจากบ้านมาต้อนรับ
    “สวัสดีครับน้องพิม” ผมยื่นดอกไม้ให้ เธอรับเอาพลางกล่าวขอบคุณ สักครู่มีชายตัวสูงขาว หน้าตาตี๋เดินตามเธอออกมา เธอหันไปพูดกับชายคนนั้นด้วยภาษาที่ข้าพเจ้าฟังไม่รู้เรื่อง
    “พี่ยุทธคะนี่คุณยาซากิ คู่หมั้นพิมค่ะ เราจะแต่งงานกันเร็วๆ นี้แล้วไปอยู่ที่ญี่ปุ่น เดี๋ยวการ์ดเชิญตามไปนะคะ”
    ราวฟ้าฟาดลงกลางใจจนหักสะบั้นเหมือนเหล็กดัดในวันที่เพลิงไหม้วันนั้น ข้าพเจ้าตัดสินใจไปจากที่นั่น โดยอ้างว่าลูกน้อง ว. มาแจ้งราชการด่วน น้ำตาของลูกผู้ชายอกสามศอก ชายผู้ได้ชื่อว่าวีรบุรุษไม่เคยไหลออกมาง่ายๆ แต่...ครานี้มันเอ่อซึมที่เบ้าตาได้อย่างไร ก้อนอะไรบางอย่างมากระจุกที่ลำคอ หลังมือถูกยกขึ้นเช็ดที่ดวงตาขณะรถเคลื่อนออกไปอย่างไร้ที่หมาย พลางสมน้ำหน้าตัวเองที่รักเขาข้างเดียว ...



    @@@@@@@@@@@@@@@@

    จากคุณ : ป.ยุทธ - [ 28 ก.ค. 49 10:25:41 A:203.151.24.20 X: ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com