CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    ไม่ได้ตั้งใจ...ให้เหงา 4

    สวัสดีครับ สมาชิกคนเหงาทั้งหลาย
    .......................................................................
    แวะมาทักทายและเอาเรื่องสั้นวันแม่มาให้อ่านกันขอรับ
    คนไหนที่อยู่ต่างจังหวัด และอยู่ไกลแม่ อ่านแล้วอย่าเหงา
    เพราะคิดถึงแม่ล่ะขอรับ ส่วนก้อนดินว่าจะกลับบ้านไปหา
    แม่พรุ่งนี้แล้วขอรับ (แบบว่าคิดถึงน่ะ)
    ความจริงน่ะ ช่วงนี้เครียดเรื่องงานมั๊กมากเลย เลยจะกลับ
    ไปพักใจที่บ้านสักสองสามวันขอรับ ได้เจออากาศดีๆ อาจ
    จะหายเครียดได้บ้าง
    บางทีก็เบื่อๆ งานขอรับ แต่ก็ต้องทำต่อเพราะยังต้อง
    กินข้าวอยู่ เหอะๆๆ คาดว่าสมาชิกหลายๆ คนคงรู้สึกเหมือน
    กันแน่
    เอาเป็นว่ามาอ่านเรื่องสั้นวันแม่กันดีกว่าขอรับ....
    ..........................................................................

    เรื่อง "คุณแม่ยกกำลังสอง...ของหนู"
    โดย  ก้อนดินเดียวดาย


    “รัก วงศ์พระจันทร์”
    เสียงอาจารย์ประจำวิชาคณิตศาสตร์เรียกชื่อของหนูเพื่อเช็คชื่อ  ใช่...เด็กหญิง
    “รัก” คำสั้นๆ นี่แหละคือชื่อของหนู ยายเคยบอกหนูว่าแม่เป็นคนตั้งชื่อนี้ให้หนู
    ซึ่งเป็นชื่อที่ไม่ต้องใช้สมองมากมายนักในการแปลเพราะความหมายมันตรงตัวคือ
    แม่รักหนูนั่นเอง ยายบอกหนูอย่างนั้นนะ แต่แม่ก็อยู่รักหนูได้ไม่นาน เมื่อหนูอายุ
    ได้เพียงสองขวบแม่ก็ถูกรถชนตายขณะกำลังเดินขายพวงมาลัยที่สี่แยกไฟแดง เหลือ
    เพียงยายคนเดียวเท่านั้นที่เลี้ยงหนูมาตั้งแต่นั้น ส่วนพ่อของหนูนะเหรอ...ยาย
    บอกว่าเขาแยกทางกับแม่ไปตั้งแต่แม่ตั้งท้องหนูได้เพียงสองเดือนเท่านั้น จะด้วย
    เหตุผลอะไรนั้นหนูก็ไม่รู้เหมือนกัน และหนูก็ไม่เคยที่จะเซ้าซี้ถามยายเลยแม้แต่
    ครั้งเดียว
    “มาค่ะ”
    หนูขานรับเสียงเรียกชื่อของอาจารย์เพื่อบ่งบอกว่าวันนี้หนูเข้าเรียนวิชาคณิตศาสตร์
    ของอาจารย์ซึ่งเป็นวิชาที่หนูไม่ชอบเอาเสียเลย
    “เมื่อวานไปไหนมาเหรอรัก”
    เสียงของยัยเดือนเพื่อนสนิทของหนูกระซิบถามเบาๆ ขณะที่อาจารย์หันหลังให้พวก
    เราเพื่อเขียนอธิบายโจทย์ที่แสนยากบนกระดานดำ
    “ยายไม่สบายนะ เลยพายายไปหาหมอ”
    หนูกระซิบตอบเบาๆ กลับไป
    “เป็นอะไรเหรอ แล้วหายหรือยัง”
    ยัยเดือนยังไม่เลิกเซ้าซี้ ยังคงกระซิบถามหนูกลับมาอีกตามนิสัยช่างพูดของหล่อน
    หนูไม่อยากตอบคำถามมากนักเพราะกลัวอาจารย์จะได้ยิน แต่ก็ต้องจำใจเพราะ
    อีกฝ่ายยังตั้งตาตั้งตารอฟังคำตอบอย่างออกหน้าออกตา
    “โรคคนแก่นะ”
    หนูตอบอย่างขอไปทีเพื่อให้การสนทนานี้สิ้นสุดเสียที แต่มันไม่ใช่อย่างที่หนูคิดนะซิ
    “รัก ตอบให้เพื่อนฟังหน่อยว่าข้อนี้ควรจะตอบอะไร”
    อาจารย์สาวแสนสวยหันมาถามหนู เหมือนรู้ว่าหนูไม่ได้ตั้งใจฟังที่อาจารย์อธิบาย
    เลย
    หนูใช้ความคิดอยู่นานทีเดียวกับโจทย์ที่ขึ้นหลาอยู่บนกระดาน สำหรับคนอื่นๆ มัน
    คงไม่ยากเท่าไหร่ แต่สำหรับหนูคนที่ไม่ค่อยถนัดเลยเกี่ยวกับตัวเลขนั้นมันยากแสน
    สาหัสทีเดียว
    “ว่าไงรัก ตอบอะไรค่ะ”
    อาจารย์ทวงถามคำตอบจากปากหนูอีกครั้ง หลังที่รอคำตอบจากหนูมาครู่ใหญ่
    ...ห้ายกกำลังสอง + สี่ยกกำลังสอง + หนึ่งยกกำลังสอง เท่ากับเท่าไหร่...
    ตัวเลขโจทย์ยังโชว์หลาอยู่บนกระดาน ท่ามกลางการรอฟังคำตอบจากปากหนูของ
    ทุกคนในห้อง เพื่อนๆบางคนพยายามกระซิบบอกหนูเบาๆ โดยเฉพาะยัยเดือนเพื่อน
    สนิทของหนูที่หนูคิดว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้หนูต้องมายืนใช้สมองอย่างหนักอยู่ตรงนี้
    ยัยเดือนพยายามกระซิบบอกหนูแต่ดูเหมือนเสียงนั้นช่างเบาเสียเหลือเกิน จนเดา
    ไม่ออกว่าคำพูดนั้นคือคำว่าอะไรกันแน่ เอาล่ะ...เป็นไงเป็นกัน หนูต้องตอบ
    แล้วล่ะ
    “สิบสองค่ะ”
    หนูยืดอกตอบคำถามอย่างเสียงดัง แต่เสียงที่ดังกว่าและดังไปทั่วห้องเรียนนั้นกลับ
    เป็นเสียงหัวเราะของเพื่อนๆ ในห้อง หนูรู้ได้ทันทีว่าคำตอบของหนูคงผิดแน่ๆ หัน
    ไปมองทางยัยเดือนเพื่อนตัวแสบ หล่อนรีบรีบหุบปากแทบไม่ทันแล้วทำหน้าอ้อน
    วอนหนูด้วยสายตาที่น่าหมั่นไส้เสียจริง
    .....................................

    “นี่เดือน แกทำไมไม่บอกฉันให้มันดังกว่านั้นอีกฮะ”
    หนูรีบต่อว่าเพื่อนทันที ขณะที่พวกเราพากันมานั่งอยู่ที่ม้านั่งใต้ต้นพิกุลตันใหญ่
    ใกล้สนามฟุตบอลในเวลาพักกลางวัน
    “โธ่ ยัยรักถ้าฉันบอกแกดังกว่านี้ ฉันก็ต้องตะโกนแล้วหล่ะ”
    ยัยเดือนยังมีหน้ามาเล่นลิ้นอีกจนหนูต้องทำหน้ากระเง้ากระงอดใส่ เพื่อนๆ อีก
    สองคนในกลุ่มก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้ จะไม่ให้โกรธได้ยังไงเล่า ก็ในเมื่อโดน
    คนกว่าสี่สิบคนในห้องหัวเราะเอาขนาดนั้น ต่อให้มั่นใจแค่ไหนก็ต้องอายกัน
    บ้างแหละ
    “เถอะน่า...รัก เดี๋ยวพวกนั้นมันก็ลืมกันเองแหละ”
    น้ำหวาน เพื่อนในกลุ่มอีกคนรีบปลอบหนู
    “ใช่ ยิ้มหน่อยนะ เดี๋ยวเด็กหญิงรักคนสวยจะกลายเป็นเด็กหญิงรักคนหน้าบึ้ง
    ไปซะ”
    เสียงของพิมเพื่อนอีกคนที่พูดเอาใจหนู ถึงแม้หนูจะรู้ว่าหน้าตาหนูไม่ได้เป็น
    อย่างที่ยัยพิมพูดก็เถอะ แต่ความน่ารักของเพื่อนๆ ที่ใส่ใจหนูต่างหากที่ทำให้
    หนูค่อยคลายอารมณ์ขุ่นมัวลงได้บ้าง
    “เอ่อ...ยัยรัก วันศุกร์หน้าโรงเรียนจะจัดงานวันแม่นะ เมื่อวานอาจารย์
    ระพินบอกพวกเราชั่วโมงโฮมรูมนะ”ยัยเดือนรีบบอกข่าว เพราะว่าเมื่อวาน
    หนูไม่ได้มาโรงเรียน
    “ใช่ แล้วพวกเราก็ต้องพาแม่มาร่วมงานด้วยนะ”
    ยัยพิมพ์เสริมขึ้นมาอีก ทำให้หนูหน้าชาทีเดียวกับคำบอกเล่านั้น วันแม่กำลัง
    จะเวียนมาถึงอีกแล้วเหรอนี่ ไม่รู้เป็นยังไงหนูไม่รู้สึกตื่นเต้นเหมือนกับเพื่อนๆ
    คนอื่นเลย
    “วันศุกร์หน้าฉันคงไม่มาโรงเรียนนะ”
    หนูบอกด้วยเสียงเศร้าๆ
    “อ้าวทำไมละ”
    น้ำหวานรีบถามสวนกลับมาทันที
    “ก็ฉันไม่มีแม่เหมือนคนอื่นนิ”
    คำตอบของหนูทำให้เพื่อนๆ นิ่งอึ้งไป ให้ตายซิ...หนูไม่ชอบให้ใครมาทำ
    หน้าเหมือนกำลังเวทนาหนูอย่างนี้เลย แม้ความจริงมันจะเป็นอย่างนั้นก็ตามที
    “จริงซิ... แต่แกพายายมาก็ได้นิ”
    ยัยเดือนรีบเสนอความเห็น เพราะคงอยากให้หนูมาร่วมงานในวันนั้นจริงๆ
    “ไม่หล่ะ ยายยิ่งไม่ค่อยสบายอยู่ด้วย คงมาไม่ไหวหรอก”
    หนูให้เหตุผล ที่ทำให้เพื่อนไม่สามารถหาเหตุผลใดๆ มาคะยั้นคะยอหนูได้อีก
    แต่แท้ที่จริงแล้วยายไม่เคยเอ่ยปากว่าอยากเข้าร่วมงานแบบนี้มาก่อนเลย
    ...................................

    หลังจากโรงเรียนเลิกหนูรีบเดินกลับบ้านทันทีซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนมาก
    นัก ทุกเช้าหลังจากทำงานบ้านเรียบร้อยแล้วหนูก็จะรีบเดินมาโรงเรียน  ส่วน
    ตอนเย็นเมื่อเลิกเรียนแล้วหนูก็ต้องรีบกลับบ้านเพื่อช่วยยายร้อยพวงมาลัยดอก
    มะลิซึ่งเป็นอาชีพของครอบครัวเล็กๆ ของเรา
    หนูเดินเข้ามาในซอยเล็กๆ ที่มีผู้คนมาตั้งรกรากอยู่มากจนไม่เหมาะสมกับพื้น
    ที่ที่แสนคับแคบนี้เสียเหลือเกิน บางคนเรียกซอยเล็กๆของบ้านหนูว่าสลัม แต่
    จะเรียกอะไรก็ช่างเถอะ อย่างน้อยที่นี่ก็เป็นที่ซุกหัวนอนของหนูมาตั้งแต่แบ
    เบาะก็แล้วกัน
    หนูเดินเข้ามาประมาณกลางซอยก็ถึงวิมานเล็กๆ ของหนูกับยายซะที หนูค่อยๆ
    เปิดประตูบ้านที่ทำจากไม้หลายๆ ชิ้นมายึดติดกันด้วยตะปู มันไม่ใช่ประตูที่หนา
    แน่นอะไรมากแต่มันก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่พอจะทำให้ที่นี่ถูกเรียกได้ว่า “บ้าน”
    “ยาย...ยายทำไมไม่นอนพักละจ้ะ”
    หนูรีบบอกยาย เมื่อเห็นว่ายายลุกขึ้นมานั่งร้อยมาลัยดอกมะลิอย่างขะมักเขม้น
    เหมือนเช่นเคย
    “ยายไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ ให้นอนเฉยๆ ยายไม่ชินน่ะ”
    ยายให้เหตุผลไปอย่างนั้นแหละ แต่หนูก็พอรู้ว่าแท้จริงแล้วยายเป็นห่วงเรื่องราย
    ได้มากกว่า ก็น่าจะให้ยายเป็นกังวลอยู่หรอก ก็ในเมื่อทุกวันนี้ครอบครัวเราก็
    แทบจะหาไม่พอกินกันอยู่แล้ว บางวันไม่มีคนมาสั่งมาลัยเราก็ไม่มีรายได้ บ้าน
    ป้าพรหน้าปากซอยนั่นแหละคือที่พึ่งของยาย ยายจะเดินออกไปขอยืมเงินป้าพร
    มาซื้อข้าวให้หนูกิน บางครั้งยายก็ไม่ได้กินข้าวด้วยซ้ำแต่นั้นมันก็ตอนที่หนูยัง
    เด็กว่าตอนนี้ เพราะถ้าเป็นตอนนี้หนูจะยอมอดแทนยายเองเพราะหนูรู้ว่ายายอด
    เพื่อหนูได้อิ่มมามากเหลือเกิน คิดแล้วก็อดคิดถึงแม่ไม่ได้ถ้าแม่ยังอยู่พวกเรา
    อาจจะสบายกว่านี้ก็เป็นได้
    “ยายไปนอนเถอะ เดี๋ยวหนูทำต่อเอง”
    หนูรีบพยุงร่างของยายให้ลุกขึ้นแล้วประคองไปนอนที่ฟูกที่ค่อนข้างเก่าซึ่งหนู
    และยายใช้นอนด้วยกันทุกคืน
    “ให้ยายช่วยดีกว่าจะได้เสร็จไวๆ”
    ดูเหมือนยายยังกังวลกับงานที่หนูต้องรับผิดชอบต่อ
    “ไม่เป็นไรจ้ะยาย อีกแค่สิบกว่าพวงเองเดี๋ยวหนูจัดการเอง สบายมากจ้ะ”
    หนูพยายามบอกให้ยายคลายกังวล ด้วยเกรงว่าจะมีผลกับอาการป่วยของยาย
    หลังจากที่ทำกับข้าวกับปลาให้ยายกินแล้ว หนูก็ลงมือสะสางงานที่เหลือต่อทันที
    คืนนี้ดูเหงาๆ อย่างบอกไม่ถูกอาจเป็นเพราะว่าในทุกๆ คืนที่ผ่านมา หนูจะมียาย
    นั่งร้อยมาลัยอยู่ข้างๆ อีกแรงก็เป็นได้ เราจะมีโอกาสได้พูดคุยและหยอกเหย้ากัน
    ก็ในเวลานี้แหละ แต่วันนี้ยายหลับไปตั้งแต่กินข้าวเสร็จได้ไม่นานอาจเป็นเพราะ
    ฤทธิ์ยาที่กินเข้าไปหลังจากกินข้าวก็เป็นได้
    อากาศเริ่มหนาวแล้วซิ หนูหันไปมองเวลาที่นาฬิกาแขวนที่หน้าปัดซึ่งแตกจนไม่
    เหลือพอจะป้องกันอะไรได้...นี่ตีหนึ่งแล้วหรือ...หนูรำพึงเบาๆ ก่อนที่จะ
    ลุกไปยังฟูกที่ยายกำลังหลับใหลอยู่อย่างสบาย หนูค่อยๆดึงผ้าห่มที่ตอนนี้ร่นมาอยู่
    เกือบถึงปลายเท้าของยายให้ขึ้นมาคลุมถึงหน้าอกยายด้วยเกรงว่ายายจะหนาว ยาย
    ยังหลับตาพริ้มอยู่ในภวังค์แห่งความฝัน ยายคงฝันดีเป็นแน่เพราะใบหน้าของยาย
    อมยิ้มนิดๆ อยู่ หนูคิดว่าอย่างนั้น
    ......................................

    เช้าวันพุธของสัปดาห์ต่อมาขณะที่หนูกำลังสวมรองเท้าเตรียมออกจากบ้านเพื่อไป
    โรงเรียน เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น
    “ยาย !”
    หนูตะโกนเสียงหลง เมื่อเห็นร่างของยายกำลังทรุดลงกับพื้นขณะที่กำลังจะเดินไป
    หยิบถาดมาใส่ดอกมะลิซึ่งหนูออกไปซื้อมาจากตลาดตั้งแต่เช้ามืด หนูตกใจจนทำ
    อะไรไม่ถูกแต่ยังพอมีสติที่จะวิ่งออกมาขอความช่วยเหลือจากลุงพงศ์และป้าพรสอง
    ผัวเมียที่แสนใจดีที่สุด ลุงพงศ์อุ้มร่างของยายออกมาที่ปากซอยแล้วเรียกแท็กซี่ให้
    หนูพายายไปโรงพยาบาลใกล้ๆ
    ยายมาถึงมือหมออย่างปลอดภัย หนูคงต้องหยุดเรียนอีกวันหนึ่งเพราะหนูคงไป
    เรียนโดยที่ยายยังนอนอยู่ที่โรงพยาบาลไม่ได้ บอกตรงๆ หนูอดเป็นห่วงยายไม่
    ได้จริงๆ แน่ล่ะ...หนูมีเพียงยายคนเดียวเท่านั้นในชีวิต หนูนึกไม่ออกจริงๆ
    ว่าหนูจะอยู่อย่างไรถ้าไม่มียาย
    “ไปโรงเรียนเถอะรัก ไม่ต้องห่วงยายหรอก”
    ยายยังคงเป็นห่วงเรื่องเรียนของหนูเช่นเคย ยายเองก็รู้ว่าหนูเรียนแย่แค่ไหนแต่
    ยายก็บอกอยู่เสมอว่าให้หนูตั้งใจเรียน เพราะยายอยากให้หนูมีชีวิตที่ดีกว่าทุกวัน
    นี้ แน่นอน...หนูต้องมีชีวิตที่ดีกว่านี้ให้ได้ แต่ไม่ใช่เพราะตัวหนูเองคนเดียว
    เพราะยายด้วยต่างหาก ถ้ามีวันนั้นจริงเราสองจะต้องสบายด้วยกัน
    “ไม่เป็นไรหรอกยาย วันเดียวเอง รักเป็นห่วงยายมากกว่า”
    หนูบอกยายเสียงสั่นเครือ เมื่อเห็นใบหน้ายายที่ซีดเซียวเหมือนไม่มีเลือดหล่อเลี้ยง
    อย่างนั้น
    “ไปเถอะ ยายอยู่กับหมอแล้ว ยังต้องเป็นห่วงอะไรอีก”
    ยายไม่ยอมแพ้ ยังคงยืนยันจะให้หนูไปเรียนให้ได้
    “แต่รัก...”
    หนูพยายามจะหาเหตุผลอื่นมาแสดงเพื่อให้ได้อยู่กับยายที่โรงพยาบาลในวันนี้ให้
    ได้ แต่มันเหมือนมีอะไรมาจุกที่ลำคอจนพูดไม่ออก
    “ยาย...ฮือๆ...”
    หนูได้แต่ร้องไห้โฮออกมา แล้วซบลงที่แขนของยายที่นอนอยู่บนเตียง ยายเอามือ
    มาลูบที่หัวของหนูเบาๆ เพื่อเป็นการปลอบ
    “ร้องทำไมฮึ หลานยาย”
    เสียงยายสั่นเครือ แต่หนูรู้ว่ายายพยายามกลั้นอารมณ์ไว้ และยายก็ทำได้ดีเพราะ
    หนูไม่มีวันได้เห็นน้ำตาของยายแน่ เหมือนกับตลอดเวลาที่ผ่านมาซึ่งยายเข้มแข็ง
    เสมอ
    “ไปล้างหน้าซะ แล้วไปโรงเรียน ตั้งใจเรียน ตอนเย็นจะได้รีบกลับมาหายายไง”
    ยายพูดแล้วพยายามยิ้มเพื่อให้หนูคลายกังวล หนูจำต้องทำตามความต้องการของ
    ยายเพราะไม่อยากให้ยายลำบากใจ แต่หนูรู้ดีว่าถึงหนูจะไปโรงเรียนหนูก็คงไม่มี
    สมาธิในการเรียนเท่าใดนัก
    .....................................

    แก้ไขเมื่อ 28 ก.ค. 49 11:28:48

    แก้ไขเมื่อ 28 ก.ค. 49 11:26:32

    จากคุณ : ก้อนดินเดียวดาย - [ 28 ก.ค. 49 11:21:37 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com