CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    *** Allan Quatermain *** จอมพรานสุดขอบฟ้า*** บทที่ ๑๑ สถิรเดชนคร

    แปลจากเรื่อง  Allan Quatermain  ของ SIR  HENRY  RIDER  HAGGARD

    บทที่ ๑๑
    สถิรเดชนคร

    หนึ่งชั่วโมงหรือนานกว่านั้นที่ข้าพเจ้านั่งรอ (อัมสโลโปกาสใช้ช่วงเวลานั้นนอนหลับไปด้วย) จนกระทั่งในไม่ช้าท้องฟ้าทิศตะวันออกเริ่มเป็นสีเทา       พร้อมกับหมอกหนาทึบเคลื่อนตัวมาปกคลุมผิวน้ำเหมือนกับเงาของอรุณรุ่งที่ถูกลืมไปแสนนาน        พวกมันเป็นไอน้ำที่กลั่นตัวขึ้นมาจากท้องน้ำเพื่อต้อนรับพระอาทิตย์         จากนั้นสีเทาเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ่อนแล้วจึงเป็นสีแดง         ต่อมาเป็นรัศมีของลำแสงโผล่ขึ้นมาทาบท้องฟ้าตะวันออก    และแสงสว่างโชติช่วงของยามเช้าก็สาดส่องมาอย่างรวดเร็ว        ขับไล่หมอกให้จางหายไปแล้วปลุกขุนเขาให้ตื่นขึ้นด้วยสัมผัสจากแสงยามเช้า        ความสว่างปกคลุมพื้นผิวโลกไปทีละน้อย       ชั่วขณะต่อมาประตูทองอันเรืองรองก็เผยตัวออกสุริยะเทพผู้องอาจก็ปรากฏกายออกมาเหมือนเจ้าบ่าวก้าวเท้าออกจากห้องบรรทม        ส่องประกายเรืองรองด้วยรัศมีอันโชติช่วงราวกับว่าเป็นประกายจากใบหอกนับล้าน      เข้าสวมกอดราตรีกาลเอาไว้แล้วครอบคลุมเธอด้วยแสงสว่าง      แล้วกลางวันก็มาเยือน

    แต่ข้าพเจ้ามองไม่เห็นสิ่งใดเลยนอกจากท้องฟ้าสีครามอันสดใสเบื้องบน      เพราะบนผิวน้ำเต็มไปด้วยหมอกอันหนาทึบราวกับว่าพื้นผิวทั้งหมดถูกปกคลุมด้วยคลื่นของสำลี        ทีละน้อยดวงอาทิตย์ก็ดูดซับหมอกไปจนหมดสิ้น      ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าเราลอยอยู่บนผืนน้ำกว้างใหญ่สีครามที่มองไม่เห็นฝั่ง       สักแปดหรือสิบไมล์ทางด้านหลังของเรา       ทอดตัวเหยียดยาวอยู่เท่าที่สายตาจะมองเห็นได้เป็นเทือกเขาสูงชันแสดงตัวเป็นกำแพงของทะเลสาบ       และข้าพเจ้าก็ไม่สงสัยเลยว่ามีทางเข้าที่ไหนสักแห่งที่ภูเขานี้ที่แม่น้ำใต้ดินใช้เป็นทางออกมาสู่ผืนน้ำกว้าง        ที่จริงแล้วข้าพเจ้ามาสืบหาความจริงในภายหลัง      และพบว่ามีร่องรอยบางอย่างที่แสดงถึงความรุนแรงอย่างผิดธรรมดาและทิศทางของกระแสน้ำจากแม่น้ำลึกลับที่ทำให้เรือมาอยู่ที่นี่ตอบคำถามนี้ได้         ต่อมาข้าพเจ้าหรือไม่ก็อัมสโลโปกาสซึ่งตื่นขึ้นมาในตอนนั้นพบร่องรอยอีกอย่างซึ่งไม่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง       เราเห็นอะไรบางอย่างค่อนข้างขาวลอยอยู่บนน้ำ        อัมสโลโปกาสเรียกให้ข้าพเจ้าดูและด้วยการจ้วงพายเพียงไม่กี่ครั้งก็นำเรือไปถึงตรงนั้น       เมื่อไปถึงเราพบว่าเป็นร่างของคนลอยน้ำคว่ำหน้าอยู่        แค่นี้ก็แย่พออยู่แล้วแต่ลองคิดถึงความตกใจของข้าพเจ้าเมื่ออัมสโลโปกาสพลิกร่างเขาให้หงายหน้าขึ้นมาด้วยใบพาย       เราจำเค้าหน้าอันซูบผอมของเขาได้---เป็นใครกันท่านเดาได้ไหม ?     จะเป็นใครถ้าไม่ใช่คนใช้ผู้น่าสงสารของเราที่ถูกดูดจมลงไปในแม่น้ำใต้ดินเมื่อสองวันก่อน      มันทำให้ข้าพเจ้าค่อนข้างตกใจ       ข้าพเจ้าคิดว่าเราได้ทิ้งเขาไว้ข้างหลังตลอดกาล    และดูซิ!    ด้วยกระแสน้ำเขาเดินทางมาอย่างสยดสยองพร้อมกับเรา       มากับเราจนถึงที่นี่       เขาปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับความน่ากลัว       เพราะการเดินทางของเขาต้องสัมผัสเข้ากับแท่งไฟ---แขนข้างหนึ่งไหม้จนเกรียมผมบนหัวถูกเผาไปจนหมด       ใบหน้าของเขาอย่างที่ข้าพเจ้ากล่าวไปแล้วซูบผอมแต่มันยังรักษาสภาพอันน่ากลัวของความสิ้นหวังอย่างที่ข้าพเจ้าเห็นตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ขณะที่คนผู้น่าสงสารถูกดูดจมหายไป        ที่จริงภาพที่เห็นไม่ทำให้ข้าพเจ้าเสียขวัญเลยจากความเหนื่อยล้าและสั่นประสาทตลอดเส้นทางที่ผ่านมา      และข้าพเจ้ายินดีเป็นอย่างมากที่ในทันทีนั้นโดยไม่มีสัญญาณแต่อย่างใดร่างนั้นค่อย ๆ จมลงไปคล้ายกับว่าได้ทำหน้าที่จบแล้ว      เมื่องานสำเร็จแล้วก็ลาจากไป      เหตุผลที่ไม่ต้องสงสัยก็คือเมื่อจับเขาหงายขึ้นอากาศก็หนีออกไปหมด       ร่างนั้นจมลงไปด้วยความลึกที่มองเห็นได้---ฟาทอมแล้วฟาทอมเล่าที่เราเห็นจนสุดท้ายมีแต่ฟองอากาศพลุ่งขึ้นมาเป็นแถวอันยาวเหยียดวิ่งไล่แข่งกันมาสู่ผิวน้ำเป็นร่องรอยเพียงอย่างเดียวที่เหลืออยู่        ในไม่ช้าฟองอากาศก็จางหายไปหมดเป็นอันจบสิ้นวาระสุดท้ายของคนรับใช้ผู้น่าสงสาร       อัมสโลโปกาสมองร่างที่จมหายไปอย่างครุ่นคิด

    “มันจะตามเรามาทำไมกัน ?”   เขาถาม     “นี่เป็นลางร้ายสำหรับเราใช่ไหม  มะคูมะซาน”    แล้วเขาหัวเราะ

    ข้าพเจ้าหันไปดูเขาด้วยความโกรธ      เพราะข้าพเจ้าไม่ชอบคำชี้แนะที่ไม่เป็นมงคล      ถ้าคนที่มีความคิดเช่นนี้      เขาควรจะรู้จักเก็บความคิดไว้กับตัวเอง        ข้าพเจ้าเกลียดเป็นอย่างยิ่งกับคนที่ชอบกล่าวถึงลางที่ไม่ดี       หรือคนที่ฝันว่าเห็นฆาตกรถูกแขวนคอหรือเรื่องน่ากลังอื่น ๆ พยายามจะเล่าให้ใครสักคนฟังขณะกินอาหาร        แม้ว่าเขาจะลุกหนีไปก่อนที่จะเล่าจบ

    ขณะเดียวกันนั้นคนอื่น ๆ ก็ตื่นขึ้นมาและดีใจกันอย่างเหลือเกินเมื่อพบว่าเราหลุดพ้นมาจากแม่น้ำอันน่ากลัวและมาอยู่ใต้ท้องฟ้าสีครามอีกครั้งหนึ่ง         จากนั้นตามมาด้วยการแย่งกันพูดอย่างสับสนและคำแนะนำอย่างมากมายถึงสิ่งที่เราควรจะทำต่อไป        ผลที่สุดแล้วมันก็เป็นอย่างนี้เพราะว่าพวกเราหิวกันอย่างเหลือเกิน        และไม่มีสิ่งใดเหลือให้กินนอกจากเศษเนื้อตากแห้ง       นอกนั้นกลายเป็นอาหารของปูยักษ์ไปจนหมดสิ้น       เราตัดสินใจที่จะหาทางขึ้นฝั่ง       แต่ความยากลำบากอย่างใหม่ก็บังเกิดขึ้น        เราไม่รู้ว่าชายฝั่งอยู่ตรงไหนนอกเสียจากหน้าผาที่แม่น้ำใต้ดินโผล่ออกมา       นอกนั้นไม่เห็นอะไรอีกมีแต่ผืนน้ำกว้างส่องประกายสีน้ำเงิน        แต่ได้สังเกตเห็นว่าพวกนกน้ำบินกันเป็นแถวยาวเหยียดมาจากทางด้านซ้ายของเรา        เราจึงสรุปว่าพวกมันบินมาจากแหล่งอาหารที่ชายฝั่งและบินข้ามทะเลสาบตอนกลางวัน       จึงหันหัวเรือไปทางทิศที่พวกมันบินมาแล้วเริ่มต้นพายเรือไป        ไม่นานนักมีสายลมแรงพัดไปทางทิศที่เรามุ่งหน้าไป       เราจึงทำใบเรือขึ้นจากผ้าห่มและไม้ถ่อ      ซึ่งมันพาเราไปอย่างเบิกบานใจ       เสร็จจากเรื่องนี้เรากินเศษเนื้อที่เหลือแล้วกลั้วคอด้วยน้ำจืดสนิทจากทะเลสาบ       จากนั้นจุดกล้องยาสูบแล้วรอไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

    เมื่อเราแล่นใบมาได้สักหนึ่งชั่วโมง       กัปตันกู๊ดซึ่งใช้กล้องส่องทางไกลตรวจดูที่ขอบฟ้า      กล่าวขึ้นมาในทันทีด้วยความสุขว่าเขาเห็นแผ่นดิน       แล้วชี้มือไปตรงที่น้ำเปลี่ยนสี       เขาคิดว่าเรากำลังเข้าไปใกล้ปากแม่น้ำ      อีกนาทีต่อมาเราเห็นโดมสีทองขนาดใหญ่มากแต่ไม่เหมือนกับโบสถ์เซ็นต์พอลชูยอดขึ้นมาเหนือหมอกในยามเช้า      และขณะที่เรากำลังสงสัยอยู่ว่ามันคืออะไรกัน       กัปตันกู๊ดรายงานเพิ่มเติมมาอีกและสำคัญกว่า       กล่าวคือมีเรือใบขนาดเล็กกำลังมุ่งหน้ามาที่เรา      ข่าวสารเล็กน้อยนี้เราเห็นได้ด้วยตาของเราเองในไม่ช้าทำให้พวกเราตื่นเต้นเป็นอย่างมาก        ชาวพื้นเมืองของทะเลสาบลี้ลับแห่งนี้รู้จักการแล่นเรือด้วยใบแสดงว่าต้องมีความเจริญระดับหนึ่ง        อีกไม่กี่นาทีข้างหน้าผู้ที่มากับเรือทำให้เราเข้าใจได้โดยตลอด       ชั่วครู่ต่อมาเรือกินลมได้อย่างเต็มที่       จึงวิ่งรี่ตรงเข้ามาหาเราอย่างรวดเร็วมาก      อีกสิบนาทีเรือเข้ามาอยู่ในระยะหนึ่งร้อยหลา       เราจึงเห็นว่าเป็นเรือขนาดเล็กที่สร้างอย่างประณีต---ไม่ใช่เรือขุดแบบเรือแคนู       แต่สร้างขึ้นมาเหมือนเรือของชาวยุโรปไม่มากก็น้อยทำด้วยไม้กระดาน       และใช้ใบเดี่ยวขนาดใหญ่มากเมื่อเทียบกับตัวเรือ       แต่ว่าความสนใจของเราในไม่ช้าหันเหจากเรือไปยังลูกเรือ     ซึ่ง เป็นผู้หญิงกับผู้ชายผิวขาวเกือบเท่าพวกเรา

    พวกเรามองหน้ากันเองไปมาด้วยความประหลาดใจคิดว่าต้องเข้าใจผิด     แต่ว่า ไม่ใช่เลยไม่มีอะไรให้สงสัยกับเรื่องนี้        พวกเขาไม่ขาวนักแต่ว่าทั้งสองคนในเรือตัดสินได้ว่าเป็นคนขาวอย่างเด่นชัดเมื่อเปรียบกับคนพื้นเมืองผิวดำ       เป็นคนขาวอย่างเช่นชาวสเปนหรือชาวอิตาลี       เป็นเรื่องจริงที่เห็นได้อย่างชัดแจ้ง        แต่ก็เป็นความจริงว่าความลึกลับที่มีอำนาจเหนือพวกเราทั้งปวงเป็นผู้นำพวกเราให้มาพบกับคนน่าอัศจรรย์พวกนี้          ข้าพเจ้าแทบอยากจะตะโกนด้วยความยินดีเมื่อคิดถึงชื่อเสียงและความน่ามหัศจรรย์ของเรื่องนี้         แต่สิ่งที่เราทำคือจับมือแสดงความยินดีกันไปมาในความสำเร็จอย่างไม่คาดฝันในการค้นหาของเราในแดนเถื่อน        ตลอดชีวิตของข้าพเจ้าได้ยินข่าวลือถึงชนชาติผิวขาวที่อาศัยอยู่ในที่ราบสูงของทวีปอันกว้างใหญ่แห่งนี้       และพยายามพิสูจน์เรื่องนี้มานานแล้ว       ตอนนี้ที่นี่ข้าพเจ้าได้เห็นด้วยตาตัวเองและตะลึงจนพูดไม่ออก       เป็นความจริงอย่างที่เซอร์เฮนรี่พูด       ชาวโรมันโบราณกล่าวได้ถูกต้องเมื่อเขาเขียนว่า   'Ex Africa  semper aliquid novi'      ซึ่งเขาบอกข้าพเจ้ามันแปลว่าอาฟริกาจะมีสิ่งใหม่อยู่เสมอ

    จากคุณ : Sv - [ 28 ก.ค. 49 23:47:16 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com