CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    เส้นทางของคนตรง

    ผมขี่รถเครื่องไปตามถนนสายลูกรังท่ามกลางสายหมอกที่เกาะกลุ่มเป็นทิวขาวบางเบาปกคลุมไปทั่วบริเวณ

    ตะวันโผล่สาดแสงส่องขับไล่สายหมอกนั้น จนจางหายไปทีละนิด..  ทีละน้อย  สองข้างทางบัดนี้เหลือแต่ตอซังข้าว สลับกับดอกหญ้าสีขาว-เหลืองเปล่งประกายแต่งแต้มเป็นสีสัน

    ผมพยายามถนอมรถเครื่องของทางราชการโดยการเลี้ยวหลบหลุมอันขรุขระบนท้องถนน  ตามสภาพถนนที่ถูกน้ำท่วมขัง และกัดเซาะตั้งแต่หน้าฝน  

    แทบทุกๆ ปีที่งบประมาณถูกจัดสรรลงไปซ่อมปรับปรุง  แต่เมื่อถึงคราหน้าฝนปีต่อมาก็เหมือนเดิมอีกเป็นอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ   จนกว่ารัฐบาลมีงบประมาณก้อนโตลงมาสร้างถนนสายนี้เป็นลาดยาง      

    รถยนต์  รถเครื่องที่แซงและสวนทางกันไปมา   จะเป็นครูบ้าง อนามัยตำบลบ้างที่ผมรู้จัก  พวกเขากำลังเดินทางไปทำงาน  ผมและข้าราชการเหล่านี้ที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการพัฒนาท้องถิ่นชนบทตามอำนาจหน้าที่ของตน  แต่จะมีใครบ้างเท่านั้นที่มาด้วยอุดมการณ์ หรือมาด้วยความจำใจอย่างเลือกไม่ได้    

    ผมจอดรถหน้าที่ทำการ อบต. ก่อนเดินเข้าไปที่โต๊ะทำงาน      

    “ปลัด  มาทำงานแต่เช้าเชียวนะครับวันนี้” ภารโรงทักขณะมือถือไม้กวาดพร้อมที่รองรับขยะ      

    “ผมมีงานด่วนจะส่งอำเภอน่ะ” ตอบพลางนั่งลงที่เก้าอี้ก่อนทอดสายตาเหม่อมองทิวเขาที่ตระหง่านเป็นทิวแถวนอกหน้าต่าง      

    ผมอดคิดถึงเพื่อน ๆ  ที่จบด้านรัฐศาสตร์เหมือนกันไม่ได้  พวกเขาทำงานอยู่กับบริษัทเอกชนเงินเดือนหลายหมื่นบาท  อยู่ในวงการไฮโซ  ดูช่างต่างจากผมชนิดหน้ามือกับหลังมือ  

    ผมทำงานในชนบทเงินเดือนไม่กี่พันบาท  
    หลายต่อหลายครั้งที่พวกเขาชวนไปทำงานด้วย แต่ผมปฏิเสธไป  อาจเป็นเพราะว่าหยิ่งในศักดิ์ศรีของตัวเองจึงมองไปว่าการทำงานเช่นนั้นเป็นทาสรับใช้นายทุนและคิดว่าตัวเองเหมาะสำหรับที่อย่างนี้มากกว่า    

    ผมจึงพอใจในความเป็นอยู่  ตลอดจนอุดมการณ์และความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาให้ชาวบ้านได้อยู่ดีกินดี  มีรายได้  ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากสังคม      

    ผมรู้ดีว่าเหตุที่ชาวบ้านยากจนทั้ง ๆ  ที่พวกผมขยันขันแข็ง  ทำไร่  ทำนา  แต่โครงสร้างของสังคม  การกระจายรายได้ที่ยังไม่เป็นธรรม  ตลอดจนราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำต่างหากล่ะ  ที่ทำให้พวกเขายากจนอยู่ทุกวันนี้      

    สองปีที่ผมอยู่ที่นี่ได้เสนองบประมาณให้ชาวบ้านได้พัฒนาในหลาย ๆ  ด้าน  ไม่ว่าจะเป็นด้านกลุ่มอาชีพ  การเกษตรครบวงจรตามพระราชดำรัส  การจัดตั้งกองทุนสหกรณ์ร้านค้าโดยมีเงินปันผลคืนกำไร  การขุดลอกลำห้วย  และก่อสร้างฝายกักเก็บน้ำเพื่อให้หน้าแล้งมีน้ำทำการเกษตร  ส่วนด้านเยาวชนได้ส่งเสริมการใช้เวลาว่างเล่นกีฬาไม่หันเข้าหายาเสพติด  โดยจัดการแข่งขันกีฬาต้านยาเสพติดทุก ๆ  ปี  จนโครงการเหล่านี้ล้วนประสบผลสำเร็จได้รับความนิยมชมชอบจากชาวบ้านในตำบลทั้งสิ้น      

    วันนี้ชาวบ้านได้ลืมตาอ้าปากขึ้นมาก็ด้วยความร่วมแรง  ร่วมใจของพวกเขาเอง  ดูเหมือนว่าชาวบ้านทุกคนจึงมีความผูกพันกับผมและไม่อยากให้ผมย้ายไปไหนอีกแล้ว

    การปฏิบัติหน้าที่ของผมจึงตรงไปตรงมา  เพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาวบ้าน  และบวกกับนิสัยของผมที่ไม่ชอบการเอารัดเอาเปรียบ      

    เดือนที่ผ่านมาผมยังจำได้ดี  วันนั้นมีผู้รับเหมามาของานพร้อมเสนอผลประโยชน์ให้      

    “ ผมขออนุญาตไม่รับนะครับ  เพราะผมไม่เดือดร้อนเรื่องเงิน  ส่วนงานใครเสนอราคาต่ำสุดเราก็เอาคนนั้นแหละครับ  เพื่อประหยัดงบประมาณของทางราชการ  หากเราทราบว่ามีการฮั้วประมูลกันเราก็จะประกาศยกเลิกทันที ”  ผมปฏิเสธไปอย่างนิ่มนวล

    อีกครั้งที่ผู้รับเหมารายหนึ่งขอเบิกเงินค่าจ้างเหมาก่อสร้างถนน  แต่การตรวจรับงานยังไม่ได้ตามแบบ  ผมจึงปฏิเสธที่จะจ่าย  

    “ คุณปลัด…งานขาดนิดขาดหน่อยอนุโลมกันบ้าง  เอางี้ผมให้  5  เปอร์เซ็นต์เลย ”      

    “ เท่าไหร่ผมรับไม่ได้หรอกครับ  เอาเป็นว่าทำงานเพิ่มเติมให้ได้ตามแบบ ผมจะเบิกให้ทันที ”  ผมพยายามประนีประนอม      

    “ ผมไม่เชื่อหรอกว่าปลัดไม่ต้องการเงิน  ทุกคนทำงานก็เพื่อเงินทั้งนั้นแหละ  รับไปเถอะ หรือว่ามันน้อยไป  เอางี้ผมให้เพิ่มเป็น  7  เปอร์เซ็นต์ ”  ผู้รับเหมายังง้อไม่เลิก      

    “ ขอโทษนะครับ  ผมนัดประชุมชาวบ้านไว้  ผมขอตัว ”  ผมเลี่ยงหนี      

    ความจริงแล้วเงินใคร ๆ  ก็อยากได้เหมือนผู้รับเหมาว่า  แต่การได้มาโดยทุจริตอาจทำให้ผมถูกตั้งกรรมการสอบสวนวินัย  และถูกไล่ออกจากราชการได้        

    ครั้งล่าสุด   เรื่องค่อนข้างรุนแรง  เมื่อมีงบประมาณถ่ายโอนลงมาสร้างถนนลาดยาง  10  ล้านบาทผ่านพื้นที่ตำบลที่ผมรับผิดชอบ   ผมถูกแต่งตั้งเป็นกรรมการตรวจการจ้างร่วมกับคณะกรรมการจากจังหวัด  เมื่อผมไปตรวจรับงานจ้างโครงการกลับไม่ได้ตามแบบ  ผู้รับเหมาราดยางผิวถนนน้อยกว่าความเป็นจริงทำให้มองเห็นก้อนหินโผล่ผิวจราจรขรุขระผมจึงไม่เซ็นให้      

    “ท่านปลัดต้องเห็นใจทางเรานะครับ  ผมต้องจ่ายหลายด่านหมดไปไม่น้อย  ถ้าผมทำตามแบบผมขาดทุนแน่  เห็นใจผมด้วย”  ผู้รับเหมาอ้อนวอน

    “ถ้าทำตามที่คุณขอก็เท่ากับว่าผมทุจริตต่อหน้าที่”  ผมพยายามชี้แจง      

    “นี่ไม่ใช่ว่าผมจะให้ปลัดเซ็นให้ฟรี ๆ นะครับ  ผมเคลียอยู่แล้ว  หรือว่าปลัดไม่เชื่อใจผม  ถ้างั้นเอางี้ผมเขียนเช็คเงินสดให้เดี๋ยวนี้เลยก็ได้”  พูดจบผู้รับเหมาดึงเอาสมุดเช็คออกมา      

    “ไม่…คุณเข้าใจผิดไม่ใช่ยังงั้น…  คุณทำงานเพิ่มเติมให้ดูดีกว่านี้ผมก็เซ็นให้   แค่นี้เอง”   ผู้รับเหมากลับไปอย่างหัวเสีย      

    “โครงการนี่เป็นของนักการเมืองระดับประเทศเชียวนา..  เซ็นให้เขาก็สิ้นเรื่อง  อย่าเรื่องมากเลยเดี๋ยวเดือดร้อน”  เจ้าหน้าที่ทางอำเภอแนะนำเมื่อผมนำเรื่องเข้าปรึกษา      

      นายอำเภอเรียกตัวผมเข้าไปพบในวันต่อมา      

    “ปลัด  ผู้รับเหมามาร้องเรียนกับผมว่าคุณเรียกเงินค่าเซ็นตรวจรับงานกับเขาจริงไหม”  นายอำเภอถามเมื่อผมนั่งลงต่อหน้า

    “ไม่จริงครับท่าน  เขาต่างหากที่เสนอให้ผม  แต่ผมไม่รับ”  ผมชี้แจง      

    “ไม่รู้ล่ะนะ  เห็นเขามาร้องเรียนดีที่ไม่มีหลักฐาน  ดีที่เขาบอกว่าไม่เอาเรื่อง  ไม่เช่นนั้นปลัดถูกตั้งกรรมการสอบสวนความผิดวินัยร้ายแรง…  ถึงขั้นออกจากราชการเชียวนะ”  นายอำเภอเว้นระยะก่อนพูดต่อ      
    “โครงการนี้ผมว่าไม่ใช่ธรรมดาๆ แล้ว  ถึงขั้นเจ้านายจากจังหวัดโทรมาให้ผมช่วยดูให้  เอาเป็นว่าผมฝากปลัดอีกทีก็แล้วกัน  อะไรถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงก็ให้ผ่าน ๆ ไปเถอะ”      

    “ครับท่าน ….  แต่นี้มัน..”  ผมพยายามจะอธิบาย  แต่ถูกตัดบท      

    “ผมเข้าใจว่าปลัดหนักใจ  แต่ก็พิจารณาดูก็แล้วกัน  ขอโทษนะ  ผมมีงานต้องทำ”  สิ้นเสียงพูดผมเดินออกจากห้องนายอำเภออย่างสับสน      

    “อย่าตรงมากนักเดี๋ยวชนตอ  นะเว้ย”      

    “เราก็ต้องฟังเจ้านายด้วย”      

    “เรามันผู้น้อยเสียงไม่ดังหรอกเพื่อน  แต่…ยังไง ๆ  ก็ระวังตัวด้วยนะ  พวกเราเป็นห่วง”  เพื่อน ๆ ปลัดเตือนเมื่อพบปะกันในวันประชุมอำเภอ      

         
    หลังเลิกงานผมขี่รถกลับบ้านอย่างไม่รีบเร่ง  ผมหวนคิดถึงเรื่องเมื่อช่วงกลางวัน  ผู้รับเหมามาขอร้องให้เซ็นตรวจรับงานเป็นครั้งที่สองหลังจากเว้นระยะสาม – สี่วัน      

    “ผมต้องขอโทษจริง ๆ  ครับ  ถ้ายังไม่ลงยางเพิ่มผมคงเซ็นตรวจรับให้ไม่ได้ ”  ผมยังแน่วแน่และจริงจัง      

    “ถ้าปลัดไม่เซ็นก็จงระวังตัวไว้ด้วยจะเดือดร้อน   อย่าหาว่าผมไม่เตือนก็แล้วกัน”   ผู้รับเหมาอารมณ์เสีย และข่มขู่ก่อนออกไป      

    ใกล้ถึงสะพาน  ผมเพ่งมองรถเครื่องที่จอดอยู่บริเวณเชิงสะพาน มีวัยรุ่น 4 – 5  คน จับกลุ่มกันอยู่      

    “จอดก่อน…พี่…จอดก่อน”  หนึ่งในกลุ่มโบกมือเรียกผม      

    “มีอะไรให้ช่วยไหมครับ… ”  ผมจอดรถตามที่ถูกโบกแล้วถามออกไป

    “พี่เป็นปลัด..  อบต.นี้ใช่ไหม”  วัยรุ่นคนเดิมถามสีหน้าขึงขัง      

    “ใช่ครับ”  ผมตอบและพยายามมองหน้าอย่างเป็นมิตร      

    สิ้นเสียงตอบหนึ่งในกลุ่มกระโดดถีบผมกระเด็นตกจากรถ  ผมตกใจงัวเงียลุก แต่เท้าของอีกคนหวดที่กลางหลังจนผมเซถลา และแล้วสติของผมต้องดับวูบเมื่อมีของแข็ง ๆ  มากระทบที่ท้ายทอย      
       
    แสงจากหลอดไฟส่องสว่างไปทั่วห้อง  แต่ผมดูช่างเลือนราง  ผมกวาดสายตาไปรอบๆ  พร้อมขยับกาย  แต่รู้สึกปวดระบมตามตัว      

    “หัวหน้าฟื้นแล้ว  โอ๊ะ…อย่าค่ะ  อย่าเพิ่งขยับตัวนะคะ  เสียงใครคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้าง ๆ  เตียงร้องบอก  ผมหันไปตามเสียงนั้น      

    “อ้าว...นงคราญเหรอ” หัวหน้าอยู่ไหนนี่      

    “  หัวหน้าถูกคนทำร้าย  โชคดีที่ครูสุชาติกำลังจะกลับบ้านมาพบเข้า  พวกมันจึงหนีไป  และพาหัวหน้าส่งโรงพยาบาลนี่แหละ…  รู้ไหมคะว่าหัวหน้าสลบไปทั้งคืนเชียว”  นงคราญเล่าเรื่องราวให้ผมฟัง      

    ใครกันที่ทำร้าย  คงมีผู้อยู่เบื้องหลังวัยรุ่นกลุ่มนี้   ผมได้แต่นึกถึงผู้รับเหมารายนั้น

    “แล้วเธอมาตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะนี่”  ผมหันมาทางเธอ      

    “เมื่อคืนนี่ค่ะ”      

    “แสดงว่าเธอเฝ้าหัวหน้าทั้งคืนเลยนะสิ”  เธอพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มอย่างเต็มใจ  ผมอดไม่ได้ที่จะมองเธออย่างขอบคุณ   เธอเอียงอายหลบสายตา        
    นงคราญเธอเป็นลูกน้องที่ผมชื่นชอบคนหนึ่งไม่ว่าจะเป็นอุปนิสัยใจคอ และอีกอย่างที่ผมถูกใจคือใบหน้าใสๆ และผมที่ยาวสลวยของเธอ    จนทำให้ผมแอบมองเธอบ่อยครั้งเมื่ออยู่ที่ทำงาน   หน้าใสๆ  ของเธอทำให้ผมสดชื่นหายเหนื่อยได้เช่นกันในบางครั้ง   ชีวิตหนุ่มโสดอย่างผมหมกมุ่นอยู่กับงานตลอดเวลาจนไม่มีเวลามองสาว ๆ  ที่ไหน  ผมจึงอดที่จะเห็นใจเธอไม่ได้ที่คอยเฝ้าดูแลยามเจ็บป่วยเช่นนี้      
    เสียงเคาะประตูพร้อมเปิด  ผู้ที่ก้าวเข้ามาคือเพื่อน ๆ  ปลัด  4 - 5  คน  

    “เป็นไงบ้างเพื่อน  วันนี้พวกเรามาเยี่ยมพร้อมมีหนังสือราชการด่วนมาให้”  คนหนึ่งพูดขึ้น      

    “ขอบใจ…หนังสืออะไรเหรอ”  ผมถามอย่างสงสัยและอยากรู้      

    “ไม่รู้สิ  อำเภอฝากมาให้ ”  คนเดิมยื่นให้      

    เพื่อน ๆ  กลับไปแล้วผมเปิดอ่านแล้วนอนนิ่ง  ความคิดสับสน  นี่หรือคือ  รางวัลตอบแทนสำหรับการทำงานอย่างตรงไปตรงมา  ผลลัพธ์กลับเป็นเช่นนี้  แม้แต่ชีวิตก็จะเอาไม่รอด  คิดไปคิดมาน้ำตาเอ่ออย่างไม่รู้ตัว  ผมต้องแกล้งหลับก่อนที่นงคราญจะเห็นความอ่อนแออันน่าละอายของลูกผู้ชาย
         
    รถสองแถวโดยสารจอดหน้าที่ทำการ  อบต.  ผมก้าวขึ้นพร้อมกระเป๋าใบใหญ่  ก่อนรถจะเคลื่อนผมโบกมืออำลาชาวบ้านและลูกน้องที่มายืนส่ง  

    ผมทอดสายตาไปที่นงคราญ  เธอโบกมือให้พร้อมรอยยิ้มที่แสนเศร้า  พลันน้ำตาก็พรั่งพรูลงอาบแก้มใสๆ    เธอเดินเข้ามาใกล้จนได้ยินเสียงสะอื้น  เธออ้าปากจะเอ่ยวาจา แต่แล้วรถก็ค่อยๆ เคลื่อนออก เธอเดินกึ่งวิ่งตามมา เส้นผมของเธอพลิ้วไหวตามลม
    “หัวหน้าคะ...กลับมาเยี่ยมพวกเราด้วยนะคะ...”เธอกึ่งตะโกน
    ภาพนั้นค่อยๆ  ห่างออกไป…  ห่างออกไป  จนเลือนหายไปกับฝุ่นลูกรังที่ฟุ้งกระจาย   ผมรู้ตัวว่ากำลังปวดร้าว    นึกถึงหนังสือที่ได้รับ  ใช่… แม้ว่าทางการจะมีคำสั่งย้ายไปจาก  อบต.  แห่งนี้  แต่เชื่อเถอะคำสั่งนั้นไม่สามารถย้ายใจของผมไปจากที่แห่งนี้ได้หรอก … ก้อนอะไรบางอย่างมากระจุกที่ลำคอต้องกลืนน้ำลายพร้อมสกัดกั้นน้ำตาอันหวงแหนของลูกผู้ชายไม่ให้มันไหลออกมา แต่จนแล้วจนรอดมันยังดื้อดึงออกมา

    @@@@@@@@@@@

    จากคุณ : ป.ยุทธ - [ 31 ก.ค. 49 14:30:32 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com