คืนนั้นนลินพยายามเก็บกวาดในบ้านให้สะอาดมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนจะลงมือปูผ้าปูที่นอนผืนใหญ่นุ่มที่ป้านิ่มเอามาให้เมื่อครู่ใหญ่ก่อนหน้า วางหมอนสะอาดลงแทนที่หมอนใบเก่าที่สกปรกกระดำกระด่างก่อนจะล้มตัวลงนอน... พื้นยังแข็งแม้ว่าจะปูด้วยผ้านวม หากกระนั้นหลังของหล่อนก็ชินมาแต่เนิ่นนานจนไม่รู้สึกเดือดร้อน แสงไฟจากเพดานทอส่องเข้าใบหน้า หญิงสาวจึงชันร่างขึ้นจากพื้นแล้วลุกขึ้นไปปิดไฟให้มืดสนิทแล้วกลับมาเอนหลังนอน
หลับเสีย...
บอกตัวเองแล้วปิดตาแน่นสนิทพริ้ม... คิดอย่างที่เขาบอก... บ้านหลังนี้ก็ไม่ต่างไปจากบ้านของหล่อนเอง... ใช่...แค่คิดว่าทุกอย่างเหมือนกับที่บ้าน ก็จะนอนหลับได้อย่างมีความสุขไม่ว่าจะอยู่ในที่ที่ชวนให้ลำบากกายแค่ไหน
คิด...หล่อนคิดเข้าข้างตัวเองอยู่อีกนิด... ว่าตัวเองนอนบนพื้นแข็ง ห้องร้อนอบอากาศไม่ค่อยถ่ายเท หากก็ยังสบายใจเพราะรับรู้ว่าน้องชายมีความสุขดีอยู่กับคนรัก ... ต่างไปจากคนที่นอนบนคฤหาสน์บนฟูกใหญ่หนานุ่มสบาย แต่ใจเป็นทุกข์เพราะไม่เคยปล่อยวาง อากาศถูกปรับจนเย็นเท่าไรแต่เตียงนอนนั้นย่อมร้อนเหมือนกองไฟแผดเผา
ค่ำคืนนั้น หล่อนจึงเข้าสู่ความหลับใหลได้อย่างเป็นสุข...
แสงอาทิตย์ลอดผ่านหน้าต่างบานที่เปิดทิ้งไว้เข้ามาในตอนเช้ากระทบกับเปลือกตาบางขยับยุกยิก ครั้นเมื่อรู้สึกตัวว่าไม่ใช่ที่นอนเดิมที่เคยคุ้น หญิงสาวก็ตื่นเต็มตา ในห้องนั้นสว่างไปด้วยแสงของพระอาทิตย์ ทำให้หล่อนเห็นถุงเสื้อถุงหนึ่งวางอยู่ริมขอบหน้าต่าง เมื่อหยิบมาเปิดดูก็เห็นถุงปาท่องโก๋อีกถุงซ่อนอยู่ด้านในพร้อมกับกระดาษข้อความ
ทานให้หมดอย่าให้คุณภัทรเห็นนะคะ....ป้านิ่ม
ร่างบางขยับเอี้ยวตัว มองซ้ายมองขวาอย่างหวาดระแวงขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ท้องร้องเบาๆ ด้วยความหิวเพราะเห็นอาหารอร่อยวางอยู่ตรงหน้า นาทีต่อมา หล่อนก็ตัดใส่หยิบมันใส่ปากทั้งที่ยังไม่ได้แปรงฟัน ก่อนที่จิรภัทรหรือว่าใครสักคนจะเข้ามาเห็น...
ไม่ใช่เพราะนึกกลัว...หากนลินเกรงว่าถ้า เขา ทราบ จะพาลโมโหไปลงกับพี่เลี้ยงของหยาดรุ้งอีก...
ไม่นานนักปาท่องโก๋สามสี่ชิ้นนั้นก็ลงไปนอนอุ่นอยู่ในกระเพาะอาหารของหญิงสาว ส่วนกระดาษชิ้นนั้นถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วสอดไว้ใต้ผ้านวม...ผุดลุกขึ้นยืนแล้วออกสำรวจหาห้องอาบน้ำที่จะขออาศัยใช้บริการ
ห้องน้ำเล็กและแคบของบ้านหลังนั้นตั้งอยู่ด้านหลัง เปิดประตูออกไปก็จะเห็น...หากคนเปิดนึกอยากเป็นลมเพราะกลิ่นที่ไม่ค่อยน่าพิสมัย ถอยออกห่างแล้วเปิดประตูห้องน้ำทิ้งไว้ให้กลิ่นได้ระบาย แล้วเดินไปหยิบสายยางที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ มาทำความสะอาดโดยเร็ว
เสร็จธุระของตัวเองเรียบร้อยแล้วนลินก็ตกอยู่ในความว่างเพราะไม่มีอะไรให้ทำ เสียงคนรับใช้ในบ้านวิ่งกันไปมาตามเสียงสั่งเรียก หญิงสาวเดินออกมานั่งขัดสมาธิบนแคร่ไม้ที่ตั้งอยู่หน้าบ้าน มองขึ้นไปบนตัวคฤหาสน์หลังใหญ่ ทอดสายตาอยู่เนิ่นนานด้วยความชื่นชมแกมอิจฉา
บ้านสวยงามเช่นนี้ถึงทำงานชั่วชีวิตก็คงไม่มีโอกาสไม่มีวาสนาได้อยู่อาศัย... แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก... ความสุขของหล่อนไม่ได้อยู่ที่บ้านหลังใหญ่โตหรูหรา แต่มันอยู่ที่การได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก... มีสมุดสักเล่มคอยจดความคิด และก็มีคอมพิวเตอร์ไว้เขียนเรื่องที่นึกอยากเขียน
สมุดเล่มนั้นยังคงอยู่ติดตัวมาจนกระทั่งอยู่ที่บ้านหลังนี้ นักเขียนสาวหยิบมันขึ้นมาเปิดอ่านพล็อตเรื่องใหม่คร่าวๆ ของตัวเองด้วยความเป็นสุขใจ...
กลับไปที่บ้านเมื่อไร...จะเริ่มเขียน...
เรื่องของคนธรรมดาหนึ่งคน กับลูกสาวของเศรษฐีที่ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมายนานัปการ... ความรักครั้งนี้จะจบลงอย่างไรหนอ... จะสมหวังหรือเปล่า?...แน่นอนอยู่แล้ว...ก็นลินไม่เคยเขียนเรื่องให้ไม่สมหวังสักครั้งเลยนี่นา...
อ่านกลับไปแล้วหญิงสาวก็นึกขันแกมขื่น... ในนิยายหล่อนจะเขียนให้เรื่องจบลงอย่างไรก็สามารถทำได้ทั้งนั้น แต่ในชีวิตจริง มันช่างต่างกันลิบลับเหมือนสีขาวกับสีดำ
เพราะโลกแห่งความจริงมันโหดร้ายไม่ใช่หรือ... คนเราถึงต้องเขียนความฝันเอาไว้คอยชโลมให้จิตใจแจ่มใส
แสงแดดยามเช้าอบอุ่นนัก...และนลินก็นึกอยากกลับไปสัมผัสความอบอุ่นเดียวกันที่บ้านของตัวเองโดยเร็ว...อยากจะกลับไปอยู่ในที่ที่เป็นของตัวเอง... ไม่ต้องพบเจอคนที่เดินเหินอยู่บนฟากฟ้าอีก...
อีกด้านหนึ่งของคฤหาสน์หลังงามทรงโรมันแสนหรูหรานั้น คนเป็นเจ้าของยืนแอบอยู่ข้างหน้าต่างบานใหญ่ ทอดสายตามองลงมาด้านล่างด้วยความหงุดหงิด
แม่สมองลานั่นเขียนอะไรลงไปในสมุด... ตั้งแต่อยู่ที่คอนโดมิเนียม ทำท่าเหมือนมีความลับปกปิดอยู่กับตัว ยามเมื่อเขาเข้าไปใกล้ก็มีอันต้องรีบเก็บซ่อนสมุดเล่มนั้นไว้ไม่ให้ใครเห็น ครั้นพอคิดว่าไม่มีใคร ก็หยิบมันออกมาเขียนอีก
หล่อนเขียนอะไร...อยากรู้นัก...ทำไมถึงได้ทำท่ามีความสุขเสียจริง...
จิรภัทรนึกด้วยความไม่พอใจ... ยิ่งเห็นใบหน้านั้นแลดูมีความสุขเท่าไหร่ก็ยิ่งนึกโมโห... ครอบครัวหล่อนทำให้บ้านเขาร้อนฉ่าเหมือนกับมีไฟกองใหญ่มาคอยสุม ไอ้น้องชายตัวดีบังอาจลักพาตัวหยาดรุ้งหนี เขาจับพี่สาวมันมาเป็นเครื่องแลกเปลี่ยนหวังจะทรมานให้สำนึกแล้วแต่อีกฝ่ายก็ยังทำท่าเหมือนไม่รู้สึกรู้สม มีความสุขเสียอีก นอกจากจะปากเก่งเหมือนกรรไกรไปอย่างหนึ่งแล้ว...
มันจะไม่สุขสบายเกินไปหน่อยหรือ...แม่สมองลาหัวดื้อ... จนแล้วยังเย่อหยิ่ง
ร่างสูงเดินวนไปมาเหมือนเสือติดจั่นด้วยความงุ่นง่านหนักในอก ยิ่งเวียนไปมองเห็นร่างบางนั่งขัดสมาธิอยู่บนแคร่หน้าบ้านนั้นบ่อยเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกขัดเคืองในใจมากเท่านั้น สุดท้าย จิรภัทรก็เดินตรงไปเปิดประตูออกในอาการกระชาก แล้วกระแทกเท้าปึงปังลงไปชั้นล่างอย่างรวดเร็ว
(มีต่อ)
จากคุณ :
พิณณ์อวี
- [
1 ส.ค. 49 06:56:35
]