CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    เรื่องเล่าในวงเหล้า

    เรื่องเล่าในวงเหล้า
     
    สายลมหนาวพัดหอบเอาความหนาวเหน็บมาเยือนในตอนเย็นหลังเลิกงานวันนี้ ข้าพเจ้าเดินออกมายืนที่หน้าสำนักงานก่อนหันไปทางภารโรงที่กำลังเก็บจอบในสนามหญ้า

    “เลิกงานแล้ว...ไปซื้อเหล้ามาดื่มกันหน่อย เออ..อย่าลืมเอากับแกล้มด้วยล่ะ” ข้าพเจ้ายื่นแบงก์ห้าร้อยให้เมื่อภารโรงวิ่งเข้ามาหา  

    “ลุงมา...ทองพูนดื่มเหล้าด้วยกันนะวันนี้”  ข้าพเจ้าหันไปทางพนักงานประจำรถขยะ

    “ครับปลัด  โอ้วันนี้มีลาภปากอีกแล้ว” ลุงมาพูดพลางยิ้มท่าทางดีใจ  

    เดือนละครั้งสองครั้งที่ข้าพเจ้ามักจะหาโอกาสดื่มหลังเลิกงานเช่นนี้  

    เหล้าพร้อมกับแกล้มถูกยกมาวางที่ม้าหินอ่อนใต้ร่มหางนกยูงหลังสำนักงาน

    ลมหนาวยังพัดหวีดหวิวทุกระยะ  ต้นข้าวที่ออกรวงเหลืองอร่ามตามผืนนาริมรั้วโอนเอนอ่อนไหวไปตามแรงลมรอการเก็บเกี่ยว ชาวนาต่างทยอยกันกลับสู่บ้านเรือนของตนเมื่อความมืดเริ่มคืบคลานกลืนแสงสว่างสู่เวลาย่ำค่ำ    

    “เอ้า...ดื่มลุงดื่มเป็นไงทำงานเหนื่อยไหม” ข้าพเจ้าชี้มือไปที่แก้วเหล้า  แกยกขึ้นดื่มอย่างว่าง่าย  

    “ไม่หรอกครับปลัด.. งานในไร่ในนาหนักกว่านี้เยอะ” ลุงมาตอบหลังถอนแก้วออกจากปาก  

    ทุกคนตักกับแกล้มเข้าปากคนละทีสองทีพร้อมจิบเหล้าไปด้วยทำให้การดื่มวันนี้มีรสชาติยิ่งขึ้น  

    “ปลัดครับ..  ผมขออนุญาตถามเรื่องส่วนตัวนิดหนึ่ง”  

    “ได้สิลุง” ข้าพเจ้าพูดแบบกันเอง  

    “ปลัดไม่มีคุณนายหรือครับผมไม่เห็นมาอยู่ด้วยเลย” ลุงมาถามแบบพาซื่อ  

    “ยังสิครับถามได้ คนขี้เหร่อย่างผมใครจะมาเอา” ข้าพเจ้าพูดพลางหัวเราะก่อนพูดต่อ
    “ถ้ามีผมก็ต้องเอามาอยู่ด้วยสิ” ผมชี้มือไปที่บ้านพักที่อยู่ถัดไป  

    “แล้วลุงล่ะบ้านเกิดเมืองนอนอยู่ที่ไหนหรือว่าเป็นคนที่นี่โดยกำเนิด” ข้าพเจ้าถามเรื่องส่วนตัวแกบ้าง  

    “ผมย้ายมาจากจังหวัด......เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว” แกเอ่ยชื่อจังหวัดหนึ่งของภาคอีสาน  

    “แล้วไปไงมาไงถึงได้มาอยู่ที่นี่ล่ะลุง”ข้าพเจ้าถามเรื่อยเปื่อยแบบไม่ค่อยใสใจนัก  

    “ที่จริงแล้วเรื่องของผมมันยาว” แกหยุดถอนหายใจ  

    “ยาวแค่ไหนก็ไม่เป็นไรนี่ลุงเหล้าตั้งกลมกว่าจะหมด ค่อยๆ เล่าสู่กันฟังก็ได้”ข้าพเจ้าประชดประชันพร้อมทำเป็นคะยั้นคะยออยากฟัง  

    “เอาเป็นว่าผมดื่มถูกคอกับปลัดผมจะเล่าให้ฟังก็แล้วกัน”  

    “อืม...” ข้าพเจ้าพยักหน้า  

    “สมัยเป็นหนุ่มก่อนที่จะแต่งงานกับยายสีแล้วย้ายมาอยู่ที่นี่”ลุงมายกแก้วเหล้าก่อนพูดต่อ
    “ช่วงนั้นผมมักจะไปมาหาสู่กับญาติพี่น้องที่อาศัยอยู่ฟากแม่น้ำโขงฝั่งโน้น เหตุการณ์ครั้งนั้นผมยังจำได้ดีไม่มีวันลืม” ลุงมาทำสีหน้าเคร่งขรึม  

    “เป็นไงลุง”  ข้าพเจ้าถาม

    “วันนั้นผมข้ามฝั่งโขงไปเยี่ยมญาติเช่นครั้งก่อนๆ ช่วงนั้นเหตุการณ์บ้านเมืองเขายังสงบร่มเย็น สัตว์ป่าชุกชุม  ของป่ามากมายหลายอย่าง” แกเว้นระยะ
    “แต่ละวันญาติมักจะพาผมไปล่าสัตว์ ได้เก้ง กวาง มาทำอาหารกินกัน หากเหลือเราก็จะทำเป็นเนื้อแห้งเก็บไว้กินในวันข้างหน้า”  

    “ล่าสัตว์ก็สนุกดีนี่ครับ ทำไมลุงต้องทำหน้าจริงจังขนาดนั้น” ข้าพเจ้าขัดคอเล่นๆ

    “ครับ...ฟังต่อ  ผมอยู่ครั้งนี้นานกว่าทุกครั้งจนลืมว่าตัวเองเป็นคนไทย และแล้ววันหนึ่งทางการมาเกณฑ์คนไปเป็นทหารผมก็โดนเกณฑ์ไปด้วย ผมไม่กล้าบอกว่าเป็นคนไทยกลัวโดนข้อหาหลบหนีเข้าเมือง และอีกอย่างในสมัยนั้นประเทศเขาก็ไม่มีใครมีบัตรประชาชนกัน  ผมจึงเลยตามเลยจนถูกฝึกเป็นทหารอยู่ประจำกองร้อยอารักขาท่านเจ้าแขวง”  

    “น่าสนุกนะครับทหารประเทศนั้น…” ข้าพเจ้าเริ่มสนุกไปกับการเล่าเรื่องของแก  

    “แรกๆ ไม่ค่อยสนุกนักหรอก แต่บังเอิญวันนั้นทหารที่เป็นหัวหน้าสั่งให้ผมนำหนังสือไปเสนอท่านเจ้าแขวงที่จวน พอผมย่างก้าวเข้ารั้วเท่านั้นหมาที่แกเลี้ยงไว้สี่-ห้าตัวก็โดดรุมกัดผมแบบไม่ให้ตั้งตัว กว่าจะมีคนมาไล่ออก ผมต้องลงไปนอนคลุกฝุ่นน่วมทั้งตัว แต่แปลกที่ว่าผมไม่มีแผลเลยสักแห่งทั้งๆ ที่โดนรุดกัดขนาดนั้น ท่านเจ้าแขวงรู้เข้าเลยทึ่งเอาผมไปเป็นทหารรับใช้ที่จวนของแกพร้อมเลื่อนยศให้ผมเป็นนายสิบ” ลุงมาหยุดพูดยกแก้วจิบ  

    “ทำไมหมากัดลุงไม่เข้าล่ะ มีของดีอะไรเหรอ” ข้าพเจ้าสงสัย  

    “อาจเป็นเพราะผมห้อยหลวงพ่อที่คอตอนนั้นก็ได้ แต่เดี๋ยวนี้ไม่รู้ว่าหายไปไหนแล้ว”  
     
    เสียงลมหนาวยังพัดดังหวีดหวิวทุกระยะ แต่ความหนาวคลายลงบ้างแล้ว  อาจเป็นเพราะแอลกอฮอล์ที่พวกเราดื่มเข้าไปออกฤทธิ์แล้วก็เป็นได้  

    “เล่าต่อครับลุง  กำลังสนุก” ข้าพเจ้าเร่ง  
    “เหตุการณ์บ้านเมืองสงบได้ไม่นานก็ต้องมีอันเปลี่ยนแปลง ช่วงนั้นรัฐบาลมีการเปลี่ยนรูปแบบการปกครองใหม่มีทหารจากประเทศทางตะวันออกมาเสริมกำลังขับไล่เข่นฆ่าและจับชาวบ้านไปสัมมนาความจริงก็คือกักขังนะแหละ” ลุงมาถอนหายใจ
    “บ้านเมืองพวกเขาเกิดระส่ำระสาย เจ้าแขวงถูกเรียกตัวเข้าเมืองหลวงแล้วหายตัวไป ชาวบ้านหลายครอบครัวอพยพหนีเข้าไทยกันจ้าละหวั่น” ลุงมาเว้นระยะ  

      “ผมกับทหารกลุ่มหนึ่งคิดจะปักหลักสู้  แต่ปืนใหญ่ยิงถล่มค่ายเราทุกระยะ พวกเรามีแต่ปืนเล็กเท่านั้นจึงไม่มีโอกาสต่อสู้กันจะจะ  และแล้ว...ใกล้รุ่งของวันนั้นเองค่ายเราถูกยิงถล่มหนัก  รถถังข้าศึกหลายคันบุกยิงทำลายค่ายเรายับเยินทุกคนหนีเอาตัวรอด  ผมกระโดดข้ามรั้วค่ายวิ่งหนีเหมือนกัน”  ลุงมาหยุดยกแก้วขึ้นดื่มก่อนเล่าต่อ  

    “ผมวิ่งไปตามถนนในตัวเมืองที่มีสภาพไม่ต่างจากหมู่บ้านในเมืองเราเท่าใดนัก  หมายมุ่งหน้ากลับบ้านเกิด  ลูกปืนใหญ่ตกแต่ละครั้งดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่ว  ผมวิ่งมาถึงบ้านหลังหนึ่งที่มีสภาพเป็นตึกเจ้าของบ้านมีพ่อ  แม่  ลูกสาว  และหลานชายตัวเล็กอีกคนพากันวิ่งออกมาจากบ้านพร้อมห่อสัมภาระ  พวกเขาเห็นผมรู้ว่าเป็นทหารเลยว่าจ้างให้ช่วยพาหนีเข้าไทยโดยจะให้ทองจำนวนหนึ่งเป็นรางวัล  ผมตอบตกลงให้พวกเขาตามมา  ตอนนั้นผมไม่ได้คิดหรอกว่าจะยุ่งยากลำบากในภายหน้า   คิดแต่เพียงว่าอยากได้ทองเป็นทุนตั้งตัวเมื่อถึงเมืองไทยเท่านั้น  ผู้เป็นพ่อขอให้ช่วยอุ้มหลานชายของแก  เพราะตามลำพังตัวแกกับเมียก็เดินลำบากอยู่แล้วส่วนลูกสาวร่างบอบบางเกินไป  ผมเอาหลานแกเกาะด้านหลังแล้วเอาผ้าขาวม้ารัดเอาไว้อีกทีหนึ่ง” แกหยุดคิดชั่วครู่  

    “ผมดูก็รู้ว่าครอบครัวนี้มีเชื้อสายจีนอาชีพค้าขายฐานะดี    เวลานั้นชาวบ้านวิ่งหนีกันขวักไขว่เต็มไปหมด  รถจิ๊บติดปืนกลหลายคันแล่นตรวจการณ์ไปมาตามถนนพร้อมเสียงปืนกลดังรัวเป็นระยะ ๆ  ผมพาพวกเขาวิ่งหลบไปทางสวนหลังบ้าน”  

    “ลูกสาวแกสวยไหมลุง”  ข้าพเจ้าขัดขึ้นด้วยความอยากรู้ตามประสาหนุ่มๆ  แกพยักหน้าเนิบ ๆ  แล้วทำหน้าเศร้าขึ้นยิ่งทำให้ข้าพเจ้าสงสัยและคาดเดาเหตุการณ์ต่าง ๆ  นา ๆ  

    “ผมขอเสื้อผ้าจากพ่อเธอใส่แทนชุดทหารเพื่อไม่ให้เป็นเป้าสายตา  การหนีของเราช้ามากเพราะผู้เป็นพ่อกับแม่ไม่เคยลำบากเมื่อเจอเหตุการณ์อย่างนี้แล้วได้แต่บ่นว่าเหนื่อยไปไม่ไหว  และในที่สุดสองผัวก็ชุบซิบกันก่อนที่บอกให้ผมพาลูกสาวกับหลานชายแกหนีล่วงหน้าไปก่อน  แต่ลูกสาวแกไม่ยอมท่าเดียวได้แต่ร้องไห้กอดพ่อ  กับแม่ไว้แน่น  ผมส่ายหน้าเห็นใจแต่ช่วยอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้เพราะแม้แต่ตัวเองยังจะเอาไม่รอด  เรานั่งพักครู่ใหญ่ ๆมีชาวบ้านมาสมทบอีกสาม-สี่คนผมสังเกตเห็นแต่ละคนมีห่อผ้าสัมภาระแต่เมื่อผมมองห่อผ้าพวกเขา  เขาจะกอดไว้แน่นราวกับว่ากลัวผมจะแย่งเอา  ผมคิดว่าต้องเป็นห่อทรัพย์สินเงินทองแน่ ๆ”  ลุงมายกเหล้าขึ้นจิบก่อนเล่าต่อ  

    “  พวกเราเดินทางต่อเสียงลูกปืนใหญ่ตกดังเป็นระยะ ๆ  และแล้วเสียงปืนกลก็ดังขึ้นเป็นชุด ๆ  ผมมองเห็นทหารข้าศึกวิ่งเข้ามาด้วยสัญชาตญาณผมดึงเอาแขนลูกสาวแกกระโดดหลบลงท่องร่องแล้ววิ่งหนี  เด็กที่อยู่บนหลังกอดคอผมไว้แน่น  เธอร้องเรียกหาพ่อแม่ตลอดเวลาพอผมโผล่หน้าขึ้นแอบดูเห็นพ่อแม่ของเธอกลับกลุ่มชาวบ้านนอนจมกองเลือด  เธอร้องไห้ผมเอามือปิดปากไว้พลางส่ายหน้าว่าพวกมันจะได้ยินเดี๋ยวหนีไม่รอดพวกเขาไปดีแล้วหมดทุกข์แล้ว  โชคดีที่พวกมันสนใจอยู่ที่ห่อผ้าสัมภาระผู้ตาย”  ลุงมาพักดื่มเหล้าเหมือนกระหาย

    จากคุณ : ป.ยุทธ - [ 2 ส.ค. 49 08:11:11 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com