CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    โรคบ้า

    เอางานเก่ามาให้อ่านครับ
    ***************************




    โรคบ้า




    เปลวเทียนพลิ้วไหวตามสายลมที่แทรกผ่านผนังไม้กระดานเข้ามาภายในห้อง ใบหน้าของนึกคล้ายกับถูกลามเลียด้วยเปลวสีทองของเปลวไฟ ดวงตาของนึกจ้องอยู่ที่เปลวเทียนพลิ้วไหวแน่นิ่งราวกำลังเพ่งกสิณ

    นึกต้องการให้เปลวเทียนสงบนิ่งด้วยอำนาจแห่งดวงตาของเขาให้จงได้ หลวงพ่อที่วัดบอกเขาเมื่อบ่ายวันนี้เองว่าไม่เพียงแต่นักบวชเท่านั้นที่สามารถเพ่งกสิณหรือทำสมาธิ แม้แต่คนธรรมดาสามัญก็ทำได้ มันอยู่ที่ว่าจะสามารถฝึกฝนและทำจิตให้ว่างได้หรือเปล่าเท่านั้นเอง

    “เข้าท่าดีนะครับหลวงพ่อ” นึกพูดกับหลวงพ่อ เมื่อหลวงพ่อชี้ทางสว่างให้ “ทีนี้ผมจะได้ไม่ฟุ้งซ่านอีกต่อไปแล้ว ผมต้องขอบคุณหลวงพ่ออย่างมากเลยครับ” นึกขอบพระคุณหลวงพ่อเสียยกใหญ่

    “ไม่ต้องขอบบุญขอบคุณอะไรหรอกโยมนึก” หลวงพ่อพูด

    แต่ไม่วายที่นึกจะกล่าวขอบพระคุณหลวงพ่ออีกหลายคำ ก่อนที่จะเดินไปที่ร้านค้าของหมู่บ้านซื้อเทียนไขมาเตรียมไว้สำหรับการเพ่งกสิณ  เมื่อกลับถึงบ้าน ตาคำผู้เป็นพ่อเห็นถึงกับงงๆในการกระทำของลูกชาย

    “เอ็งจะทำอะไรของเอ็งวะไอ้นึก ตั้งแต่กลับมาอยู่บ้านนี่ แกชักเพี้ยนใหญ่แล้ว” ผู้เป็นพ่อพูด

    แต่นึกไม่สนใจในสิ่งที่ตาคำผู้เป็นพ่อพูด จนกระทั่งหลังจากทานข้าวเมื้อเย็นเสร็จแล้วนั่นแหล่ะ นึกจึงหลบมาเก็บตัวอยู่คนเดียว แล้วก็เริ่มการเพ่งกสิณอย่างที่เขากำลังทำอยู่ในขณะนี้ แต่จิตใจของนึกยังไม่สามารถสงบนิ่งได้ แม้จะพยายามเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล เพราะจิตใจของนึกยังคงฟุ้งซ่านเหมือนกับน้ำในอ่างที่กำลังกระเพื่อมอยู่

    นึกไม่ได้คาดหวังจะสำเร็จมรรคผลอะไรเลย เขาเพียงแต่ต้องการให้จิตใจของเขาไม่ฟุ้งซ่านก็เพียงพอแล้ว ในเวลานี้ มีแต่วิธีนี้เท่านั้นที่เป็นความหวังของเขา นึกหวังว่าจะหยุดชะงักความฟุ้งซ่านภายในจิตใจอย่างหายขาด

    แต่ดูเหมือนว่าการเพ่งเปลวไฟของเขา กลับยิ่งทำให้อาการฟุ้งซ่านมันวนเวียนอยู่ในเปลวไฟเหนือแท่งเทียนเบื้องหน้านั้นด้วย หลายเดือนแล้วที่นึกหนีจากกรุงเทพฯกลับสู่หมู่บ้านเพื่อเยี่ยวยารักษาใจ แต่โรคร้ายที่กำลังเกิดกับเขาก็ยังไม่หาย ใช่สิเขาควรจะเรียกมันว่าโรคร้ายจึงถูก แต่เขาก็ไม่ชอบในสิ่งที่ชาวบ้านบางคนแอบซุบซิบนินทาว่าเขาบ้า เพราะนั่นมันเป็นการทำร้ายจิตใจของเขาจนเกินไป เขาเพียงแต่ฟุ้งซ่าน ไม่ชาบ้า! อย่างที่ใครบางคนคิด

    นึกสาบานได้ว่า ใครที่อยู่ในสถานการณ์อย่างเขานั้น หากทำใจได้นับว่าเป็นยอดคนแล้ว คิดดูเถอะ เขามาจากเด็กชนบท พ่อแม่เป็นชาวนา เป็นกระดูกสันหลังของชาติที่คนในชนชั้นสังคมเมืองเหยียบอยู่บนหลังจนปวแปลบทรมานเสมอมา แต่ด้วยความอุตสาหะ พ่อได้ส่งเสียให้เล่าเรียนจนถึงระดับมหาวิทยาลัย เพียงแต่แม่โชคร้าย แม่เสียชีวิตลงตั้งแต่เขายังเด็ก จึงไม่อาจเห็นความสำเร็จของเด็กชนบทอย่างเขาที่สามารถเรียนจบมหาวิทยาลัยชื่อดังขอประเทศ และได้ระดับเกียรตินิยมเสียด้วย ใน๘ที่ศึกษาอยู่ นึกเป็นนักกิจกรรมตัวยง เขาจึงโดดเด่นกว่าใครๆในคณะนิเทศศาสตร์รุ่นเดียวกัน ความเป็นนักสื่อสารมวลชนฉายแววมาตั้งแต่เขาอยู่มหาวิทยาลัย เขาเขียนบทความวิจารณ์นโยบายรัฐบาลที่บริหารประเทศอย่างเฉื่อยชา และมีการทุจริตอย่างดุเดือดในความรู้สึกของเขา แม้ว่าบทความของเขาจะถูกหนังสือพิมพ์และนิตยสารเกี่ยวกับการเมืองตัดทอนบางส่วนของข้อเขียนก็ตาม ชื่อของเขาเป็นที่รู้จักในสังคมตั้งแต่เรียนอยู่มหาวิทยาลัย

    จนกระทั่งเรียนจบจึงเขาทำงานข่าวเป็นนักข่าวของสถานีโทรทัศน์ซึ่งขณะที่เขาสมัครเข้าทำงาน เขาได้เปรียบผู้สมัครคนอื่นๆอยู่มาก แทบจะเรียกได้ว่า เขาถูกอ้าแขนรับตั้งแต่สมัยเรียนอยู่มหาวิทยาลัยเสียด้วยซ้ำไป เมื่อเข้าทำงาน เขาก็ทำหน้าที่ของสื่อมวลชนได้อย่างตรงไปตรงมา แม้แต่อิทธิพลใดๆ เขาก็ไม่เกรงกลัว

    แต่แล้วสื่อที่เขาทำงานอยู่ก็ถูกแทรกแซงโดยนักการเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อมีนักการเมืองที่มีเงินอย่างมหาศาลเข้ามาเทคโอเวอร์ และเขาก็ถูกวางกรอบในการนำเสนอข่าว โดยเฉพาะข่าวเกี่ยวกับนักการเมืองผู้ถือหุ้นใหญ่จะถูกแทรกแซงมากที่สุด จนกระทั่งเขาและเพื่อนร่วมงานกลุ่มใหญ่ทนไม่ได้ จึงพากันประท้วงและเรียกร้องสิทธิเสรีของสื่อคืนกลับมา แต่แล้วผลตอบแทนก็คือถูกให้ออกแบบยกโขยง แม้ว่าเขาจะเป็นนักข่าวรุ่นน้องไฟแรงที่ไม่มีบทบาทอะไรนัก แต่ผลพวงที่เกิดขึ้นก็ตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน ความเจ็บปวดในจิตใจของนึกจึงมีอยู่มากมายท่วมท้น เพราะเขาทำหน้าที่สื่อที่ดีที่สุดแล้ว แต่ได้รับผลเช่นนี้ มิหนำซ้ำแฟนสาวที่คบกันมาตั้งแต่เรียนอยู่มหาวิทยาลัยก็มาตัดสัมพันธ์อย่างไร้สิ้นเยื่อใย เพราะทนไม่ได้กับอุดมการณ์ของเขา ซึ่งเธอมองว่ามันเป็นความโง่เขลาอย่างมากที่ไปต่อต้านนายทุนใหญ่ที่เป็นเสมือนผู้นำนาวาของเขาเอง แม้ว่าเขาจะอ้างถึงความชอบธรรม ความยุติธรรมในการเสนอข่าวที่ถูกบิดเบือนก็ดูเหมือนเธอจะไม่เข้าใจและไม่ฟังใดๆเลย

    “หากนึกกินอุดมการณ์ได้ นึกก็กินไปคนเดียวเถอะ นุ่นไม่สามารถกินอุดมการณ์อย่างนึกได้หรอก” นั่นคือคำพูดสุดท้ายของแฟนสาว นึกพยายามอธิบายอย่างไรต่อไปก็ไม่เป็นผล

    เมื่อกลับถึงห้องพักขณะนั่งดูข่าว นึกเกิดความหมั่นไส้และคลั่งแค้นละคนกัน เขาทุบโทรทัศน์จนแตกกระจายอย่างไม่รู้ตัว ดีที่ไฟฟ้าไม่ช๊อตเขาตายในขณะนั้น

    ในที่สุดนึกตัดสินใจกลับบ้าน เขาหวังว่าอาการฟุ้ง่านของเขาจะหายขาด แต่ดูเหมือนว่า มันยังตามารังควานอย่างไม่ยอมเลิกรา

    ……………………………………………..

    เปลวเทียนเบื้องหน้ายังพลิ้วไหวอยู่ และดูเหมือนว่ามันจะพลิ้วไหวมากกว่าความเป็นจริงเสียอีก วิธีการนี้ไม่ได้ช่วยให้นึกรู้สึกดีขึ้นเลย มิหนำซ้ำยิ่งทำให้เขาฟุ้งซ่านหนักขึ้นกว่าเดิม
    ในที่สุดนึกขยับตัวลุกขึ้น แล้วเดินไปเปิดไฟจนสว่างโชน จานั้นเป่าเทียนให้ดับ ก่อนระบายลมหายใจออกมายาวๆ เขาอยากจะบ้าตายเสียจริงๆ

    ความจริงนึกไม่ได้เคร่งเครียดอะไรมากมายนักกับการตกงาน แต่ที่ทำให้เขาทนไม่ได้ก็คือการที่นักการเมืองหรือผู้มีอิทธิพลมาควบคุมสื่ออันเป็นเหมือนฐานันดรที่สี่ของนั่นต่างหาก เขารู้ว่าสื่อวิทยุ สื่อหนังสื่อพิมพ์ หรือแม้แต่สื่อโทรทัศน์ก็ถูกครอบงำไม่น้อย เขาไม่ได้มองโลกในแง่ร้ายเกินไปหรอก ซึ่งในความเป็นจริงยังมีสื่อเป็นจำนวนมากที่เสนอข่าวอย่างเที่ยงธรรมและเป็ยกลางอย่างแท้จริง เพียงแต่ทนไม่ได้กับบางสื่อที่ถูกครอบงำและเป็นสื่อที่เขาได้เข้าไปทำหน้าที่เสนอข่าวนั้นด้วย

    “เราฟุ้งซ่นเกินไปหรือเปล่านี่” นึกบ่นงึมงำอยู่คนเดียวเหมือนคนที่หาทางออกไม่เจอ “แต่เราไม่ได้บ้า” นึกพึมพำขึ้นอีก แล้วหัวเราะในลำคอเบาๆ

    จากนั้นนึกเดินไปที่โต๊ะเขียนหนังสือ หยิบกระปุกยาขึ้นมาเปิดฝา เทยาเม็ดจำนวนหนึ่งลงบนฝ่ามือ หยิบขวดน้ำที่ตั้งอยู่ใกล้กันขึ้นมา ก่อนจะเปิดฝาขวดน้ำแล้วกรอกยาที่อยู่นบฝ่ามือใส่ปากจากนั้นดื่มน้ำตาม

    “ก๊อก! ก๊อก!”
    เสียงเคาะประตูดังแว่วมา

    “ยังไม่นอนอีกเหรอนึก” เสียงผู้เป็นพ่อนั่นเอง

    “นอนแล้วครับพ่อ เดี๋ยวนอนแล้ว” นึกตะโกนตอบผู้เป็นพ่อไปด้วยความไม่สบอารมณ์นัก ก่อนจะเดินไปปิดไฟแล้วทิ้งตัวลงบนที่นอน

    นึกไม่สามารถหลับจะข่มตาให้หลับลงได้ มันเป็นเหมือนกับหลายๆคืนที่ผ่านมานั่นแหล่ะ ยาที่เขากรอกลงไปมันไม่ได้ช่วยอะไรมากหรอก แต่ก็ไม่มีทางออกทางอื่นที่ดีกว่านี้ นึกนอนพลิกไปพลิกมาหลายตลบอย่างอึดอัดน่ารำคาญ

    ………………………………………………

    “นึกโว้ย! ตื่นๆ ตื่นได้แล้ว” เสียงตาคำผู้เป็นพ่อตะโกนมาจากนอกห้อง

    นึกสะดุ้งจนสุดตัว เมื่อลืมตาขึ้นดูก็พบว่าสายโด่งแล้ว เขาไม่รู้ตัวว่าเมื่อคืนนี้เขาหลับไปตอนไหน ครั้นเหลือบตาดูนาฬิกาที่หัวเตียงก็พบว่าเป็นเวลา ๑๐.๐๐ นาฬิกาเศษแล้ว รีบขยับตัวลุกขึ้น
    “เร็วๆ ลุกไปดูชาวบ้านเขาประท้วงกัน” ผู้เป็นพ่อตะโกนมาอีก

    “ประท้วงเรื่องอะไรครับพ่อ” นึกผู้เป็นพ่อด้วยความรู้สึกตื่นเต้นและประหลาดใจ

    รีบเปิดประตูห้องออกมา ก็พบกับผู้เป็นพ่อยืนอยู่ที่หน้าห้อง
    “เรื่ออะไรเหรอครับพ่อ” นึกถามขึ้นอีก

    “จะเรื่องอะไรเสียล่ะ เรื่องทุจริตการสร้างสะพานเข้าหมู่บ้าน และเรื่องขุดคลิงนั่นแหล่ะ” ตาคำตอบลูกชายสั้นๆ

    “อ้อ! เรื่องทุจริต” นึกพูด ลพางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

    “มันเป็นเก่าที่สะสมและหมักหมมมานาน” ตาคำพูดราวกับนักวิชาการผู้สันทัดกรณี “มันหลายเรื่องสะสมกันมา และชาวบ้านก็ทนกับพฤติกรรมของผู้ใหญ่และสารวัตรชุดนี้มานานแล้ว ไม่ว่าจะโครงการอะไรในหมู่บ้านก็มีนอกมีในไปเสียหมด เพราะการโกงกินนี่แหละหมู่บ้านถึงไม่เจริญเหมือนหมู่บ้านอื่น ชาวบ้านจึงรวมตัวกันขับไล่ให้ลาออกจากตำแหน่ง”

    “ทำไมผมไม่รู้นะ” นึกพูดราวกับรำพึงกับตัวเอง

    “ก็เอ็งมัวแต่เอาสมิงไปฟุ้งซ่านเรื่องอื่นอยู่นั่นแหละ เอ็งจะรู้อะไรหล่ะ” ตาคำต่อว่า

    “เรื่องที่ผมคิดก็คือเรื่องของความไม่ชอบธรรมเหมือนกันน่ะครับพ่อ มีอย่างที่ไหน เมืองไทยเป็นเมืองแห่งเสรีภาพ แต่สื่อถูกครอบงำโดยคนมีเงินมีอำนาจ”

    “พอแล้วๆ เจ้านึก” ตาคำรีบห้ามลูกชายก่อนจะไปกันใหญ่ “เอ็งจะออกไปดูกับข้าไหมหล่ะ”

    “โธ่ไปสิพ่อ ผมจะไปร่วมประท้วงด้วย เรื่องแบบนี้ผมชอบอยู่แล้ว” นึกพูดออกมาอย่างดีใจ และดูเหมือนว่าเขาจะลืมเรื่องราวทุกอย่างไปจนหมดสิ้น

    “อ้าว! จะรีบไปไหน” ตาคำรีบพูดขึ้น “อาบน้ำ ล้างหน้าล้างตาก่อนสิ”

    “ไปอย่างนี้แหละครับพ่อ” นึกพูด แล้วเดินนำหน้าผูเป็นพ่อออกไปก่อน
    ตาคำส่ายหน้าที่เห็นอาการของลูกชาย

    ............................................................

    หน้าบ้านผู้ใหญ่บ้าน ชาวบ้านชุมนุมประท้วงเต็มไปหมด พลางตะโกนให้ผู้ใหญ่บ้านและคณะลาออก

    เมื่อนึกและตาคำมาถึง ผู้ใหญ่บ้านและคณะได้เปิดประตูออกมาพอดี พร้อมกับประกาศให้ชาวบ้านรู้ว่ายินดีที่จะลาออกทั้งชุด เมื่อผู้ใหญ่บ้านประกาศจบลง ชาวบ้านจึงพากันไชโยกันอื้ออึง นึกและตาคำก็ร้องไชโยออกมาด้วยความดีใจเช่นกัน

    แล้วนึกก็ดีดนิ้วตัวเองดังเป๊าะ! หนึ่งครั้ง ก่อนจิย้มที่มุมปากและพูดกับตัวเองเบาๆว่า “นึกออกแล้วว่าควรจะทำอย่างไร จะกลับไปประท้วง ไชโย” นึกตะโกนก้องขึ้นมาอีกครั้งด้วยเสียงอันดัง แต่ก็ถูกเสียงชาวบ้านที่ร้องไชโยๆด้วยความดีใจกลบเสียงของเขาไปสิ้น ไม่มีใครรู้ว่าเสียงไชโยของนึกนั้นไม่ได้เกิดจากเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ แม้แต่ตาคำผู้เป็นพ่อ

    -----จบ-------


    เกรียงไกร หัวบุญศาล
    ๒ กรกฎาคม ๒๕๔๔


    *** ได้รับการพิมพ์ครั้งแรกที่  หนังสือพิมพ์พญาครุฑ ปีที่ 2 (19/3) ประจำเดือนกรกฎาคม 2544 ***

    จากคุณ : huaboonsan - [ 4 ส.ค. 49 09:29:39 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com