CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    ชีวิตรันทด...เรื่องจริงผ่านคอมพ์ (ตอนที่หก)

    สวัสดีค่ะ ชาวห้องสมุด

    เรื่องนี้เป็นตอนที่หก แต่เพิ่งเอาเข้ามาโพสท์ในนี้เพื่อให้เป็นไปตามกฎของพันทิปค่ะ

    ตอนที่หนึ่งถึงห้า ติดตามได้ที่กระทู้นอกเรื่อง ห้องสวนลุมพินีนะคะ


    ตอนที่หก

    นิ่มนวลเป็นพี่เลี้ยงเด็กที่ฉันจ้างมาจากศูนย์ส่งพี่เลี้ยงเด็กที่มีชื่อเสียงแห่งหึ่ง เธอเป็นคนจังหวัดขอนแก่น เข้ามาเรียน ปวช. ในกรุงเทพ ฉันเรียกเธอสั้นๆว่านวล นวลกับฉันถูกชะตากันทันที่ที่ได้เห็นหน้ากัน

    นวลเล่าว่า เธอเรียนหนังสือจนจบม.สามที่ขอนแก่น และเข้ามาเรียนปวช.ในกรุงเทพ จบแล้วยังหางานทำไม่ได้ เลยลองสมัครอบรมพี่เลี้ยงเด็กดู นวลเคยเลี้ยงเด็กมาแค่คนเดียว เลี้ยงอยู่ไม่ถึงปี พ่อแม่ก็พาลูกไปอยู๋ต่างประเทศ นวลจึงมาเลี้ยงน้องรุ้งเป็นคนที่สอง

    ตามสัญญาว่าจ้าง นวลจะเลี้ยงเด็กอย่างเดียว ไม่ต้องทำงานอย่างอื่น มีวันหยุดสัปดาห์ละหนึ่งวัน หากไม่ได้หยุด ค่าล่วงเวลาคือวันละสามร้อยบาท


    แต่การณ์กลับกลายป็นว่า นวลโดนคุณแม่พี่หนิงใช้ทำงานอื่น และอ้างว่าดูน้องรุ้งให้เอง นวลก้มหน้าทำตามที่ได้รับคำสั่งโดยฉันไม่เคยรู้เรื่องเพราะต่อหน้าฉัน คุณแม่พี่หนิงไม่ใช้อะไรนวลเลย

    ขอเล่าเรื่องคุณพ่อคุณแม่พี่หนิงสักหน่อย

    คุณแม่พี่หนิงเป็นสาวสวยในจังหวัดที่คุณพ่อพี่หนิงซึ่งเป็นนายทหารอากาศไปประจำกองบินที่นั่น เรื่องรักของคุณพ่อคุณแม่พี่หนิงคงเหมือนนิยายเรื่องเก่าทั้งหลายที่เกิดขึ้นซ้ำซาก

    สาวสวยประจำจังหวัดพบรักกับนายทหารหนุ่ม ทั้งคู่อยู่ด้วยกันจนมีลูกสามคน คือพี่หน่อย พี่หนิง พี่หนิม

    เมื่อย้ายกลับมากรุงเทพ คุณแม่ซึ่งเคยค้าขายอยู่กับครอบครัวตัวเองมาก่อนก็หาช่องทางทำมาหากินเสริม เพราะเงินเดือนทหารของคุณพ่อไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่าย คุณแม่จึงทำกับข้าวขายอยู่หน้าบ้านพักในกองทัพอากาศ เก็บหอมรอมริบ ส่งลูกชายและลูกสาวไปเรียนในโรงเรียนเอกชนชั้นดีมากในกรุงเทพ

    ต่อมาคุณแม่เริ่มเป็นนายหน้าค้าที่ดิน และจัดสรรที่ขายเอง จนร่ำรวยเป็นปึกแผ่น ฉันเคยเห็นในเซฟของคุณแม่มีโฉนดที่ดินอัดแน่น ทั้งที่ดินของเธอเอง ที่ดินที่มีคนเอามาจำนองรวมทั้งที่ดินที่หลุดจำนอง

    อีกเซฟหนึ่ง มีทองอัดแน่น ทั้งทองแท่ง และทองรูปพรรณ น่าปล้นยิ่งนัก

    ฉันไม่เคยได้แม้ทองสักสลึงจากเธอ

    เพราะ คุณแม่พี่หนิงเป็นประเภทยิ่งรวยยิ่งเหนียว เรื่องจะมีน้ำใจกับคนอื่นนอกจากลูกๆตนเองนั้น ยากส์ส์ส์ส์มั่กๆ เอาเป็นว่าตั้งแต่เป็นแม่ผัวลูกสะใภ้กันมา คุณแม่ไม่เคยให้อะไรฉันเลย แม้แต่จะซื้อขนมมาฝากหลานยังไม่เคย

    ถ้าเล่าต่ออีก นี่เรียกว่า แฉ หรือเปล่าน้อ

    ตัดสินใจว่าจะเล่าเลยเล่าต่อเลยตามเลย

    เรื่องแรกที่ฉันเสียความรู้สึกกับคุณแม่พี่หนิงนอกจากเรื่องชอบกระทบกระเทียบอย่างที่ฉันเคยเล่าแล้ว คือเรื่อง แหวนแต่งงานของฉัน

    ตอนแต่งงาน คุณพ่อคุณแม่ฉันไม่ได้เรียกร้องอะไร ทางบ้านพี่หนิงรับจัดงาน โดยท้ายสุดคนจ่ายคือคุณแม่ฉัน เพราะคุณแม่หนิงเฝ้าแต่บ่นว่าแพงเกิน จนคุณแม่ฉันต้องควักกระเป๋าจ่ายเพื่อลูก คือตัวฉันเอง ฉันนี่มันเป็นลูกที่ทำความผิดหวังให้คุณพ่อคุณแม่มาก แต่ท่านทั้งสองให้อภัยและไม่เคยซ้ำเติมฉันเลย แม้ในเวลาต่อมาฉันต้องเจ็บปวดเจียนตาย ท่านทั้งสองเท่านั้นที่เฝ้าดูแลปลอบโยน

    ไม่มีรักใดใหญ่ยิ่งเท่าความรักของพ่อแม่----------->จริงๆนะ เชื่อฉันเถอะ

    คุณแม่พี่หนิงบอกพี่หนิงว่าไม่ต้องไปซื้อแหวนให้ฉัน เพราะของคุณแม่มีเยอะ จะเลือกมาให้ฉันเอง ทำให้ฉันดีใจมากเมื่อได้แหวนเพชรเม็ดเดี่ยวประมาณสองกะรัตกว่า น้ำงามใสแจ๋วมาสวมใส่ในวันแต่งงาน ใครเห็นใครชมว่าแหวนสวยมากๆ

    เมื่อฉันเข้าไปอยู่ในบ้านพี่หนิงได้ไม่ถึงเดือน คุณแม่พี่หนิงถามหาแหวนวงนั้นกับฉัน เธอบอกฉันว่าให้เอาแหวนมาคืนเธอเพราะเธอแค่ "ให้ยืม" ไม่ใช่ "ให้เลย"

    ฉันเลยต้องคืนแหวนให้คุณแม่พี่หนิงไป และคุณแม่สำทับไว้ว่า "อย่าบอกหนิงนะ"

    เรื่องที่สองที่ฉันโกรธมากคือ วันหนึ่งฉันกลับมาจากบินตอนบ่ายๆ เหนื่อยและร้อนมาก ช่วงนั้นเป็นเดือนเมษายน กลับถึงบ้าน ฉันรีบขึ้นข้างบนไปดูน้องรุ้งในห้องนอน

    น้องรุ้งนอนรวมกับฉันในห้องนั่นเอง ไม่ได้มีห้องต่างหากทั้งที่บ้านพี่หนิงมีห้องว่างอยู่ที่เคยเป็นห้องพี่สาวน้องสาวเขา แต่คุณแม่ไม่ยอมให้หลานอยู่ อ้างว่าเจ้าของห้องไม่อนุญาต

    นวลต้องนอนข้างล่าง ปูเสื่อนอน ฉันซื้อที่นอนพับได้ให้นวล และให้ขึ้นมานอนบนห้องฉันเวลาที่ฉันและพี่หนิงไม่อยู่ ถ้าฉันอยู่โดยไม่มีพี่หนิง ฉันมักจะให้นวลขึ้นมานอนในห้องฉัน แต่ถ้าพี่หนิงอยู่โดยไม่มีฉัน พี่หนิงจะเข้าไปนอนในห้องน้องสาวหรือพี่สาวเขา โดยให้นวลดูแลน้องรุ้ง พี่หนิงไม่เคยช่วยเลี้ยงลูกเลย

    บ่ายวันนั้น ฉันจำได้ติดตามาจนวันนี้ ฉันเปิดประตูเข้าไป เห็นนวลนั่งอยู่ข้างเตียง กำลังเอาพัดแบบสานพัดกระพือลมให้น้องรุ้ง น้องรุ้งหลับอยู่บนที่นอน เหงื่ออกเต็มทั้งตัวและหัว

    "นวล ทำไมไม่เปิดแอร์ล่ะ แอร์เสียเหรอ" ฉันถามนวล

    "เปล่าค่ะ คุณย่าไม่ให้เปิด บอกให้เปิดพัดลมเอา พอดีพัดลมมันเสีย นวลเอาไปซ่อมไว้ค่ะ"

    ฉันโหโหขึ้นมาทันที คนเป็นแม่นี่แปลก ใครทำตัวเรานี่ไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่ทำลูกเรานี่ไม่ได้เลยเชียว

    "ประหยัดไฟบ้าอะไรกัน ชั้นให้เงินเค้าตั้งเดือนละห้าพัน ยังมางกอีก "

    ห้าพันบาท สมัยนั้นคงประมาณสองสามหมื่นบาทสมัยนี้

    จากการบอกเล่าของนวลที่ฉันค่อยๆเค้นออกมาจึงได้ความว่า นวลต้องช่วยแย้มซึ่งเคยทำงานบ้านคนเดียวทำงานบ้านด้วย

    และโดนคุณแม่ใช้สาระพัด

    เวลาที่คุณแม่ใช้นวล คุณแม่จะดูแลน้องรุ้งเอง แต่เป็นการ"ดู" เฉยๆ จริงๆ คือถ้าลูกฉันร้องก็เรียกนวล ถ้าเปียกก็เรียกนวล นวลต้องวิ่งไปมาทำทั้งดูน้องและงานบ้าน

    "ตายหละ นวลไม่บอกพี่เลยนะ เอาเถอะๆ พี่จะไปพูดกับคุณแม่ให้รู้เรื่องว่าควรทำกับนวลแบบไหน"

    ด้วยความโกรธ ฉันวิ่งลงบันไดไปอย่างเร็ว เลยพลัดตกบันไดเพราะกระโปรงเครื่องแบบที่สวมนั้นแคบมาก เมื่อฉันก้าวพรวดลง ฉันเลยเสียหลัก กลิ้งลงไปถึงชานพักบันได

    เจ็บน่าดูเลย ที่ร้ายกว่านั้น คือฉันแท้งลูกโดยยังไม่รู้ตัวว่าท้องในวันนั้นเอง

    คุณพ่อพี่หนิงเป็นคนพาฉันไปโรงพยาบาล ฉันเลือดออกมาก หมอบอกว่าฉันเสียเด็กในท้อง อายุราวหกสัปดาห์ไป

    ฉันได้รับการขูดมดลูก นอนโรงพยาบาลหนึ่งวัน
    พี่หนิงกลับจากบินมาดูอาการฉันในวันรุ่งขึ้น รวมทั้งรับฉันกลับบ้าน

    คืนนั้นฉันบอกพี่หนิงเรื่องแหวน เรื่องคุณแม่เขาไม่ยอมเปิดแอร์ให้หลาน เรื่องนวล เรื่องฉันโดนกระทบกระเทียบเปรียบเปรยต่างๆ

    "แล้วพี่หนิงรู้มั้ยคะว่ารินใส่ซองให้คุณแม่เดือนละห้าพันทุกเดือน ตั้งแต่เข้ามาอยู่ พี่หนิงไปถามคุณแม่สิว่าจะเอาเท่าไหร่ ถึงจะเปิดแอร์ให้น้องรุ้งได้น่ะ"

    ยิ่งพูด เสียงฉันยิ่งดัง

    "รินอดทนมานานแล้วนะ ทำกันแบบนี้รินกลับไปอยู่บ้านตัวเองดีกว่า แม่รินก็อยากเลี้ยงหลาน ไม่ต้องมาห่วงกลัวลูกนอนร้อนตับแตกอยู่บ้านนี้น่ะ"

    ฉันเริ่มร้องไห้ มันโมโห น้อยใจ อัดอั้น

    "คุณพ่อพี่หนิงน่ะดีกับรินนะ แต่ทำไมต้องเงียบตลอด กลัวคุณแม่มากเลยหรือไง "

    ฉันพูดตามที่ตัวเองสังเกตว่าคุณพ่อพี่หนิงซึ่งเกษียณอายุราชการแล้วอยู่บ้านเฉยๆนอนอ่านหนังสือพิมพ์ ดูทีวี วันๆไม่พูดจากับใครเลย แรกๆฉันกลัวคุณพ่อพี่หนิงมาก แต่ตอนหลังเริ่มสังเกตและเข้าใจว่าคุณพ่อเงียบเพราะไม่มีพาวเวอร์ในบ้าน คุณแม่หาเงินเก่งกว่า กำอำนาจไว้ รวมทั้งให้ท้ายลูกที่ล้วนแต่เอาแต่ใจตนเองเป็นใหญ่กันทั้งนั้น

    นั่นคงป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่งที่พี่หนิงไม่อยากเป็นผู้ชายแหยๆกลัวเมียอย่างคุณพ่อของเขา กลับบ้าอำนาจ ข่มเมียมากขึ้นๆในเวลาต่อมา

    ขณะที่ฉันพูดไป ร้องไห้ไป แต่ไม่ยอมหยุดพูด เสียงแช้ดๆแปร๊ดๆของฉันคงดังมากจนคุณแม่พี่หนิงเปิดประตูเข้ามา

    "มีอะไรกันน่ะ รุ้งเป็นอะไร แล้วเก้าอี้นั่นมันมาอยู่ห้องนี้ได้ยังไง ใครเอามา ชั้นก็หาอยู่ว่าเก้าอี้หายไปไหนตัวนึง"

    เธอชี้ไปที่เก้าอ้ไม้กลมๆไม่มีพนัก ราคาไม่กี่บาท ที่มีอยู่หลายตัวทั่วบ้าน และพี่หนิงเอามาไว้นั่งในห้องนอนของเราสองคนตัวหนึ่ง

    "หนิงเอามาเองแหละครับแม่ ไม่มีอะไรแม่ รินเค้าเหนื่อยน่ะ"

    "เหนื่อย หรือกำลังฟ้องอะไรหนิงล่ะ"

    ฉันหันหลังให้คุณแม่พี่หนิง นับหนึ่งถึงสิบถึงร้อยถึงพัน พอเธออกจากห้องไปพร้อมกับทิ้งท้ายว่า

    "ใครฟ้องอะไร หนิงฟังหูไว้หูละกัน"

    "ครับ แม่" พี่หนิงรับคำ

    ฉันเงียบ ลมออกหู กดโทรศัพท์ไปที่บ้าน คุณแม่มารับสาย ฉันบอกคุณแม่ว่า

    "แม่ขา รินทนไม่ไหวแล้ว รินอยู่นี่ไม่ได้ รินจะกลับไปอยู่บ้าน ฮือๆๆๆๆๆๆ"

    "ใจเย็นๆลูก มีเรื่องอะไรเล่าให้แม่ฟังก่อน อย่าเพิ่งวู่วาม"

    "แม่อย่าเพิ่งให้รินเล่าเลย รินขอเก็บของก่อน เดี๋ยวถึงบ้านแม่แล้วรินเล่านะคะ"

    "เอาหลานมาด้วยนะลูก"

    "ค่ะ แม่ เดี๋ยวคุยกัน"

    ฉันบอกนวลให้เก็บของ พี่หนิงที่ยืนบื้ออยู่นานพูดขึ้นมาว่า

    "รินไปอยู่บ้านรินซักพักก็ดีนะ ใจเย็นแล้วค่อยกลับมา"

    ที่แท้พี่หนิงแอบดีใจที่ฉันจะกลับไปอยู่บ้านตัวเอง เพราะเขาจะได้ไปหาคู่ขาคนใหม่ที่กำลังหลงหัวปักหัวปำ

    เธอคนนั้นเป็นแอร์ ชื่อ เชอร์รี่


    (มีต่อดึกๆค่ะ)

    จากคุณ : แอร์กี่ - [ 8 ส.ค. 49 19:18:30 A:202.57.171.210 X: TicketID:117784 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com