ฉันกับนวลช่วยกันเก็บของใช้เท่าที่จำเป็นไปก่อน เสร็จแล้วฉันอุ้มน้องรุ้งลงไปข้างล่าง พี่หนิงกำลังนั่งดูทีวีกับคุณแม่เขา ฉันเข้าไปนั่งคุกเข่าบอกคุณแม่เขาว่า
"รินจะไปอยู่บ้านแม่ซักพักนะคะ ไปละค่ะ"
ฉันยกมือไหว้ลาเธอ เธอรับไหว้แล้วเมิน ทำเป็นสนใจทีวี ส่วนคุณพ่อเข้านอนไปแล้ว
พี่หนิงรับน้องรินไปอุ้ม หอมแก้มลูก ทำหน้าซื่อ(ตามเคย)
"ไปอยู่กับคุณยายดีๆนะลูก แม่เค้างอน แล้วพ่อจะไปหานะ"
น้องรุ้งเพิ่งสิบเดือน หน้าตาแป๋วๆของลูกทำให้ฉันมาคิดทีหลัง(อีกนานจากนั้น)ว่า ลูกออกจะน่ารักขนาดนี้ ทำไมพี่หนิงจึงเห็นแก่กิเลสตัณหามากกว่าครอบครัวตัวเองไปได้นะ
ทำไม ทำไม ทำไม มีอีกหลายทำไมที่ฉันพยายามหาเหตุผล หาคำตอบว่าทำไมพี่หนิงจึงซ่อนความเป็นตัวตนของเขาได้แนบเนียนขนาดนั้น
ฉันน้อยใจพี่หนิงมากที่ไม่ยื้อให้ฉันอยู่ที่บ้านเขาต่อ ปล่อยให้ฉันไปกับน้องรุ้งและนวล ฉันขับรถไปสะอื้นไป ถึงบ้านคุณแม่ ประตูเปิดรออยู่แล้ว ฉันอุ้มลูกลงจากรถ นวลเก็บข้าวของ คุณแม่ คุณพ่อออกมายืนหน้าบ้านทั้งคู่ทันทีที่ฉันขับรถเข้าไปจอด ราวกับท่านคอยอยู่นานแล้ว
ด้วยความที่ฉันเป็นลูกคนเดียว พ่อแม่จึงรักมาก แต่ฉันทำให้ท่านเสียใจหลายครั้ง ท่านอาจจะโกรธ โมโหในตอนแรก แต่สุดท้ายท่านมีแต่คำว่าให้อภัย
ใครเป็นพ่อแม่คน คงทราบความรู้สึกนี้ดี แต่ถ้ายังไม่ได้เป็น อาจจะทราบ แต่ไม่ซึ้ง
ฉันเข้าบ้าน เรื่องต่างๆพรั่งพรูออกมาจากปาก
"แล้วหนิงเค้าไม่ว่าเหรอที่ลูกมาอยู่บ้านเรา" คุณแม่ถาม
"ไม่เห็นว่าอะไรนี่คะ เค้าเกรงใจแม่เค้า เค้าบอกให้รินอยู่ให้สบายใจก่อนค่อยกลับไป"
"ผัวเมีย ห่างกันมาก แยกกันอยู่ไม่ดีนะลูก"คุณแม่ฉันสอน
"แม่ว่ารินชวนหนิงมาอยู่บ้านเราดีกว่า แม่จะได้เลี้ยงหลานให้เพลิน"
แม่ฉันเคยเป็นนางพยาบาล เลี้ยงเด็กเก่ง ทำอาหารเสริมให้หลานทานจนน้องรุ้งอ้วนขึ้นกว่าเดิมมาก น้องรุ้งเป็นแก้วตาดวงใจของคุณตาคุณยายเลยเชียว ส่วนนวล คุณแม่จัดห้องแอร์อย่างดีให้นวลอยู่ และเอาน้องรุ้งไปนอนด้วยเสียเอง
คุณแม่ชอบล้อฉันว่า
"แม่ว่าแม่รักรินมากแล้วน้า แต่แม่รักหนูรุ้งมากกว่าอีก นี่แหละโบราณเค้าว่า... แขนงแรงกว่าหน่อ"
ฉันอยู่บ้านตัวเองอย่างมีความสุข พี่หนิงโทร.มาหาบ้าง ฉันชวนเขามาอยู่ด้วยกัน เขากลับบอกว่า
"พักนี้แม่ไม่ค่อยสบาย พี่ว่าพี่ยังไม่น่าไปนะ เอาไว้พี่จะไปหาละกัน แต่อยู่เลยคงไม่ได้"
พี่หนิงแวะมาค้างกับฉันและลูกบ้าง แต่ไม่ใช่ทุกวันที่เขาและฉันว่างตรงกัน ฉันมัวชื่นชมลูกเพลิน ไปบินที่ไหนก็ซื้อแต่ของให้ลูก บ้าเห่อลูกตัวเองจนลืมระวังสามีไปสนิท
วันหนึ่งพี่หนิงมาค้าง และคุยให้ฉันฟังว่า
"วันนี้เจอแฟนรินด้วย รินรู้มั้ยเค้าไม่ผ่าน evaluate สมน้ำหน้า"
ฉันทำหน้าเฉยทั้งที่รู้ว่าพี่หนิงหมายถึงพี่อิน ตั้งแต่แต่งงาน จนคลอดลูกและกลับไปบินมาสี่เดือนกว่าแล้วฉันยังไม่ได้ข่าวหรือพบเจอพี่อินเลย
"พี่หนิงพูดถึงใครล่ะคะ แฟนรินเยอะจาตาย" ฉันทำเป็นตลก
"หือ รินอย่ามาเฉไฉหน่อยเลย ก็ไอ้อินไง เนี่ย รินต้องเคยมีอะไรกับมันแหงๆ โอ๊ย เขียนจดหมายพร่ำพรรณนาถึงรินเยอะแยะ" พี่หนิงเริ่มบทประชด
"อ๋อ พี่หนิงเองล่ะซี้ เก็บจดหมายรินไปหมด "
"รินเพิ่งรู้เหรอ นึกว่ารู้นานแล้ว"
พี่หนิงทำประชดประชันไปงั้น ให้ฉันตายใจว่าเขารักเขาหวง
พี่หนิงเล่าว่าถึงคิวพี่อินเข้า evaluate เป็นกัปตัน (นักบินที่หนึ่ง) แต่พี่อินไม่ผ่านในขณะที่ co-pilot คนอื่นๆ ที่evaluate พร้อมพี่อินผ่านกันหมด เพื่อเริ่มการเทรนเป็นกัปตันต่อไป
EVALUATE คือการที่นักบินแต่ละคนจะได้รับการทดสอบและดูแลฝีมือการบินจากครูฝึก ครูฝึกส่วนใหญ่เป็นกัปตันที่ได้รับการยอมรับในฝีมือ ได้รับการเลือกมาทำหน้าที่ครูสอนนักบินด้วย ทำหน้าที่บินดูแลลูกศิษย์ไปด้วย เรียกว่า SV.PILOT (SV ย่อมาจาก supervisor)
SV.PILOT จะมีหัวหน้าหกท่าน ทั้งหกท่านนี้จะทำหน้าที่พิจารณาดูว่านักบินคนใดมีชั่วโมงบินและมีฝีมือพอที่จะเลื่อนขั้น จากนักบินที่สามเป็นนักบินที่สอง และนักบินที่หนึ่ง ตามลำดับ
เมื่อเลือกนักบินที่สมควรจะเลื่อนขั้นได้แล้ว จะมาถึงขั้นตอนประเมินผลว่านักบินคนนั้นๆสมควรได้รับการเลื่อนขั้นหรือไม่ เรียกว่า การ EVALUATE
SV.PILOT จะบินตามดูนักบินคนนั้นๆอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้วประกาศออกมาว่าใครผ่าน ใครไม่ผ่าน ด้วยการลงมติกัน ทั้งหกท่านต้องเห็นพ้องต้องกันว่าให้ผ่าน หากมีเพียงเสียงเดียวค้านขึ้นมา คือการไม่ปล่อยผ่าน
หากผ่าน จะได้เข้าไปรับการเทรนนิ่ง หรือการฝึกต่อไป
ขั้นตอนนี้จะควบคุมโดยหัวหน้านักบินทั้งหก บินสอนด้วย ประเมินผลด้วย
หากเทรนนิ่งไม่ผ่าน จะไม่ได้รับการเลื่อนขั้น
แต่ละขั้นตอนกินเวลานานหลายเดือน โดยเฉพาะการเทรนกัปตันจะเป็นช่วงระยะเวลาที่นักบินทุกคนเครียดมาก ต้องอ่านหนังสือ ต้องทำการบ้านก่อนบินให้ดี เพราะหากเทรนผ่าน ได้เป็นกัปตัน หมายถึงได้รับการยอมรับในฝีมือว่าสามารถคุมเครื่องได้เป็นเลิศ เมื่อมีปัญหาจะต้องตัดสินใจได้เฉียบพลันคนเดียวทุกสถานะการณ์
กัปตันทั้งหลายจึงมักจะเชื่อมั่นในตัวเองและบางคน(ขอย้ำว่าบางคนเท่านั้น)บ้าอำนาจ เพราะการได้เป็นนักบินที่หนึ่งหรือเป็นกัปตันจะได้ทั้งเงินเพิ่มขึ้นอีกมาก ได้ค่าตำแหน่งสูง ได้ค่าชั่วโมงบินมากกว่าลูกเรือคนอื่นๆ ได้ทั้งสวัสดิการเหนือพนักงานทั่วไป
เรียกว่าได้เทียบเท่าระดับผู้บริหารของบริษัท นักบินทั้งหลายจึงต้องมีความตั้งใจจริง ขยันไปบิน ขยันอ่านตำรา รวมทั้งวางตัวดีต่อหน้าผู้ใหญ่ด้วย
พี่หนิงจึงเรียบร้อย สุภาพเยือกเย็น ดูเป็นผู้ชายอบอุ่นน่ารัก
นั่นคือบุคลิกที่พี่หนิงผู้ชาญฉลาดสร้างไว้ตบตาผู้ใหญ่ เมื่อถึงเวลาพี่หนิงได้เป็นกัปตัน พี่หนิงจึงป็นกัปตันคนหนึ่งที่ลูกเรือไม่ชอบหน้า ซึ่งจะเล่าในภายหลัง
วันนันพี่หนิงกระทบกระเทียบเรื่องพี่อินมากมาย บอกว่าพี่อินปากไม่ดี ชอบเถียง SV. ฉันเข้าใจว่าน่าจะเพราะพี่อินเป็นนักเรียนนอก เรียนหนังสือที่อเมริกาตั้งแต่อายุสิบกว่าขวบ พี่อินจึงมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง ที่พี่อินเข้ามาเป็นนักบินได้เพราะพี่อินเก่งมาก หากพออยู่ไปอยู่มา นักบินส่วนใหญ่ที่เป็นทหาร(เช่นพี่หนิง)จะไม่ชอบนิสัยตรงไปตรงมาของพี่อิน พี่อินจึงไม่ผ่านการ EVALUTE ต้องรอครั้งใหม่ต่อไป ไม่ทราบว่านานอีกเท่าใดที่จะได้รับการพิจารณาใหม่
พี่หนิงทิ้งท้ายบทสนทนาในวันนั้นไว้ว่า
"คอยดูสิ พี่จะเป็นกัปตันก่อนมัน รินคิดไม่ผิดหรอกที่แต่งงานกับพี่ อีกหน่อยก็นั่งเฟิร์สคลาสเป็นคุณนาย ชี้นิ้วใช้เพื่อนแอร์"
วันที่ฉัน "ได้นั่งเครื่องบินเป็นคุณนาย"อย่างที่พี่หนิงบอกมาถึงจริง พร้อมกับความขมขื่นใหญ่หลวงของฉัน
เมื่อมีน้องรุ้งเป็นแก้วตาดวงใจ ประกอบกับพี่หนิงทำตัวดีแสนดี ทำให้ฉันเลิกระแวงพี่หนิง เมื่อน้องรุ้งโตขึ้นเรื่อยๆฉันเริ่มเก็บเงินได้มากขึ้น ฉันจึงคิดอยากมีบ้านของตัวเอง
"พี่หนิง รินอยากมีบ้าน รินว่าเราอยู่แบบนี้มันยังไงไม่รู้ ต่างคนต่างบิน ต่างคนต่างอยู่ ลูกโตขึ้นทุกวัน รินอยากให้ลูกเห็นพ่อแม่อยู่บ้านเดียวกันเสียที นะคะพี่หนิง"
พี่หนิงโดนฉันตื๊อเรื่องบ้านบ่อยเข้า เขาเลยมาบอกฉันว่าคุณแม่เขาให้ปลูกบ้านในบริเวณบ้านเขาเอง แล้วคุณแม่จะจัดการแบ่งที่ให้ทีหลัง ให้เราปลูกบ้านไปก่อนเลย
ฉันดีใจมากที่จะมีบ้านของตัวเอง ลืมนึกไปเลยว่าตามกฎหมายแล้ว บ้านปลูกอยู่บนที่ดินของใครย่อมเป็นของเจ้าของที่ดิน
เรื่องบ้านนี่ฉันโง่อีกแล้ว
พี่หนิงให้เพื่อนเขาที่เป็นสถาปนิกออกแบบบ้านโดยไม่ถามความต้องการของฉันสักเท่าไหร่ ถามเหมือนกัน แต่สุดท้าย การตัดสินใจเป็นของเขา บางทีฉันโมโหเหมือนกัน ฉันอยากได้อย่าง ออกมาอีกอย่าง
เงินค่าปลูกบ้าน พี่หนิงจะไปกู้สหกรณ์ออมทรัพย์ของบริษัทแต่คุณแม่พี่หนิงบอกให้พี่หนิงมายืมจากคุณแม่ฉัน เธออ้างว่าระยะนั้นเธอไม่มีเงินสดพอให้เราปลูกบ้าน พ่อแม่ฉันที่แสนจะรักลูกจึงให้ยืมเงินปลูกบ้านที่ค่าก่อสร้างบานปลายมาก พี่หนิงเพิ่มตรงนั้น เติมตรงนี้จนสถาปนิกที่ออกแบบบ้านบอกฉันว่าอย่าบอกใครว่าเขาเป็นคนออกแบบ เนื่องจากพี่หนิงกับผู้รับเหมาก่อสร้างเปลี่ยนแบบของเขาเสียเกือบหมด
มาถึงการตกแต่งภายใน ฉันอยากได้แบบโมเดิร์น แต่ต้องปล่อยตามใจพี่หนิงอีก พี่หนิงอยากได้แบบอะไรไม่ทราบ ฉันเรียกไม่ถูก โดยพี่หน่อย พี่สาวของพี่หนิงแนะนำคนทำมาให้ เป็นช่างไม้ประเภท BUILT IN ที่บิ๊ว บิ๊ว บิ๊ว ทั้งบ้านเต็มไปด้วยไม้ ซึ่งพี่หนิงปลื้มมาก บอกใครๆว่าเป็นไม้สักเชียวนะนั่น ฉันไม่ชอบหลายๆอย่างในบ้าน แต่ด้วยความที่รักพี่หนิง ไม่อยากมีเรื่อง จึงปล่อยไป ไม่บ่นไม่ว่าอะไร ยังไงฉันก็มีบ้านแล้ว
เงินไม่พอ ยืมคุณพ่อคุณแม่ฉันตามเคย ท่านทั้งสองไม่ได้ร่ำรวยมากมาย หากรักลูก รักหลาน ยอมให้ยืมเงินถึงห้าล้านบาท เป็นเงินเก็บเกือบทั้งหมดที่ท่านมี
คุณแม่ฉันเป็นลูกสาวนักประพันธ์ชื่อดังมากในยุคที่ฉันเป็นเด็ก ฉันจำคุณตาได้ไม่มากนัก เนื่องจากท่านเสียชีวิตไปตอนที่ฉันยังเด็กมาก ส่วนคุณยายยิ่งแล้วใหญ่ ฉันเคยเห็นแต่รูป เพราะท่านเสียชีวิตตั้งแต่คุณแม่ฉันอายุเพียงเก้าขวบ
คุณตาทิ้งมรดกไว้ให้คุณแม่กับคุณลุงฉันคือลิขสิทธิ์บทประพันธ์ของท่านที่แม้แต่ปัจจุบันยังมีการตีพิมพ์อยู่บ้าง หากไม่เป็นที่นิยมของคนรุ่นใหม่เท่าไหร่ อย่างไรก็ตาม บทประพันธ์ของคุณตาฉันได้รับการยกย่องให้เป็น หนึ่งในหนังสือร้อยเรื่องที่คนไทยควรอ่าน
ปัจจุบัน คุณแม่ฉันเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์เพียงผู้เดียวเพราะคุณลุง พี่ชายคุณแม่เสียชีวิตไปแล้วด้วยโรคเดียวกับคุณตา คือโรคเบาหวาน
คุณแม่จึงพอมีเงินให้ฉันและพี่หนิงยืม ต่อมาภายหลัง เมื่อฉันทะเลาะกับพี่หนิงและทวงเงินแทนคุณแม่ พี่หนิงจะบอกว่า
"ไม่รู้ทั้งนั้น ให้มาเอง ช่วยไม่ได้" พาลมั้ยล่ะ
.............แค้นชะมัดเลย...........
(มีต่อค่ะ)
จากคุณ :
แอร์กี่
- [
9 ส.ค. 49 00:42:21
A:202.57.172.3 X: TicketID:117784
]