วันฝนตก
ผมตื่นขึ้นเมื่อมีเสียงฟ้าร้องกึกก้อง แทรกเข้ามาในจิตสำนึก นาฬิกาที่อยู่บนผนังด้านปลายเท้า บอกเวลาบ่ายสามโมงกว่า ท้องฟ้าจากหน้าต่างด้านนั้น มืดครึ้มไปด้วยเมฆดำทมึน ทำให้ผมลุกขึ้นจากที่นอนอย่างกระฉับกระเฉง รีบแต่งตัวอย่างเร่งด่วน เพราะรู้ดีว่าขืนชักช้าคงจะไปไม่สะดวกแน่
เมื่อปิดประตูหน้าต่างและตรวจดูก๊อกน้ำว่าปิดเรียบร้อยแล้ว ก็ออกมาใส่กุญแจห้อง โดยไม่ต้องห่วงการดับไฟฟ้า เพราะถูกตัดมิเตอร์มานานหลายเดือนแล้ว แต่ถึงกระนั้นเมื่อจ้ำลงจากชั้นสี่ที่ผมอาศัยอยู่ ถึงชั้นล่างทางบันไดเพราะไม่มีลิฟท์ใช้ ก็สายเกินไปเพราะสายฝนได้โปรยลงมา และเพิ่มความหนาแน่นขึ้น จนไม่สามารถจะฝ่าออกไปได้เสียแล้ว
ถนนซอยที่พุ่งตรงออกจากหน้าแฟลตของผม ทอดตัวยาวเหยียดไปท่ามกลางสายฝนที่ซัดกระหน่ำอย่างรุนแรง เป็นฝ้าขาวจนมองภาพต่าง ๆ และอาคารที่ขนานไปทั้งสองข้าง พร่ามัวอยู่ในสายตา แต่ลมเย็นที่กระโชกเข้ามาพร้อมกับละอองฝน ทำให้ผมสดชื่นขึ้นมาก
ผมมาดูแลแฟลตที่ทางราชการซื้อเหมาจากเอกชน มาขายให้ข้าราชการชั้นผู้น้อย ด้วยเงินผ่อนนี้ เดือนสองเดือนครั้งเป็นเวลาหลายปีมาแล้ว แต่ก็ไม่สามารถที่จะมาอยู่อาศัยได้ เพราะเล็กเกินไปสำหรับครอบครัว ที่แม้จะมีเพียงสี่คน แต่มีสมบัติตกทอดประเภทกระเบื้องถ้วยกะลาแตกมากมาย เกินกว่าจะหอบเอามาด้วยได้
จึงต้องอาศัยบ้านเดิมซึ่งอยู่กลางกรุงต่อไป แม้จะเป็นที่เช่าก็ตาม คิดว่าถ้าเกิดคับขันขนาดบ้านแตกสาแหรกขาดเมื่อไร ก็อาจจะมาซุกหัวนอนได้ โดยไม่ต้องไปขออาศัยใคร แต่ถ้าถึงเวลานั้นแล้ว กลับแก่เกินไปกว่าที่จะตะกายขึ้นบันไดมาถึงชั้นสี่ได้ ก็คงจะต้องคิดอีกที
เมื่อผ่อนได้เพียงสามสี่ปี ก็มีน้ำท่วมใหญ่ในพื้นที่ชานเมืองกรุงเทพ หมู่บ้านของผมก็ท่วมจากระดับพื้นดิน สูงถึงห้าช่วงอิฐบล็อค เรียกว่าท่วมชั้นล่างถึงครึ่งห้อง ไม่มีบ้านใดอาศัยอยู่ได้ พอน้ำลดผู้คนกลับมาอยู่กันไม่ทันข้ามปี น้ำก็ท่วมซ้ำอีก คราวนี้เพียงครึ่งหนึ่งของปีก่อน แต่ผู้คนก็เข็ดขยาดไปตาม ๆ กัน เกือบจะเป็นหมู่บ้านร้างอยู่แล้ว
ปีต่อมาผู้บริหารหมู่บ้านจึงเก็บเงิน ผู้อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น สำหรับทำเขื่อนยันกำแพงรั้ว เพื่อต่อสู้กับน้ำที่บ่ามาจากทิศเหนือ และตั้งแต่บัดนั้นน้ำก็ไม่ท่วมอีกเลย เพราะได้เปลี่ยนเส้นทางเดินไปทางอื่น จนสมญานามว่าเป็นหมู่บ้านที่อยู่อาศัยของปลา ค่อย ๆ เลือนหายไปจากความทรงจำ
ผมปล่อยความคิดคำนึง ให้ล่องลอยไปกับสายฝน ที่กระหน่ำลงมาอย่างไม่สร่างซา กิ่งแห้งของต้นชมพูพันธ์ทิพย์ ที่เดิมเคยเขียวชอุ่ม โดนแรงลมหักหล่นลงมาเกลื่อนพื้น แม้แต่สายโทรศัพท์ที่พาดอย่างไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย ก็ห้อยยานลงมากีดขวางกลางถนน
แล้วอยู่ ๆ หญิงสาวคนหนึ่งก็โผล่ออกมาจากมุมตึก เธอวิ่งไปเก็บผ้าเช็ดตัวที่ตาก อยู่จนชุ่มน้ำฝน แล้วก็หันกลับเข้ามาพักในลานใกล้เชิงบันไดที่ผมยืนอยู่
น่าแปลกที่เธอเข้ามาทักผม แต่เมื่อผ่านไปสักสองสามประโยคผมจึงจำได้ว่า เธออยู่ห้องแรกชั้นล่างตรงมุมนี้เอง และเคย ทำมาค้าขายของจิปาถะที่จำเป็นสำหรับชาวแฟลต ซึ่งผมก็เป็นลูกค้าขาประจำคนหนึ่งของเธอ ในทุกครั้งที่มาดูแลห้องของผม ในตึกเดียวกัน
เมื่อปีก่อนที่น้ำจะท่วมใหญ่เธอเพิ่งมีแฟน และในคราวหนึ่งเมื่อผมมาดูห้องตามปกติ แฟนของเธอยังให้ผมอาศัยมอเตอร์ไซค์ของเขา พาออกไปส่งถึงปากทางเข้าหมู่บ้าน
เธอได้หนีน้ำไปอาศัยอยู่กับญาติที่ต่างจังหวัด เพิ่งกลับมาเมื่อสองสามปีนี้เอง พร้อมกับสามีและลูกชายหญิงสองคน แต่ผมไม่ได้สังเกตหรือเห็นหน้าเธอเลย เพิ่งจะได้พบกันวันนี้เป็นครั้งแรก
คุยถามทุกข์สุขกันต่อไปได้อีกไม่นาน สามีของเธอก็ออกมาตามให้เข้าบ้าน เมื่อเธอบอกว่าแวะคุยกับผม เขามองหน้าผมเขม็ง แต่น่าแปลกที่เขาจำผมไม่ยักได้
ต่อมาอีกไม่กี่นาทีฝนก็ซาเม็ดลง แต่ถ้าเดินฝ่าออกไปในเวลานั้น กว่าจะถึงหน้าหมู่บ้านเสื้อกางเกงและหมวกจ๊อกกี้ของผมก็คงเปียกชุ่ม ผมจึงควักเอาเสื้อกันฝนพลาสติกบางเฉียบ อย่างกับของเด็กอนุบาลออกมาคลี่ เขาทำมาอย่างง่าย ๆ คล้ายเสื้อปานโจของแม็กซิกัน แต่มีที่คลุมศรีษะ สำหรับสวมเวลาฝนตกปรอย ๆ ขณะดูการแสดงที่สวนสันติชัยปราการ แถวป้อมพระสุเมรุ บางลำพู ผมซื้อไว้ตั้งแต่ต้นฤดูฝน แต่ยังไม่ได้ลองใช้เลย
ขณะนั้นเม็ดฝนได้เบาบางลงอีก ผมจึงตัดสินใจใช้เสื้อคลุมตัวนั้น แล้วเอาที่คลุมศรีษะสวมทับหมวกลงไป พร้อมกับหิ้วถุงผ้าบรรจุกระเป๋าถือใบเล็กที่ใส่ของกระจุกกระจิกของผม และกระบอกใส่เบียร์ตัวใหญ่ ที่เหลืออยู่ร่วมครึ่งขวด ก้าวเท้าออกจากลานที่พักอาศัยนั้นอย่างไม่ลังเล
ผมเดินตากฝนมาจนถึงซอยใหญ่กลางหมู่บ้าน จึงได้มอเตอร์ไซค์ที่ยอมเปียกรับไปส่งหน้าหมู่บ้าน แวะหน้าร้านก๋วยเตี๋ยวไก่ถอดเสื้อกันฝนออกมาบรรจงพับให้เรียบร้อย แล้วจึงอาศัยนั่งรอดูท่าทีของฝน เพราะระยะทางที่จะเดินไปถึงป้ายรถเมล์นั้นไม่ใช่ใกล้นัก
ในที่สุดก็ตัดสินใจสั่งก๋วยเตี๋ยวไก่ มาแกล้มเบียร์ที่เหลือรออีกสักพัก เพราะเวลาได้ล่วงเลยมาจนเกือบห้าโมงเย็นแล้ว ระยะทางจากรังสิตถึงสวนดุสิตนั้น ยังอีกไกลนัก เดี๋ยวจะหิว
ผมจบรายการอาหารเย็นนั้นอย่างอ้อยอิ่ง พร้อมกับเบียร์หมดกระบอก ฝนก็ขาดเม็ดลงพอดี ผมได้รถเมล์ประจำถิ่นมาต่อรถปรับอากาศ สายที่ยาวจากรังสิตถึงพระประแดง ซึ่งนั่งทอดเดียวก็ถึงซอยบ้านผม
อากาศในรถเย็นเฉียบจนต้องถอดรองเท้าสานที่เปียกชุ่มออก แล้วก็นั่งกอดอกทอดอารมณ์ที่กำลังครึ้ม ให้ล่องลอยไปตามสบาย
ในช่วงวันกลางสัปดาห์ และฝนพรำตลอดเวลาอย่างนี้ บนถนนวิภาวดีรังสิต ย่อมจะมีรถนานาชนิด คลานตามกันไปโดยไม่อาจใช้ความเร็วได้ ทั้งสองฟากเข้าและออกจากกรุงเทพ ผมจึงนั่งสบายไม่มีใครเบียดมาเป็นเวลานาน
จนผู้โดยสารเพิ่มขึ้นเต็มทั้งคัน จึงมีหญิงสาวผู้หนึ่งแต่งกายแบบที่ใช้กันในสำนักงาน เข้ามานั่งเก้าอี้คู่กับผม รูปทรงของเธอค่อนข้างสมบูรณ์เกินปกติไปนิดหน่อย เมื่อนั่งแล้วเธอก็ควักผ้าออกมาเช็ดผม และหยิบตลับแป้งขึ้นมาแต่งเติมส่วนที่ลบเลือนไปเพราะเม็ดฝน แขนอันเย็นเฉียบของเธอ จึงกระทบกับแขนอันบอบบางของผมโดยบังเอิญ
เธอทำท่าเหมือนว่าจะขยับถอยห่างออกไป แต่ก็ไม่สำเร็จเพราะบั้นท้ายของเธอก็เต็มเก้าอี้แล้ว ผมจึงต้องเขยิบไปชิดหน้าต่าง ทำตัวให้ลีบเข้าไว้ แต่ก็ดีที่ทำให้อากาศใกล้ตัวผมอุ่นขึ้น
ผมรู้สึกดีอยู่เพียงครู่เดียว เมื่อได้กลิ่นเครื่องสำอางค์บางชนิดรำเพยมา กลับชวนให้ผมคันจมูกและจามออกมาโดยไม่ทันหยิบผ้าเช็ดหน้า ต้องเอาสองมือป้องไว้อย่างมิดชิด
เธอมองตามมือผมที่เช็ดกับขากางเกง แล้วทำหน้าเหมือนว่าผมได้เอาเชื้อหวัดมาแพร่ให้เธอเข้าแล้ว ผมจึงหันหน้าออกไปมองภูมิประเทศข้างทาง ผ่านความฝ้าของสายฝนที่เกาะอยู่บนกระจกหน้าต่างด้านนอก
แต่ก็ยังได้ยินเธอบอกกระปี๋ว่าจะลงที่สถานีรถไฟฟ้า ซึ่งก็คงจะเป็นต้นทางที่สวนจตุจักร หรือที่เรียกกันติดปากว่าหมอชิตเก่านั่นเอง
ผมต้องนั่งอึดอัดมาอีกนานมาก จนรถเลี้ยวออกจากถนนวิภาวดีรังสิต ตรงหัวมุมถนนลาดพร้าว เธอจึงหิ้วกระเป๋าถือลุกขึ้นเตรียมตัวจะลง ผมจึงเกิดความคิดอย่างหนึ่งแว่บขึ้นมาในสมอง
พอรถจอดป้ายหมอชิตเก่า ผมก็คว้าถุงย่ามลุกขึ้นเดินตามเธอผู้นั้นลงไปทันที
ในย่านนี้ฝนยังคงโปรยปรายอยู่อย่างบางเบา ชวนให้จามยิ่งนัก ผมเดินตามหลังเธอผู้นั้นไปยังบันไดเลื่อน ขึ้นไปบนสถานีรถไฟฟ้าสายแรกของมหานคร ที่ผมยังไม่เคยขึ้นมาก่อนเลย
ผมตามเธอไปจนถึงที่จำหน่ายตั๋วโดยสาร ซึ่งมีแผ่นป้ายอธิบายวิธีซื้อตั๋วผ่านเครื่องอัตโนมัติ ผมพยายามอ่านทำความเข้าใจ แล้วจึงควักเศษเหรียญจากกระเป๋ากางเกงกำไว้ในมือ และเข้าไปต่อแถว ซึ่งขณะนั้นเธอซึ่งเป็นเพื่อนผู้โดยสารรถปรับอากาศคนนั้น ได้หายไปทางไหนแล้วก็ไม่รู้
หญิงสาวอีกคนหนึ่งที่อยู่ข้างหน้าผม เธอคงจะไม่ถนัดในการซื้อตั๋วเหมือนกัน จึงชักช้าอยู่โดยไม่ได้ตั๋ว เธอหันมามองหน้าผม เหมือนจะขอความช่วยเหลือ ผมจึงอ่านคำอธิบายซึ่งแปะอยู่ข้าง ๆ นั้น ให้เธอทำตามลำดับขั้นตอน
คือหาหมายเลขสถานีที่จะไป ก็จะทราบราคาค่าโดยสาร แล้วจึงกดหมายเลขสถานี และหยอดเหรียญสิบบาทหรือห้าบาทลงไปในช่องตามจำนวน เมื่อครบแล้วตั๋วโดยสารที่เป็นแผ่นพลาสติกแข็งก็จะโผล่ออกมา เธอขอบคุณแล้วก็หยิบตั๋วเดินออกไป
ผมจะไปลงที่สถานีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เป็นเลข ๔ ราคา ๒๕ บาท จึงทำตามที่ได้บอกเธอผู้นั้นไปเมื่อกี้ แล้วก็เดินตามผู้โดยสารอื่นไปถึงทางเข้า เอาแผ่นตั๋วสอดเข้าไปในช่อง มันจะวิ่งไปโผล่ช่องข้างหน้า เมื่อเดินไปหยิบตั๋วช่องทางก็จะเปิดออก แล้วก็เดินผ่านเข้าไปขึ้นบันไดเลื่อนขึ้นไปบนชานชลาชั้นบน
ขณะนั้นมีรถรางไฟฟ้าจอดรออยู่แล้ว เพราะเป็นสถานีต้นทาง ที่นั่งทำเป็นเก้าอี้เรียงกันไปทั้งสองด้าน มีคนนั่งเต็มไปหมด ผมเดินเรื่อยไปข้างหน้าจนพบว่ามีว่างอยู่ที่หนึ่ง
บังเอิญที่สุดผู้ที่นั่งติดกันนั้น เป็นผู้ที่ผมบอกวิธีซื้อตั๋วเมื่อกี้นี้เอง รออีกเพียง ๒ - ๓ นาที รถก็เคลื่อนออกจากสถานี แล่นไปอย่างนุ่มนวลและเงียบกริบ เมื่อใกล้จะถึงสถานีข้างหน้าจะมีผู้ประกาศเตือนทางลำโพงกระจายเสียง และพอถึงสถานีดังกล่าวก็จะย้ำอีกครั้งหนึ่ง แล้วรถก็จอดเปิดประตูออกไปตรงกับที่เขาขีดเส้นไว้ให้ ตรงหน้าผู้ที่ยืนรอพอดี คนที่จะขึ้นจึงไม่ต้องวิ่งตามเหมือนขึ้นรถเมล์ทั้งหลาย
เมื่อผ่านมาสองสถานี เธอที่นั่งชิดกับผมจึงหันมาถามว่า รถไฟฟ้านี้แล่นไปตามถนนสุขุมวิทใช่ไหม ผมเองก็เพิ่งขึ้นมาเป็นครั้งแรก แต่รู้ว่าปลายทางอยู่ที่ซอยอ่อนนุช และแยกไปทางถนนสีลมไปสิ้นสุดที่สะพานตากสิน ผมจึงพยักหน้าว่าใช่
แต่พอจะอธิบายต่อ เธอก็รีบหันหน้ากลับไปโดยเร็ว เหมือนกับหนีกลิ่นอับจากเสื้อที่เปียกชื้น หรือกลิ่นเบียร์จากลมหายใจของผมทำนองนั้น ผมจึงรีบหุบปากแล้วทอดสายตาไปยังเงาของผู้คนอื่น ๆ ที่สะท้อนอยู่บนกระจกหน้าต่างด้านตรงข้าม และเงี่ยหูคอยฟังคำเตือนเมื่อจะถึงสถานีของผม ซึ่งอยู่ลำดับถัดไป
ผมลงจากรถไฟฟ้าที่สถานีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิอันกว้างขวางใหญ่โต แล้วเดินลงบันไดผ่านทางออกที่ทอดยาวไปเกือบรอบอนุสาวรีย์ ไปลงบันไดทางด้านโรงพยาบาลราชวิถี
ที่เชิงบันไดนั้นเอง ก็มีสุขาสาธารณะซึ่งผมปรารถนามานานตั้งอยู่ เสียเงินเพียงสามบาทก็เดินเข้าไปปล่อยทุกข์เบาที่อั้นไว้เป็นชั่วโมง จนเนื้อตัวโล่งสบายหายอึดอัด สามารถยิ้มกับตนเองได้อย่างมีความสุข
บรรยากาศในบริเวณนั้นดูปลอดโปร่งสดชื่น แม้ท้องฟ้าจะมืดสนิท มีแต่แสงฟ้าแลบแปลบปลาบเป็นระยะ แต่ฝนก็ขาดเม็ดไปแล้ว ขอบคุณที่ผมนึกถึงสถานที่นี้ขึ้นมาได้ เมื่อเพื่อนร่วมโดยสารรถปรับอากาศ ชี้นำให้ผมลงต่อรถไฟฟ้า ซึ่งแล่นมาถึงที่หมายในเวลาเพียงไม่ถึง ๑๐ นาที ในขณะที่รถคันนั้นอาจจะคลานต้วมเตี้ยม มาถึงในเวลากว่าครึ่งชั่วโมง ซึ่งผมคงจะต้องทนทุกข์ทรมานเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อผมย่างเท้าก้าวเดินไป บนทางเท้าที่กว้างขวางได้ไม่กี่ก้าว หญิงสาวหน้าตาหมดจดผู้หนึ่งก็เร่เข้ามาหา พร้อมด้วยแผงสลากกินแบ่ง เชิญชวนให้ซื้อเลขที่กำลังเป็นข่าวดังในอยู่ระยะนั้น เมื่อผมสั่นศรีษะปฏิเสธ เธอก็ตื๊อว่า
พรุ่งนี้ออกแล้วนะคะ อุดหนุนสักคู่ซีคะ คุณตา
ผมเดินหลีกเธอไปอย่างสุภาพ พลางนึกถึงแววตาของชายหนุ่มที่แฟลต และหญิงสาวท้วมบนรถเมล์ปรับอากาศ ซึ่งไม่ควรจะต้องทำสีหน้าแบบนั้น กับชายชราผอมแห้งแรงน้อย ที่มีวัยอาวุโสเกินลุงไปหลายปีแล้วอย่างผม ให้ต้องช้ำใจเล้ย
แค่ได้ฉี่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ผมก็มีความสุขแล้ว.
############
จากคุณ :
เจียวต้าย
- [
14 ส.ค. 49 05:50:41
]