เมื่อความน่าเบื่อและความง่วงมาเยือนฉันตอนบ่ายแก่ๆ มันทำให้ฉันเริ่มอยู่ไม่สุขเพราะไม่อยากจะหลับ แต่ก็ไม่อยากทำงานอีกเหมือนกัน (ตัวขี้เกียจมันเยอะเกินไป) ก็เลยต้องหาอะไรทำให้หายง่วง.. ซึ่งฉันก็คิดวิธีแก้ง่วงได้ในทันที นั่นคือ.. นั่งพิมพ์อะไรเรื่อยเปื่อยให้คุณๆได้อ่านกัน และขอเตือนว่า สิ่งที่ฉันได้พิมพ์มานั้นเป็นเพียงมุมมองความรักในอีกแง่มุมหนึ่งเท่านั้น อาจจะดีหรือไม่ดีก็ขึ้นอยู่กับคุณผู้อ่านจะเลือกรับกันไปนะคะ
เริ่มจากตรงไหนดีล่ะ.. เอาที่ตัวฉันก่อนแล้วกัน (ก่อนที่จะอารัมภบทไปยืดยาวกว่านี้) ฉันเป็นผู้หญิงคนนึงที่เกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะปานกลาง ไม่ร่ำรวยนักแต่ไม่เคยขัดสน ชีวิตห้อมล้อมด้วยพ่อแม่และตายายที่ประคบประหงมฉันอย่างดีราวกับนกน้อยในกรงอะลูมิเนียม (ไม่มีตังค์พอจะทำให้เป็นกรงทองหรอก) ในสายตาพวกเค้า ฉันเป็นนกน้อยไร้เดียงสา อ่อนต่อโลกและบอบบาง.. แต่ในความคิดของฉัน ฉันไม่อยากเป็นผู้หญิงอ่อนแอ ไม่อยากแพ้ใครและไม่อยากอ่อนต่อโลก..ซึ่งนั่น ทำให้ฉันมี 2 บุคลิกมาจนถึงทุกวันนี้.. ภายนอก ฉันดูเรียบร้อย ขี้อาย ไม่ค่อยพูดค่อยจา เงียบๆติ๋มๆ แต่เมื่ออยู่กับเพื่อนที่สนิทฉันจะกลายร่างเป็นผู้หญิงห้าวๆเถื่อนๆคนนึง (ผิดกับหน้าตาอย่างสิ้นเชิง) แต่ถ้าถามว่าอะไรล่ะคือตัวตนแท้จริงของฉัน?.. ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน มันคงเป็นตัวตนแท้จริงของฉันทั้ง 2 แบบนั่นแหละ เพียงแต่มันก็ขึ้นอยู่กับกาลเทศะนั่นแหละว่าฉันจะเอาตัวตนไหนออกมาโชว์..
ยังไงก็ตาม.. ฉันก็ยังคงเป็นผู้หญิง และเมื่อนึกดูดีๆก็พบว่าครึ่งค่อนชีวิตของฉันที่ผ่านมา มีแต่การเข้าไปพัวพันกับ ความรัก เกือบตลอดเวลา.. และฉันได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างจากความรักแต่ละครั้ง แม้มันจะต้องแลกด้วยน้ำตาและความเศร้าโศก แต่มันก็เป็นแค่ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น เมื่อเราผ่านพ้นมันมาได้ มันก็เป็นแค่เรื่องเล็กกระจ้อยร่อยที่ถูกตรึงไว้ในความทรงจำและจากนั้น เราก็จะเข้มแข็งขึ้นและใช้ความทรงจำดีๆเป็นแรงบันดาลใจเพื่อก้าวเดินไปยังวันข้างหน้า..
..PART I.. แรกรัก
ความรัก เป็นสิ่งที่จะว่าเข้าใจยาก..ก็ยาก จะว่าง่าย..ก็ง่าย มันก็ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน ที่จะเอาความรู้สึกหรือประสบการณ์มาช่วยในการตัดสินใจ บางคนคิดว่าเป็นเรื่องใหญ่โต สำคัญมากที่สุดในชีวิต พอผิดหวัง อกหักรักคุดขึ้นมาเลยฆ่ามันซะทั้งคนรักและตัวเอง บางคนมองว่าเป็นเรื่องเล็ก แต่มองว่าเล็กมากไป จนเหมือนไม่เห็นคุณค่าของความรัก สุดท้ายก็ต้องเลิกรากันไปเพราะดีมานด์กับซัพพลายไม่พอดีกัน.. ก็อย่างที่พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ว่าให้ เดินทางสายกลาง ดีที่สุด.. อะไรที่มากไปหรือน้อยไปมันก็ไม่ดีทั้งนั้นแหละ
ช่วง 2-3 เดือนมานี่.. ฉันได้กลายเป็นขาประจำในห้องสวนลุมของพันทิปแห่งนี้ไปเรียบร้อย (แต่อ่านอย่างเดียว) และได้เห็นสารพัดปัญหาหัวใจที่เกิดขึ้น ทั้งพวกอกหักรักอับเฉา รักแฟนชาวบ้าน รักคนมีเจ้าของ รักเขาข้างเดียว รักหลายเส้าเคล้าน้ำตา แฟนงอน แฟนทิ้ง (รวมทั้งทิ้งแฟน) หึงแฟนมากไป ไม่เข้าใจแฟน แฟนนอกใจ อยากนอกใจแฟน รักเพื่อนสนิท และอีกสารพัดสารเพ จนฉันมานั่งคิดดูว่า.. คนเรานี่ก็แปลก มีปัญหากันตั้งแต่เจอหน้ากันครั้งแรก อย่างเช่นคนๆนั้นมองเราจัง เค้าชอบเรารึเปล่านะ.. อ๊ะ! เค้ายิ้ม เค้ายิ้มให้เราเหรอ.. อ๊าย! เค้าจูงมือเราข้ามถนนด้วย เค้าคิดมากกว่าเพื่อนรึเปล่านะ หรือจนกระทั่งเลิกรากันไปก็ยังมิวายมีปัญหาตามหลังมาอีก.. ทำไมหนอความรักถึงมาพร้อมกับปัญหาทุกที?..
แล้วก็คิดได้ว่า.. ความรักไม่ใช่ตัวนำปัญหามาให้คนหรอก คนเองนั่นแหละที่ทำให้ปัญหามันเกิด..
ความรักเป็นสิ่งสวยงาม แต่คนบางคนกลับบอกว่า.. ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ ช่างเป็นคำกล่าวที่ชวนหดหู่ดีแท้ เพราะฉันกลับคิดว่า.. การที่คนเราทุกข์นั้นไม่ใช่เพราะ ความรัก หรอก.. แต่เป็น ใจ ของเราเองนั่นต่างหาก .. เราทุกข์เพราะใจเราเศร้าโศกกับการกระทำของคนๆหนึ่งที่เรารัก ซึ่งมันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นได้เสมอเมื่อคนสองคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ได้มารู้จักกันและเริ่มทำความเข้าใจกัน แน่นอนว่าการกระทำของฝ่ายหนึ่ง บางครั้งก็ทำให้อีกฝ่ายเจ็บช้ำได้อย่างไม่รู้ตัวได้.. คราวนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่า คุณเปิดใจมองและปรับตัวมากแค่ไหน ในการพาความรักที่เกิดขึ้นของคุณทั้งสองฝ่าฟันไปให้ถึงจุดหมายและมีทุกข์ให้น้อยที่สุด..
* ก็คนมันจะทุกข์ ไม่มีรักมันก็ทุกข์ได้.. แล้วจะไปโทษความรักมันทำไม? *
เอาล่ะ.. ยังไงก็แล้วแต่ เมื่อคุณริที่จะรัก อย่างน้อยคุณก็ควรเตรียมใจไว้สำหรับความทุกข์เอาไว้ด้วย เพราะคนที่คุณหลงรักน่ะ ไม่ว่าจะดีเลิศ หล่อ รวย สวยสะท้านฟ้าขนาดไหน คงต้องพลาดทำให้คุณทุกข์เข้าสักวันจนได้ล่ะนะ.. เพราะคนเราไม่ใช่พระอิฐพระปูน การกระทบกระทั่งกันบ้างของคนรักกันมันก็เป็นเรื่องปกติ และที่สำคัญ.. อย่าคาดหวังอะไรมากเกินไป อย่างเช่นว่า ฉันเป็นแฟนกับคนนี้แล้ว ฉันต้องแต่งงานกับเค้าให้ได้.. มันไม่ใช่.. ความรักช่วงแรกเริ่มนั้นอาจทำให้อะไรๆก็ดูดีกันไปหมด เสียทุกอย่างจนพาคุณเคลิ้มฝันไปว่าอนาคตจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วพอวันนึงที่ไม่เป็นดังฝันคุณเองนั่นล่ะที่จะทุกข์ ฉันไม่ได้บอกให้คุณทิ้งความฝัน ความฝันน่ะดีและทำให้ใจเบิกบาน..เพียงแต่อยากเตือนสติเอาไว้ว่า อย่ามัวแต่มองข้างหน้าโดยไม่ดูปัจจุบัน เพราะบางคนเอาแต่ฝันว่าอนาคตจะอย่างนั้นจะอย่างนี้ อยากจะแต่งงานกับเค้า จะจัดงานที่นั่น จะไปฮันนีมูนที่นี่ แต่ไม่เคยมองดูว่าสถานการณ์และปริมาณความรักในปัจจุบันเป็นยังไง.. ทั้งๆที่บางทีมันย่ำแย่จนรั้งไม่ไหว แต่เพราะอีโก้ในตัวมันสูงไปหน่อย เลยฝืนแต่งงาน สุดท้ายแต่งไปแล้วก็ต้องหย่ากัน ใครล่ะที่เจ็บ.. ฉะนั้น.. มองและวิเคราะห์ให้ดีๆและเป็นกลาง ว่าทุกวันนี้ความรักของคุณและเค้ามันเข้ากันได้แล้วหรือยัง อนาคตน่ะจะเป็นยังไงก็ช่างมันเถอะ ตอนนี้คุณเข้าใจเค้าและเค้าเข้าใจคุณดีพอไหม ถ้าวันนี้ทุกอย่างมันยังไม่สมบูรณ์ ขาดตกอะไรก็ช่วยๆกันเติม และสุดท้ายถ้ามันไม่ไหวก็อย่าไปฝืน อย่าไปเสียดายวันเวลาที่รู้จักหรือคบกันมา เพราะยิ่งทิ้งเอาไว้จะยิ่งเสียใจและเสียเวลามากขึ้นอีก แต่ถ้าความรักมันสุกงอมดีแล้ว.. จะทำยังไงกันต่อก็เรื่องของคุณ
สำหรับฉัน.. ฉันมองว่าการแต่งงานเป็นเพียง ทางผ่าน ของชีวิตคู่เท่านั้น แม้ในนิทานมักจะจบลงที่เจ้าหญิงและเจ้าชายได้ครองคู่และแต่งงานกันอย่างมีความสุข ทั้งๆที่เจอกันแค่ไม่นาน แต่ในความเป็นจริงแล้ว.. การที่คนสองคนจะแต่งงานกันได้ มันควรเป็นช่วงเวลาที่ความรักผ่านการบ่มเพาะและปรับเปลี่ยนจนคนสองคนเข้ากันได้ ยอมรับกันและไว้วางใจซึ่งกันและกัน ถ้าเปรียบกับการวิ่งสามขา ช่วงก่อนการวิ่งคือช่วงที่คุณและคู่วิ่งจะได้ทำความเข้าใจกันและปรับตัวเข้าหากันให้ได้มากที่สุด เมื่อกรรมการเป่านกหวีดให้เริ่มวิ่ง ก็เหมือนสัญญาณของการแต่งงานที่บอกว่า ถึงเวลาแล้วนะที่คนสองคนนี้จะวิ่งไปพร้อมๆกัน ถ้าล้มก็ล้มด้วยกัน เจ็บก็เจ็บด้วยกัน..
สรุปว่า
เมื่อคุณคิดจะคบใคร สิ่งแรกคือต้องยอมรับความทุกข์ที่จะตามมาและหัดตัวเองให้มองทุกอย่างแบบเป็นกลาง เอาใจเขามาใส่ใจเรา.. และเตรียมยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งที่จะทำให้สุขและทุกข์ ถ้าคุณคิดว่า..คุณพร้อมจะรับสิ่งเหล่านี้แล้ว การจะรักใครคบใคร ก็จะไม่ทำให้คุณทุกข์จนเกินทน..
จากคุณ :
หนูแก้มป่อง
- [
16 ส.ค. 49 19:01:58
]