เพราะเพิ่งผ่านวันเพ็ญมาไม่กี่วัน แสงจันทร์บนฟ้าจึงสว่างเพียงพอที่จะทำให้สามารถเห็นทางเดินข้างหน้าได้ค่อนข้างชัดเจน เดินตามกันไม่นานนัก เมื่อพ้นโค้งออกไป ทิวทัศน์รอบด้านก็ปรากฏเด่นอยู่ตรงหน้า
เบื้องหน้าเป็นสระน้ำกว้างใหญ่ แสงจันทร์เหลืองนวลลอยเด่นกลางท้องฟ้าส่องแสงลงมากระทบพื้นน้ำเห็นเป็นทางยาวสีทอง เสียงคลื่นกระทบฝั่งแผ่วเบาเป็นจังหวะ ระหว่างไม้ใหญ่เป็นทุ่งดอกไม้สีขาวดอกเล็กๆ ชูช่อพลิวไหวตามสายลมที่พัดมาเอื่อยๆ กลิ่นหอมเย็นๆ หอมฟุ้งไปทั่วทั้งบริเวณกว้าง
ธารานั่งลงบนก้อนหินใหญ่ตามแรงฉุดของคนข้างๆ หันมองรอบตัว ก่อนจะยิ้มออกมา รอยยิ้มกว้างยังอยู่บนใบหน้าเมื่อหันไปสบตาสีดำสนิทที่จับจ้องอยู่ก่อนหน้านี้ แววตาเย็นชาคู่นั้นค่อยๆ เปลี่ยนเป็นประกายอ่อนโยนมากขึ้น ทำให้หล่อนรู้สึกถึงหัวใจที่เต้นแรงมากขึ้น และใบหน้าที่ร้อนแผ่ว จนต้องเป็นฝ่ายหลบสายตาก่อน มือที่ถูกกุมอยู่รู้สึกอุ่นมากขึ้นจนหล่อนดึงออกมา ซึ่งคราวนี้อีกฝ่ายยอมปล่อยแต่โดยดี
เจ้ารู้ไหมว่าสระนี้มีตำนาน เสียงทุ้มพูดขึ้นเบาๆ และพูดต่อเมื่อเห็นอีกฝ่ายหันมามองอย่างสนใจ ชี้มือไปที่ก้อนหินรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดค่อนข้างใหญ่ที่กระจัดกระจายเต็มริมสระ
เจ้าสังเกตไหมว่า ก้อนหินทุกก้อนบริเวณนี้จะมีขนาดเกือบเท่าๆ กัน ตามตำนานบอกไว้ว่า ที่นี้เคยเป็นที่อยู่ของเทพธิดาแห่งความรักซึ่งมีความงามเป็นที่เลื่องลือไปทั้งสามภพ ทุกคืนวันเธอจะมีความสุขกับดอกไม้ที่งดงามและเสียงเพลงที่ไพเราะ และหัวเราะเยาะเย้ยกับความรักที่ชายหนุ่มมากมายมีให้ มีอยู่วันหนึ่งเทพอาทิตย์ชักราชรถผ่านมา พระองค์ตกหลุมรักเธอทันที แต่เธอกลับปฏิเสธความรักของพระองค์และเดินจากไปอย่างไม่ไยดี ทำให้เทพอาทิตย์โกรธมาก จึงสาปแช่งให้เธอพบกับความรักอย่างที่พระองค์พบเจอ รักที่เป็นนิรันดร์แต่ไม่อาจครองคู่กันได้ตลอดกาล
เห็นแก่ตัวที่สุด! แค่ผู้หญิงไม่รักตอบต้องสาปแช่งกันขนาดนั้นเลยหรือ
บนความรักมักมีความเห็นแก่ตัวปะปนเสมอ ใครบ้างที่ไม่เคยเห็นแก่ตัวเพราะรัก พูดเสียงแผ่วเบา ทอดสายตามองสระน้ำเบื้องหน้านิ่ง
เรื่องจบแค่นี้หรือ ในที่สุดธาราก็ต้องเป็นฝ่ายถามออกมา เมื่ออีกฝ่ายนั่งมองผื่นน้ำนิ่งเงียบไปนาน
ศิระหันมามอง ยังหรอก เทพธิดาหัวเราะเยาะคำสาปแช่งนี้ แต่วันเวลาผ่านไปไม่นานนัก ระหว่างที่เธอเดินเที่ยวเล่นในสวน กลับพบชายหนุ่มคนหนึ่งนอนบาดเจ็บ เพียงทั้งสองสบตากันต่างก็เกิดความรักต่อกัน ทั้งสองครองรักกันได้ไม่นาน ชายหนุ่มก็ต้องบอกลาไปออกศึกเพื่อบ้านเมือง แต่สัญญาว่า เมื่อสงครามสงบลงแล้วเขาจะกลับมาหาเธออีกครั้ง
แล้วกลับมาหรือเปล่า
ไม่..... เขาตายในสงครามครั้งนั้น แต่เทพธิดารอคอยการกลับมาของชายหนุ่มอย่างมีความหวังจากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี ฤดูกาลเปลี่ยนผันไปครั้งแล้วครั้งเล่า จนในที่สุดเทพธิดาก็ตรอมใจตาย เทพอาทิตย์มองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดด้วยความเสียใจ เพราะแม้พระองค์จะไม่สามารถครอบครองหัวใจของเธอได้ แต่ก็หวังที่จะได้เห็นเธอมีความสุข จึงแบ่งแสงของตัวเองทำให้เธอฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง โดยปราถนาให้เธอลืมเลือนความรักที่แสนเศร้าทั้งหมดในอดีต แต่ด้วยอำนาจของคำสาป เทพธิดาจึงยังจำความรักของเธอได้ดี ทุกครั้งที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาเธอจะยังคงเฝ้ารอชายหนุ่มให้กลับมาหาอย่างมีความหวัง และค่อยๆ หมดหวังจนตรอมใจตายทุกครั้งตามการมืดและสว่างของแสงจันทร์นับแต่นั้นเป็นต้นมา คนเมืองข้าถือว่า แสงของพระจันทร์นั้นแสดงให้เห็นถึงความรักและความหวังที่จะสมหวังในรัก
เศร้าจัง ถ้าข้ารักใครสักคนแล้วต้องเศร้าขนาดนั้น ข้าขอลืมทุกอย่างดีกว่า พูดยังไม่ทันจบประโยคดี ธาราก็ร้องออกมาอย่างตกใจเมื่ออยู่ๆ ก็ถูกคนข้างตัวกระชากตัวเข้าไปกอดจนแน่น
เจ้าก็ทำได้แล้วนี่ เสียงพูดเหมือนเสียงคำรามในอก
ลืมความรัก ลืมความหลังทั้งหมด ลืมแม้แต่ว่าตัวเองเป็นใคร สมใจเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ
ธาราดิ้น ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้น่ะ ท่านเป็นบ้าอะไรขึ้นมา
อยู่ๆ ศิระก็คลายอ้อมกอด ผุดลุกขึ้นยืนหันหลังให้ แหงนมองท้องฟ้า บางครั้งข้าก็อยากลืมได้อย่างเจ้า
เสียงพูดนั้นสะท้อนให้เห็นถึงความเศร้าที่มีอยู่ในใจของคนพูดได้เป็นอย่างดี ความเศร้าที่ทำให้ธารารู้สึกเสียวแปลบเข้ามาถึงหัวใจตัวเอง
การจำอะไรไม่ได้เลยไม่ดีอย่างที่ท่านคิดหรอก ธาราอดพูดปลอบใจอีกฝ่ายไม่ได้
.....เอาเถอะ...สร้างมิตรดีกว่าสร้างศัตรูก็แล้วกัน.....
หล่อนพูดแก้ตัวกับตัวเองในใจ มือเอื้อมไปหยิบกล่องสี่เหลี่ยมผื่นผ้าที่วางอยู่ใกล้ตัวมาเปิดออก หยิบโซนิต้าออกมา แล้วเริ่มกรีดนิ้วไปตามเส้นเสียงเป็นทำนองเพลงแผ่วเบา เสียงเพลงที่คล้ายแทรกอยู่ระหว่างสายลมและเสียงคลื่นที่ดังอยู่รอบตัว คล้ายความรักที่โอบอุ้มทุกสรรพสิ่ง
ศิระหันตัวกลับมา มองหญิงสาวที่นั่งอยู่บนก้อนหินใหญ่ สีหน้าของหล่อนสงบสุขคล้ายเสียงเพลงที่บรรเลง ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนแหงนขึ้นสบตาของเขา ใบหน้านวลใสนั้นยิ้มน้อยๆ ก่อนจะหลุบตาลงมองโซนิต้า
เขาอดรู้สึกใจหายขึ้นมาไม่ได้ เพราะรู้ดีว่าวันเวลาที่แสนงดงามเช่นนี้ไม่มีทางจะคงอยู่ชั่วนิรันดร์
เจ้าเล่นเพลงกล่อมเด็กเพื่อปลอบข้า หรือจะกล่อมข้าเข้านอน
ธารามองร่างสูงใหญ่แล้วอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ผู้ใหญ่อย่างท่านอยากฟังเพลงอะไรเล่า
เพลงสายลมแห่งรัก เขาตอบโดยไม่ลังเล
สายลมแห่งรัก?
เพลงที่เจ้าบรรเลงที่เมืองเภตรา
ได้สิ
สิ้นเสียงตอบรับ ทำนองเพลงสงบเย็นก็เปลี่ยนไป กลายเป็นเสียงคลื่นซัดสาด เสียงสายลมโบกพริ้วละเกลียวคลื่นก็เริ่มบรรเลงทันที กาลเวลาเหมือนหยุดนิ่ง จวบจนเสียงสุดท้ายสิ้นสุด
ศิระถอนหายใจยาว จนทำให้คนเล่นเงยหน้าขึ้นมองอย่างสงสัย
ข้าเพียงคิดถึงเมื่อวันที่ได้ยินเพลงนี้เมื่อนานมาแล้ว เพียงเวลาเปลี่ยนความรู้สึกจากการฟังเพลงก็เปลี่ยนไปเช่นกัน
ท่านรู้จักชื่อเพลง ท่านรู้ไหมว่าเพลงนี้เป็นของนักดนตรีเมืองไหน ตอนนี้ข้าจำได้เพียงบางเพลงเท่านั้น ถ้ารู้ที่มาของเพลงอาจจะพอรู้ว่า ตัวเองเป็นคนเมืองไหน
ข้าก็จำไม่ค่อยได้เสียแล้ว หน้าตาคนตอบกลับมาเรียบเฉยเหมือนปกติ
ธารามองอย่างไม่ค่อยเชื่อ แต่ก่อนที่หล่อนจะถามอะไรออกมาอีก ศิระก็ดึงโซนิต้าจากหล่อนเก็บเข้าไปในกล่องเหมือนเดิม
ดึกแล้ว น้ำค้างลงหนักขนาดนี้ อยู่อย่างนี้นานๆ เจ้าจะไม่สบาย กลับที่กระโจมกันเถอะ พูดจบไม่ฟังเสียงของอีกฝ่ายว่าจะตอบรับหรือปฏิเสธ ก็ฉุดมือบางคู่นั้นให้ลุกขึ้นและเดินกลับไปทางเดิม
อากาศรอบตัวเริ่มหนาวเย็นกว่าเมื่อตอนหัวค่ำ แต่กลิ่นหอมของดอกไม้ยังคงหอมฟุ้งอยู่เช่นเดิม เสียงแมลงกลางคืนร้องระงมไปทั้งป่า ก่อนจะหยุดนิ่งอย่างฉับพลัน ศิระหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงกิ่งไม้แห้งหักดังขึ้นเบาๆ พร้อมกับเงาคนผ่านวูบไปทางหางตาด้านขวามือ เขาดึงร่างบางให้ไปหลบอยู่ข้างหลัง มือจับด้ามมีดสั้นที่เอวอย่างระวังตัว
ใคร! ตะโกนถาม พยายามมองผ่านเข้าไปในความมืดระหว่างต้นไม้ใหญ่สองต้น
ความเงียบเป็นคำตอบที่ได้รับ ศิระชักมีดสั้นออกมา หันมาพูดกับคนที่ยังยืนงงอยู่ข้างหลัง
เจ้ายืนรอข้าอยู่ตรงนี้ก่อน พูดจบก็เริ่มก้าวเดินไปยังที่หมายตาไว้ แต่ก้าวไปข้างหน้าได้ไม่กี่ก้าวก็ต้องหันหลังกลับมามอง คำถามในดวงตาสีดำทำให้คนเดินตามพูดด้วยเสียงเรียบๆ เหมือนสิ่งที่ตัวเองกำลังทำนั้นเป็นเรื่องปกติ
ทำไมข้าต้องยืนรอ เกิดอะไรขึ้น
ศิระถอนหายใจกับความดื้อรั้นของคนตรงหน้า งั้นก็เดินตามหลังข้ามาดีๆ ระวังตัวด้วย
เขาจับมือบางคู่นั้นให้เดินเข้ามาชิดตัวมากขึ้น เพื่อว่าหากเกิดอะไรขึ้นจะได้ป้องกันอันตรายได้ทัน
ชายหนุ่มเดินไปถึงที่ที่หมายตาไว้ พร้อมๆกับพยนต์ที่เดินอย่างรวดเร็วมาถึงเช่นเดียวกัน เขายกตะเกียงที่เพิ่งจุดไฟส่องไปรอบๆ ตัว
นายท่าน
พยนต์ชี้มือไปยังพื้นดินที่ชุ่มไปด้วยน้ำค้าง ทำให้เห็นรอยเท้าที่ถูกทิ้งไว้อย่างชัดเจนเหมือนจงใจ ศิระก้มลงพิจารณาอย่างใกล้ชิด ก่อนจะสบตากับคนสนิท
ไม่ใช่คนของเราแน่นายท่าน รอยรองเท้าไม่ใช่แบบของเรา อาจเป็นชาวบ้านที่ออกมาหาของป่า
ชาวบ้านแถวนี้ไม่นิยมสวมรองเท้า
ศิระมองรอบๆตัว ทอดสายตาไปไกล แต่ทุกอย่างที่อยู่นอกรัศมีแสงตะเกียงเป็นเพียงเงาตะคุ่มๆ
กลับที่พัก ชายหนุ่มตัดสินใจอย่างรวดเร็วเมื่อบริเวณนี้ค่อนข้างมืดมองไปได้ไม่ไกลมากนัก หากมีใครซุ่มโจมตีจะเกิดอันตรายขึ้นได้
ศิระออกเดินพร้อมจูงมือคนที่ยืนนิ่งๆ มองรอยเท้าให้ออกเดินตาม โดยมีคนสนิทเดินปิดท้ายขบวน หญิงสาวร่างโปร่งบางเดินตามอย่างว่าง่าย แต่สีหน้าเจ้าตัวเหมือนกำลังคิดอะไรอย่างหนัก แม้จะอยากรู้ว่าเธอคิดอะไรในขณะนี้ แต่เขาก็รู้ว่าถึงจะถามไปถ้าเจ้าตัวไม่อยากตอบคำตอบที่ได้ก็คงเป็นความนิ่งเฉย
ศิระอยากจะถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ใจหนึ่งชายหนุ่มก็อยากให้เธอจดจำเรื่องราวในอดีตได้ แต่อีกใจกลับภาวนาให้เธอลืมเลือนเรื่องราวทั้งหมดในอดีตตลอดไป
เอาเถอะ เรื่องราวในวันพรุ่งนี้จะเป็นเช่นไรปล่อยให้ฟ้าเบื้องบนเป็นผู้ลิขิตเถิด เขาควรหยุดคิดและรับรู้ถึงความสุขที่ได้รับในวันนี้ให้มากที่สุด ก่อนที่ทุกอย่างจะจบลงหากวันที่เขาหวาดกลัวมาถึง
..........................................................................
(จบบทที่ 10/2)
แก้ไขเมื่อ 20 ส.ค. 49 01:12:06
จากคุณ :
w_panda
- [
18 ส.ค. 49 00:03:31
]