CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    สายลมแห่งรัตติกาล

    ดวงไฟแดงเล็กๆที่วาบทิ้งช่วงห่างสม่ำเสมอดึงดูดสายตาผมมาได้กว่านาทีแล้ว กลิ่นที่แสนโหยหาลอยมาปะทะจมูกอยู่เนืองๆ ผมหลับตาสูดกลิ่นของมันอย่างคิดถึง ขณะที่อิ่มเอมไปกับกลิ่นอันเย้ายวนของมันที่คละเคล้าอยู่ในทุกอณูแห่งรัตติกาลรอบกายผมก็รู้สึกโศกเศร้าไปด้วย....ไม่รู้ว่าคนของผมไปอยู่กันเสียที่ไหน ทำไมพวกเขาทิ้งให้ผมรู้สึกโดดเดี่ยวเช่นนี้

    “ที่จริงก็อยากให้แกสักปื๊ดล่ะ แต่แบบ...ก็รู้ๆอยู่นะเรื่องแบบนี้ของใครของมันว่ะ เราเองกว่าจะได้มาก็โครตจะนานเลย ต้องแวะไปหาเสียก็ตั้งหลายครั้ง” ยิมนั่งมองบุหรี่ที่เหลือแต่ก้นกรองอย่างเสียดาย

    “ของดีหมดเร็วจังว่ะ   เซ็ง” เขาดีดมันกระเด็นมาตกตรงปลายเท้าผมพอดี ผมเลียริมฝีปากเมื่อก้มลงมอง

    “กลับไปหาพ่อแม่มั่งหรือเปล่า” ยิมเดินมานั่งข้างผม

    “ไป แต่ก็เหมือนเดิม   ติดต่อไม่ได้” ผมส่ายหน้า

    “พ่อแม่ใจคอจะตัดหางแกจริงๆเหรอวะเนี่ย จะคิดถึงสักนิดก็ไม่มีเหรอ”

    “เขาคงเกลียดที่เราหนีออกมาขี่มอ’ ไซด์จนทำให้เขาเดือดร้อนหลายครั้งแล้ว เลยไม่อยากยุ่งด้วยแล้ว” ผมถอนใจออกมา

    “แต่กูว่าพ่อแม่เขาไม่รู้ว่าจะติดต่อแกอย่างไงมากกว่าว่ะ แล้วพี่น้องล่ะ ติดต่อไม่ได้เหมือนกันเหรอ”ยิมถาม

    “เออว่ะ  เมื่อก่อนไม่ค่อยสนิทกันด้วย พวกมันไม่คิดถึงเราหรอก ” ผมเท้าคางมองออกไปข้างหน้า

    “เฮ้อ! มีวันนี้ได้ก็เพราะเมื่อก่อนเรามันโง่เป็นกระบือ แทนที่จะอยู่กับบ้านสบายๆ ดันเลือกที่จะหนีออกมาขี่รถแข่งกวนเมืองซะมากกว่า” ผมทำตาลอยเมื่อพูดถึง  

    “แหมก็ นะ....ชัยชนะมันหอมหวานหว่า  เงินพนันรึก็ดี แถมใครก็มองเราเท่ห์ อยากได้เด็กเทสรถสวยๆคนไหนล่ะ ชนะที่ได้สะบึมสมใจอยาก เราเองยังชอบ” ยิมตบบ่าผมเบาๆเพื่อแสดงความเข้าใจ

    “เรื่องพวกนั้นล่ะที่ทำให้เราฟังคำด่า คำสาปแช่งเป็นเสียงเพลงเชียร์ให้ห้อตะบึงสุดแรง” ผมหันมายิ้มกับเพื่อนร่วมชะตากรรม

    “มีวันนี้ได้เพราะถูกสาปแช่งหรือเปล่าวะ” ยิมถามเนิบๆ ผมมองหน้าเขานิ่ง ไม่รู้สิ...ผมตอบไม่ได้หรือไม่อยากตอบก็ไม่รู้ กระนั้นก็ดูเหมือนยิมจะเข้าใจ เขาไม่ได้พูดอะไรอีกนอกจากทอดสายตามองไปที่ถนนพร้อมกับผมโดยไม่ได้นัดหมาย  บนถนนนักบิดทุกคนกำลังทดสอบมอร์เตอร์ไซด์คู่ใจ เสียงบิดเร่งสนั่นบ่งบอกว่าเครื่องยนต์แทบทุกคันล้วนผ่านศัลยกรรมจนเป็นเลิศด้านวิศวกรรมจากช่างมีฝีมือผู้มากประสบการณ์มาแล้ว ยิมกดก้นกรองบุหรี่กับพื้นแล้วลุกขึ้นยืนมองพวกกระหายอยากโชว์ความแน่ของตัวเองออกรถทะยานไปบนถนนสายโล่งที่คลุมด้วยอากาศที่อับแสง

    “ไปว่ะ มันแข่งกันแล้ว” ยิมพูดโดยไม่หันกลับมา เสียงของเขาแทบจะกลายเป็นเสียงกระซิบ ผมตื่นเต้นรีบวิ่งไปที่มอเตอร์ไซด์ที่จอดอยู่อย่างร้อนรน

    “วันนี้เราต้องทำได้ ” ผมสตาร์ทรถอย่างคึกคะนอง

    “คืนนี้อาจมีเฮ”ยิมโดดขึ้นรถ สตาร์ทแล้วเร่งเครื่องออกตัวนำไปก่อน ผมบิดเครื่องตามเขาไปติดๆ
    เราสองคนใช้เวลาไม่นานก็สามารถเกาะกลุ่มไปกับคนเหล่านั้นได้  ผมกับยิมเร่งเครื่องขึ้นอีก เราสองคนหันมามองหน้ากันในลักษณะที่ว่า ....อย่าปล่อยให้โอกาสหลุดลอย สนามนี้เราครองมานานแล้ว

    เราสองคนปลิวทะยานไปกับมอร์เตอไซด์คู่ใจด้วยความเร็วสูงสุด  สายลมแรงที่กระพืออยู่รอบกายและกลิ่นหอมจางแห่งรัตติกาลเข้าแตะต้องวิญญาณผม ที่จริงมันเคยสร้างความรู้สึกที่ดี สร้างความฮึกเหิมบ้าคลั่ง ปลดปล่อยและมอบความเป็นอิสระจากโลกแห่งความจริงทั้งปวงให้ผมในวันเก่าทว่าตอนนี้....ไม่เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว สิ่งที่ทำให้ผมลิงโลดในตอนนี้มันต่างจากวันนั้นอย่างสิ้นเชิง   ด้วยความเร็วที่ไต่ระดับความแรงขึ้นเรื่อยๆทำให้ผมหันไปยิ้มกับยิม....ถึงจะตามหลังนักบิดกลุ่มนั้นอยู่แต่เราก็รู้ว่าไม่นานเราจะตามทัน  

    ผมกับยิมพยักหน้าส่งสัญญาณให้กันเมื่อเราสองคนแทรกเข้ามาในกลุ่มรถแข่งได้ คืนนี้เราจะแยกกัน เราจะไม่ตีคู่กันไปเหมือนที่แล้วมาเราไม่อยากพลาดอีก   อย่าพลาดอีก...ไม่อย่างเด็ดขาด  ผมภาวนะพร้อมสอดส่ายสายตามองหาเป้าหมายอย่างอดทน     เหตุเพราะไม่มีใครใส่หมวกกันน็อคผมจึงเห็นสีหน้าของแต่ละคนได้อย่างถนัดชัดเจน    เด็กหนุ่มเด็กสาวกลุ่มนี้ไม่มีความหวาดกลัวซ่อนในสีหน้าและแววตาเลยสักคน สีหน้าและแววตาของทุกคนมีแต่ความสนุกสนาน คึกคะนอง สะใจไปกับความแรงเร็วที่ปั้นสร้างได้เพียงข้อมือบังคับ  ผมเร่งเครื่องขึ้นแซงคันแล้วคันเล่าแต่ก็ยังไม่พบเป้าหมาย ยิมที่อยู่อีกด้านก็กำลังปาดซ้ายขวาเพื่อเล็งหาเป้าหมายอยู่เช่นกัน หลังจากใช้ความพยายามอยู่นานในที่สุดผมก็เจอ และ...ยิมก็พบเป้าหมายของเขาเหมือนกัน ...เด็กหนุ่มสองที่อยู่หน้าสุดของกลุ่ม พวกเขาสบตากันและกันด้วยว่ากำลังแข่งกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ผมกับยิมเร่งเครื่องตีขนาบเขาทั้งคู่ทันที  ผมรวบรวมสมาธิให้นิ่งและแกร่งพอที่จะยื่นเท้าไปยันรถของเขาอย่างแรง ......ครับยิมก็ทำเช่นเดียวกับผม  โปรดรู้ไว้นะครับว่าเราสองคนไม่ได้เป็นนักแข่งที่มีจริยธรรมนักหรอก เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการเราไม่อายที่จะทำทุกอย่าง นั่นมันอาจไม่หอมหวานน่าชื่นใจสำหรับคู่ต่อกรของเรา  แต่...ใครสนล่ะ! สนามนี้มันสนามเถื่อน ทุกการกระทำไร้กติกา มารยาทน่ะเหรอ ลืมไปได้เลย  ตอนนี้วินาทีนี้ไม่มีอะไรสำคัญมากไปกว่าใจที่กระหายของเราอีกแล้ว

                     รถของเด็กหนุ่มคู่นั้นถลำคว่ำและถากไปกับพื้นด้วยความแรงของรถส่งผลให้มันกลายเป็นเศษเหล็กไปในพริบตา ร่างของพวกเขาร่อนละล่องราวกับไร้น้ำหนักก่อนที่จะหล่นลงกระแทกพื้นถนนจังๆ  หัวของเด็กหนุ่มฟาดอย่างแรงผมได้ยินเสียงโบ๊ะสั้นๆถนัดถนี่ ใจผมเต้นผมรีบจอดรถแล้ววิ่งไปดู  ยิมตามมาติดๆ   เด็กหนุ่มคนแรกกระโหลกแตกและมันสมองก็กระจายกระจัดอยู่รอบๆศีรษะที่ผิดรูปร่างของเขา ยิมตะกายสี่เท้าแทบจะทันทีเห็น เขาตะเกียกตะกายไปอาเจียนอีกฟากของถนน อีกคนได้กลายสภาพเหมือนกองผ้าสกปกกองหนึ่ง ที่ท้องของเขาเกิดแผลลึกฉกรรจ์จนอวัยวะที่ควรจะอยู่ข้างในไหลออกมากองอยู่ข้างนอก เขาแน่นิ่งไปนานมากจนผมนึกว่าเขาตายไปแล้ว แต่จู่ๆเขาก็ลืมตาขึ้นอย่างอ่อนล้า

    “ช่วยด้วย” เขาว่า ผมต้องเบือนหน้าไปทางอื่น มันสุดจะทนกับภาพสยองสยดแบบนี้ เคยได้ยินมาเหมือนกันว่าไก่ที่ถูกตัดหัวด้วยความตกใจมันยังคงวิ่งไปอีกสักครู่ก่อนตาย เชื้อพระวงศ์ของอังกฤษพระนางหนึ่งยังคงพึมพัมตอนที่ถูกตัดศีรษะแล้ว แต่ก็ไม่เคยเห็นของจริงเหมือนอะไรตรงหน้านี้ มันสด...มันเห็นๆเลย ถ้าเพียงแต่เขาตายแล้วผมคงไม่รู้สึกแย่แบบนี้

    “อย่าพูดอะไรอีกนะ” เสียงของยิมทำให้ผมหันไปมอง เขาก้มต่ำลงมองเด็กหนุ่มตรงหน้า

    “ทำไม?”เสียงเขาแผ่วหาย

    “ได้โปรด...อย่าแม้แต่กระพริบตา” ยิมตะคอกกลับไปไม่ใช่เพราะเขาโมโหนะครับ แต่เพราะเขารู้สึกแย่สุดๆต่างหาก

    “อีกคนล่ะ?” ผมหมายถึงคนที่กระโหลกแตก ยิมทำท่าผะอืดผะอมแล้วส่ายหน้า

    “ลมหายใจมันอ่อนมากว่ะแต่ยังไม่ตาย คิดว่าอีกไม่นาน”

    “แล้วแกจะอ้วกเอาอะไรออกมาอีกวะ ทำเป็นไม่เคย” ผมใช้มือผลักหน้าเขาหงาย ยิมหัวเราะคิกเบาๆแล้วหันไปมอง กลุ่มนักบิดที่กำลังกระจายตัวหนี บางคนใจดีหน่อยกำลังโทรเรียกรถพยาบาลให้

    “ช่...ว...ย....ด้...ว......ย จ…. จ...... เจ็บ” เด็กหนุ่มเคราะห์ร้ายนั้นน้ำตาไหลพราก เขาพยายามขยับ มือของเขายกขึ้นไขว่ขว้าหามือของผมไว้แต่ดูมันจะไร้ผลทั้งที่ผมก็ยื่นมือออกไปสัมผัสกับเขาแล้ว

    “เหรอ เจ็บมากเลยเหรอ ?”ผมถาม เขาพยักหน้ารับช้าๆตามด้วยเสียงครืดคราดดังอยู่ในคอ

    “เราน่ะ ตอนที่ติดลมไปกับความแรง ได้โชว์ความเจ๋ง ไม่ค่อยมีคำว่าตาย อยู่ในหัว แต่พอวินาทีที่ได้รู้ว่าความตายมารอตรงหน้าแน่ๆกึ๋นถึงได้แล่นมาติดคอหอยจนแทบสำลักเลยล่ะ  พอถูกความตายยื่นมือมาแตะที่หลัง ก็เสียดายวินาทีก่อนหน้านี้สักสองสามวินาที คิดว่าหากลดความเร็วลง หากยอมถอดใจแล้วลงจากไปจากถนนไปเสียคงจะดีไม่น้อย แต่เกลอเอ๋ย มันสายไปว่ะ คราวของเราน่ะสุดเจ็บสาหัสกว่าแยะเลยกว่าจะตาย    มโนสำนึกทำให้เห็นสภาพตัวเอง เราทั้งโศรกสลดทั้งกลัวจนฉี่ราดเลย ความตายมันน่ากลัวนะ..แต่หลังความตายนี่ซิ สยองยิ่งกว่าเสียอีก  เข้าใจป่ะ ไม่ได้ตายแบบสงบๆเหมือนคนมีบุญเขา นี่มันตายโหง ตายแบบอนาถน่ะมันนรกที่สุดเลย ไม่รู้จะไปไหน ทั้งหิวทั้งหนาว ทุกเมื่อเชื่อวันมีแต่ความมืดดำไร้ทางออก มันทรมาน ความแล้งแห้งรัดบีบแน่นจนวิญญาณแทบขาดกลาง รันทดว่ะ รันทดมากๆ  นี่ล่ะวันวารของสัมพเวสีที่แกจะได้รู้ในบัดดลนี้แล้ว” ผมยิ้มให้สายลมก่อนจะก้มลงกระซิบอีกครั้ง

    “แต่ก็เหอะยังมีพวกเงาหัวขาดอีกหลายรายที่ยังไม่รู้เรื่องนี้  นั่นไว้ให้แกถ่ายทอดประสบการณ์นี้ต่อไปก็แล้วกันนะ อย่าว่ากันเลย พวกเราจำเป็นต้องทำเพราะมีเพียงพวกโง่อย่างพวกแกเท่านั้นที่ช่วยได้” ยิมหันมายิ้ม

    “ขณะจิตเล็กๆที่คอของเราพาดไปกับราวเหล็กตรงข้างทางโค้งนั่นน่ะ มันน่าหวาดกลัวที่สุดเลย ความตะหนก ความตกใจต่อความตายนั้นมันแปรสภาพกลายเป็นหอกคมที่ทิ่มทะลวงตั้งแต่หัวใจจนทะลุปอดเลย ความรู้สึกแบบนั้นมันสุดขีดจริงๆ  ความแรงของรถทำให้ขอบทื่อๆของโลหะกันถนนนั้นกลายสภาพเป็นใบมีดยักษ์ทันทีที่กดเข้ากับคอ ตอนนั้นกูได้แต่บอกตัวเองอย่างหวาดกลัวและสิ้นหวังว่า...ไม่น่าเลย ไม่น่าเลย จนหมดลมเลย น่าเศร้าใช่ไหมล่ะ”ผมเลื่อนหัวออกจากคอ เด็กหนุ่มมองผมด้วยนัยตาที่เหลือกโพลง

    “เคยได้ยินตำนานตัวตายตัวแทนไหม? ถนนสายนี้มีการแข่งขันกันมากตัวตายตัวแทนก็มากตามไปด้วย นั่นเป็นเหตผลที่พวกกูต้องอยู่แทนวิญญาณเก่าๆที่ต้องการไปจากที่นี่ แล้วถ้ากูไม่มาเอานักบิดอย่างพวกนาย จะให้ไปเอานักอ่านหรือไง? ไอ้นรก  ชู่ว์...แต่ไม่ต้องกลัวนะ สักวันถ้านายขยันหาหน่อย นายจะได้เจอคนที่อยู่ตรงนี้แทนแน่ เชื่อดิ ไม่นานหรอก ไม่นานจริงๆ พวกโง่ที่ชอบมาบั่นอายุให้สั้นด้วยวิธีนี้มีทุกคืน” ยิมเหลือบมองเด็กหนุ่มที่กระโหลกแตก ร่างกายของเขาเริ่มกระตุก ยิมหลับตาลง...เขาก็เคยเป็นเช่นนั้น ในวันที่แข่งรถกับผม

    “ได้ไปจากที่นี่เสียทีนะเพื่อน ต่อไปเราจะไม่ได้ไม่ต้องอิจฉาของไหว้ผีของนายอีกแล้ว” ผมหันไปกอดคอยิม

    “จะไปเข้าฝันแม่บอกลาเสียที” ยิมหัวเราะใส

    “เหมือนกัน” ผมว่าก่อนหันไปหาเด็กหนุ่มที่ลมหายใจกำลังจะปลิวไปกับสายลม

    "ไปล่ะ บาย  ” พูดจบผมก็ดีดนิ้วเรียกยิม เขาวิ่งเหยาะๆมาหา เราสองคนโบกมือลาสองหนุ่มเคราะห์ร้ายอย่างปรีดิ์เปรม และก่อนที่เราจะหายไปในรัตติกาลคืนนั้น ปลายสายตาของผมเห็นเด็กหนุ่มสองคนนั้นก็ล่องลอยมานั่งเฝ้าข้างถนน รอคอยนักบิดใจกล้าชะตาขาดรายใหม่ๆที่จะผ่านมา  ตอนนี้พวกเขาคงจะเข้าใจคำว่า~ ผีเฝ้าถนน~ อย่างถึงแก่นหัวใจเหมือนกับที่ผมกับยิมเคยเป็น
    **********

    จากคุณ : vannessia - [ 18 ส.ค. 49 15:24:34 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com