CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    บันทึกเด็กหัดเที่ยว : เขาสก_Day 1

    เขาสกสำหรับเรา มันคือครั้งแรก ที่ได้เข้าไปอยู่ท่ามกลางธรรมชาติล้วนๆ  
    มองไปทางไหนก็มีแต่ป่า-เขา-น้ำ อยู่โดยรอบ

    first arrival and first impression

    เรือยาวลำเล็กของเรา พาสิบเอ็ดชีวิตมุ่งตรงเข้าไปด้านในของทะเลสาบ
    ฝั่งที่เราจากมา ค่อยๆ เล็กลง ทุกที ทุกที และในที่สุดก็เลือนลับไปจากสายตา
    รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเดินทางไปสู่อีกดินแดนหนึ่ง รอบตัวมีแต่น้ำ ภูเขา เสียงดังกระหึ่มของเครื่องยนต์
    และแน่นอน..ไร้ซึ่งสัญญาณโทรศัพท์มือถือที่สุดแสนจะคุ้นเคย
    สำหรับเราสองวันนับจากนี้จะอยู่สภาพตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง

    เมื่อแรก...ภูเขาหินปูนระเกะระกะที่โผล่พ้นน้ำ ดูไม่ได้สูงไปกว่าตึกระฟ้าในเมืองที่คุ้นตามากนัก
    แต่คำบอกเล่าจากไกด์ที่ว่า ภูเขาเหล่านี้เป็นภูเขาที่จมอยู่ใต้น้ำ เนื่องจากการสร้างเขื่อนทำให้น้ำท่วมป่า
    ส่วนที่โผล่พ้นน้ำที่เราเห็นอยู่ตรงหน้าคือส่วนของยอดเขา...
    ภาพความสูงของภูเขาทั่วไปที่เห็นระหว่างทางนั่งรถมายังเขื่อนรัชประภาผุดขึ้นมาในหัว
    จินตนาการถึงความลึกของทะเลสาบที่เราแล่นเรืออยู่ทำให้เราขนลุก
    เพียงแค่คิดว่าถ้าพลัดตกลงไปจากเรือล่ะก็..หึหึ

    เงยหน้ามองฟ้า..สภาพอากาศดูไม่เหมาะกับการนั่งเรือท่ามกลางทะเลสาบกว้าง
    คล้ายฝนจะตก ท้องฟ้าครึ้ม...ไม่มีสีฟ้าแซมแม้แต่น้อย เมฆสีเทาและสีขาวลอยบังดวงอาทิตย์
    แสงสะท้อนจากก้อนเมฆให้ความสว่างสีขาวนวลเหมือนแสงจากไฟจากหลอดนีออนภายในอาคาร
    ไม่มีแดดส่องให้ร้อนแสบตา แต่ก็ไม่อาจบอกเวลาได้  

    ไกด์ให้สัญญาณนายท้ายเรือเพื่อพักชมวิว
    ทันทีที่เรือดับเครื่องลง พลันสิ่งต่างๆ รอบตัวก็เหมือนหยุดนิ่ง
    เสียงแผดกร้าวของเรือถูกแทนที่ด้วยความเงียบ เงียบ...แบบที่ไม่มีแม้กระทั่งเสียงลมพัด
    เรือยังคงเคลื่อนที่ช้าๆ ตามแรงเฉื่อยจากเครื่องยนต์และหยุดนิ่งในที่สุด
    ผืนน้ำไร้ระลอกคลื่นจากสิ่งรบกวน สะท้อนภาพภูเขาและท้องฟ้าราวกับกระจกบานใหญ่
    เสียงพูดคุยเงียบลง...
    เสียงกดชัดเตอร์ของพี่อดัม..เป็นสิ่งแปลกปลอมเพียงสิ่งเดียวที่เชื่อมตัวเราโลกอันคุ้นเคยไว้  
    ตอนนี้..เราได้เข้ามาอยู่ในอีกดินแดนนึงแล้วจริงๆ ดินแดนของธรรมชาติ

    ความยิ่งใหญ่และสงบนิ่งของธรรมชาติที่อยู่รายล้อมอยู่รอบตัว
    ทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนสิ่งแปลกปลอมเล็กๆ ที่พลัดหลงเข้าไป
    ..แปลกถิ่น แปลกหน้า และไม่คุ้นเคย ความรู้สึกกลัวแทรกตัวจางๆ อยู่ในบรรยากาศ...

    เสียงกระหึ่มของเครื่องยนต์ ปลุกเราให้ตื่นจากภวังค์  
    "เขื่อนรัชประภาสร้างกั้นคลองแสง ล้อมรอบพื้นที่ป่า ไม่ได้สร้างกั้นแม่น้ำสายใหญ่อย่างเขื่อนอื่นๆ"
    เสียงไกด์อธิบายดังแข่งกับเสียงเครื่องยนต์
    "น้ำมากมายที่อยู่ในทะเลสาบนี้เป็นน้ำที่ซึมมาจากตาน้ำ ลำธาร
    และน้ำตกในป่า ค่อยๆ สะสมจนมีปริมาณมากอย่างที่เห็น"
    ตอนแรกที่ลงเรือและเริ่มเคลื่อนตัวออกจากฝั่ง ปริมาณน้ำมากมายและภูเขาหินปูนสลับซับซ้อน
    คล้ายกับทัศนียภาพในอ่าวพังงา พาลให้เรานึกไปว่าน้ำในเขื่อนเป็นน้ำเค็ม
    ลืมไปซะสนิทว่า เขื่อนรัชประภาเป็นเขื่อนอเนกประสงค์ใช้ในการผลิตไฟฟ้าและประปา
    ตามที่เขียนไว้บนป้ายบริเวณสันเขื่อน ซึ่งแน่นอนว่าน้ำในเขื่อนย่อมเป็นน้ำจืด

    เรือยังคงเคลื่อนที่ต่อไป ลึกเข้าไปเรื่อยๆ ผ่านภูเขาหินปูนมากมาย
    บ้างก็มีขนาดใหญ่ยาวต่อเนื่องกันคล้ายคนนอน
    บ้างก็เป็นเขาแท่งสั้นๆ ทำให้นึกถึงเขาตะปูในอ่าวพังงา
    หรืออย่างภูเขารูปร่างประหลาดคล้ายกีบหมูชี้ฟ้าสี่ขา
    แต่ที่เด็ดสุดสำหรับเราก็คือ ยอดเขาที่คล้ายกับกำปั้นชูนิ้วโป้ง
    เหมือนกับในเรื่อง "หลุม" หนังสือเล่มโปรดเขียนโดยหลุยส์ ซาช่า
    ผิดกันที่ว่าภูเขาในเรื่องน่ะอยู่กลางทะเลทราย ตัวเอกในเรื่องเรียกมันว่า นิ้วโป้งของพระเจ้า

    แพที่พัก

    เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้... รู้แต่ว่าไม้กระดานแบนๆ ที่รองก้น กับช่องว่างแคบๆ สำหรับวางขา  
    เริ่มเรียกร้องความสนใจจากเจ้าของมันเป็นระยะๆ ..คงไม่ต่ำกว่าชั่วโมงที่เรานั่งอยู่ในที่แคบๆ บนเรือ
    วิวสองข้างทางที่มีแต่ภูเขา..ภูเขา และภูเขา
    จินตนาการรูปร่างต่างๆ ของภูเขาไม่ได้บรรเทาความเมื่อยล้าไปมากนัก
    เสียงไกด์บอกลูกทีมว่าใกล้ถึงที่พักแล้ว กระตุ้นหลายคนให้ตื่นตัว
    "แพโตนเตย" เรือนแพไม้ไผ่สีเหลืองซึดหลายหลังที่ซ่อนตัวอยู่ระหว่างเขาปรากฎอยู่ตรงหน้า
    แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น แต่เรือนแพสีเหลืองกลับเข้ากันได้ดีกับฉากหลังสีเขียวสดของธรรมชาติ
    "คืนนี้ห้ามหนีไปเที่ยวที่ไหนกันล่ะ หึหึ" เสียงไกด์แซว
    ก็นั่นสินะ จะให้หนีไปเที่ยวไหนได้ เพราะนอกจากเรือนแพไม้ไผ่ตรงหน้าแล้ว ก็มีเพียงป่าและน้ำล้อมรอบ
    ...ไม่มีสิ่งปลูกสร้างอื่นในบริเวณนั้นเลย
    นอกจากห้องน้ำแบบมาตรฐานที่สร้างอยู่บนภูเขาด้านหลังแพ
    ซึ่งต้องใช้เวลาราวนาทีกว่าๆ ในการปีนขึ้นไป เพราะบันไดค่อนข้างชันทีเดียว
    ถ้าอยากปลดทุกข์คงต้องรีบลุกกันหน่อยล่ะคราวนี้
    แต่มันก็เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เราเล่นน้ำหน้าแพได้อย่างสบายใจ

    แพที่พักของเราเป็นกระท่อมไม้ไผ่หลังเล็กๆ หลายหลังผูกติดกัน
    ภายในยกพื้นด้านหนึ่งขึ้นเป็นเตียงนอน
    ที่แจ๋วที่สุดก็คือพื้นที่เล็กๆ ด้านหน้ากระท่อมแต่ละหลังที่มีไว้นั่งเล่น
    แน่นอนว่าทันทีที่วางเป้ลง เราก็ไปนั่งแปะอยู่ตรงนั้น
    สูดลมหายใจลึกลึก เสพธรรมชาติรอบข้างอย่างเต็มที่ ไม่อยากขยับไปไหน
    เบื้องหน้าคือพื้นน้ำสงบนิ่งสีเขียว อากาศเคลื่อนที่เพียงเล็กน้อยจนแทบไม่รู้สึก
    เสียงแมลงเล็กๆ ผลัดกันร้องเป็นระยะๆ เหมือนไม่อยากให้ป่าเงียบจนเกินไป
    ภูเขาลูกใหญ่ทอดตัวอยู่เบื้องหน้า ว่ายน้ำไปเพียงไม่กี่นาทีก็คงถึง
    ริมตลิ่งอัดแน่นไปด้วยต้นไม้ คล้ายรั้วที่ส่งสัญญาณบอกว่า...เต็มแล้ว-ห้ามเข้า
    ...แปลกนะตลอดเวลาที่นั่งอยู่ตรงนั้น เรารู้สึกได้ถึงสายตา..ที่กำลังมองมายังผู้บุกรุกตรงนี้เช่นกัน

    พื้นน้ำสีเขียวมรกตตรงหน้าทำให้อดไม่ได้ที่จะหย่อนขาลงไป
    พอเอาขาจุ่มน้ำ ก็เออน้ำอุ่นแฮะ ตอนแรกคิดว่าน้ำจะเย็นซะอีก
    ไกด์อธิบายให้ฟังว่า น้ำในเขื่อนมีลักษณะเป็นน้ำขัง ทำให้น้ำอุ่น
    ถ้าเป็นน้ำตามน้ำตกหรือในถ้ำจะเป็นน้ำไหลซึ่งทำให้น้ำเย็น
    (แล้วเราก็ได้พิสูจน์คำบอกเล่าของไกด์ในวันที่ไปเที่ยวถ้ำน้ำทะลุกัน)  
    น้ำสะอาดใสแจ๋วมองเห็นขาอวบๆ ของตัวเองชัดเจน
    น้ำอุ่นสบาย..มีแรงดึงดูดให้อยากหย่อนตัวลงไปซะเหลือเกิน
    "คุณเจี๊ยบบบบบบบ" เสียงเรียกของไกด์ทำให้ได้แต่มองพื้นน้ำด้วยความเสียดาย

    จากคุณ : let by gone be by gone - [ 18 ส.ค. 49 16:55:25 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com