CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    ชีวิตเศร้าของนางผีเสื้อ (พระอภัยมณีฉบับเร่งรัด)

    พระอภัยมณีฉบับเร่งรัด

    เรียบเรียงโดย  ฑ.มณฑา

                          ชีวิตเศร้าของนางผีเสื้อ      

    ตอนที่ ๑ อันดนตรีมีคุณทุกอย่างไป                                                                      


         
                       วรรณคดีไทยเรื่อง พระอภัยมณี ของท่าน  สุนทรภู่  นั้น เป็นที่รู้จักกันอย่างดีในหมู่นักอ่านชาวไทยทั้งหลาย เป็นเวลาตั้งร้อยปีมาแล้ว

    แต่เป็นเรื่องที่ยืดยาวถึง ๑๓๒ ตอน โดยเฉพาะภาคต้นที่พิมพ์กันแพร่หลายมาแล้ว ๑๓ ครั้ง ก็มีอยู่ด้วยกัน ๖๔ ตอน ความยาวเกือบ ๑๓๐๐ หน้า  

    ตัวละครในเรื่องก็มีอยู่มากมายก่ายกอง เฉพาะตัวนางนั้น นอกจาก นางสุวรรณมาลี ซึ่งเป็นตัวเด่นที่สุดแล้ว ก็ยังมีอีก ๑๒ คน กับ ๒ ตนที่ไม่ใช่คน

    คือ นางผีเสื้อสมุทร และ นางเงือก หรือนางมัจฉาวิลาวัลย์  ซึ่งต่างก็เป็นมเหสีของพระอภัยมณีทั้งคู่ และเป็นผู้ให้กำเนิดตัวละครสำคัญอีก ๒ คน  คือ สินสมุท กับ สุดสาคร แต่   เรื่องราวจะเป็นมาอย่างไรนั้น จะได้ค้นคว้าและคัดลอกมาให้อ่านกันอย่างรวบรัด เป็นลำดับไป

                       นางผีเสื้อสมุทรนั้น เมื่อชาติก่อนก็เป็นนางยักษ์ขินี ได้พรจากพระอินทร์ สามารถถอดดวงใจฝากไว้ในก้อนหินกลางท้องมหาสมุทร ต่อมาขึ้นบกไปรบกับพระเพลิงที่เชิงภูเขา ด้วยเหตุขัดข้องหมองใจอย่างไรไม่ปรากฏ แต่สู้พระเพลิงไม่ได้ถูกไฟกรดเผาไหม้เป็นจุณหมดทั้งตัว เหลืออยู่แต่ดวงใจที่สิงสถิตย์ในก้อนหิน ที่ภูเขานั้น

                       ครั้นอยู่ในมหาสมุทรนานเข้า ได้ไอน้ำไอดินหินก้อนนั้นก็งอกใหญ่ออกไปทุกที เกิดเป็นหน้าตาแขนขาขึ้น เป็นอยู่อย่างนั้นนับหมื่นปี จึงได้กลายเป็นนางผีเสื้อ  รูปร่างใหญ่โตมโหฬาร ผุดขึ้นจากท้องมหาสมุทร

    พอโดนแสงอาทิตย์ก็ยิ่งมีฤทธิ์ เข้มแข็งมากขึ้น  สามารถปราบปีศาจทั้งหลายในท้องทะเล ให้เกรงกลัวยอมเป็นข้าจนหมดสิ้น ไม่มีผู้ใดเอาชนะได้ จึงเป็นใหญ่แต่ผู้เดียว ในมหาสมุทรอะโนมานติดต่อกับสีทันดรอันกว้างใหญ่ไพศาล ไม่มีที่สิ้นสุด

                       วันหนึ่งนางผีเสื้อยักษ์  ขึ้นมาเล่นน้ำทะเลในตอนเย็น ได้ยินเสียงปี่อันไพเราะจับใจ เกิดความเสน่หาอาวรณ์อ่อนอกใจไปตามเสียงเพลงนั้น จึงเคลื่อนตัวเข้าไปนอนฟังอยู่บนหาดทรายชายฝั่ง แล้วก็ชะเง้อมองหาต้นเสียง  

    จึงพบว่าผู้ที่เป่าปี่นั้นเป็นมานพหนุ่มน้อยรูปงามผู้หนึ่ง นั่งอยู่ที่ใต้ร่มไทรใบหนา  มีผู้ฟังนอนหลับใหลไม่เป็นสมประดีอยู่ใกล้ ๆ กับผู้บรรเลงเพลงปี่ที่แสนเสนาะนั้นอีกสี่คน นางยักษ์ก็คิดว่า

    ทั้งทรวดทรงองค์เอวก็อ้อนแอ้น
    เป็นหนุ่มแน่นน่าชมประสมสอง
    แม้นได้กันกับกูเป็นคู่ครอง      
    จะประคองกอดแอบไว้แนบเนื้อ
    น้อยหรือแก้มซ้ายขวาก็น่าจูบ  
    ช่างสมรูปนี่กระไรวิไลเหลือ
    ทั้งลมปากเป่าปี่ไม่มีเครือ          
    นางผีเสื้อตาดูทั้งหูฟัง ฯ

    นางผีเสื้อยิ่งฟังก็ยิ่งรัญจวนใจ คลั่งใคล้ใหลหลงถึงขนาดที่ว่า

     ยิ่งปั่นป่วนรวนเรเสน่ห์รัก      
    สุดจะหักวิญญาณ์เหมือนบ้าหลัง
    อุดตลุดผุดทะะลึ่งขึ้นตึงตัง      
    ด้วยกำลังโลดโผนโจนกระโจม
    ชุลมุนหมุนกลมดังลมพัด        
    กอดกระหวัดอุ้มองค์พระทรงโฉม
    กลับกระโดดลงน้ำเสียงต้ำโครม  
    กระทุ่มโถมถีบดำไปถ้ำทอง ฯ

                       หนุ่มน้อยที่ถูกนางผีเสื้อสมุทร ลักพาตัวไปนั้น  ก็คือ พระอภัยมณี โอรสของ ท้าวสุทัศน์ กษัตริย์แห่งเมืองรัตนา อายุเพียงสิบห้าปี มีน้องชายชื่อ ศรีสุวรรณ อายุได้สิบสามปี  

    พระบิดาส่งสองพี่น้องให้ไปเรียนวิชาหาความรู้  จากทิศาปาโมกข์  ที่บ้านจินตคามเป็นเวลาปีครึ่ง พระอภัยมณีก็สำเร็จวิชาดนตรีการเป่าปี่ชั้นสูง ได้รับปี่หนึ่งเลาเป็นรางวัล ซึ่งอาจารย์ได้รับรองความรู้ไว้ดังนี้

     ถ้าแม้นว่าข้าศึกมันโจมจับ      
    จะรบรับสาระพัดให้ขัดสน
    เอาปี่เป่าเล้าโลมน้ำใจคน      
    ด้วยเล่ห์กลโลกาห้าประการ
    คือรูปรสกลิ่นเสียงเคียงสัมผัส    
    เกิดกำหนัดลุ่มหลงในสงสาร
    ให้ใจอ่อนนอนหลับดังวายปราณ  
    จึงคิดอ่านเอาชัยเหมือนใจจง ฯ

                       ส่วนศรีสุวรรณน้องชายนั้น ก็จบหลักสูตรการรบด้วยกระบอง และได้รับกระบองทำด้วยเหล็กอย่างดีเป็นรางวัลเหมือนกัน

                       แต่เมื่อสองพี่น้องกลับไปถึงบ้านเมืองแล้ว  ก็ถูกพระบิดากริ้วโกรธ หาว่าเรียนวิชาที่ไม่เหมาะสมสำหรับพระราชโอรสของกษัตริย์ ที่จะสืบราชสมบัติต่อไปจึงขับล่ออกจากเมือง ทั้งสองจึงต้องออกเดินดงไปโดยไม่รู้จุดหมายเหนื่อยนักก็ลงนั่งหารือกัน

     อันตัวเราพี่น้องทั้งสองนี้      
    ไม่มีที่พึ่งใครในไพรสัณฑ์
    ทั้งโภชนาอาหารกันดารครัน    
    ยังนับวันก็แต่กายจะวายปราณ
    พระอนุชาว่าพี่นี้ขี้ขลาด        
    เป็นชายชาติช้างงาไม่กล้าหาญ
    แม้นชีวันยังไม่บรรลัยลาญ      
    ก็เซซานซอกซอนสัญจรไป
    เผื่อพานพบบ้านเมืองที่ไหนมั่ง    
    พอประทังกายาอยู่อาศัย
    มีความรู่อยู่กับตัวกลัวอะไร      
    ชีวิตไม่ปลดปลงคงได้ดี ฯ

                       แล้วต่างก็เปลี่ยนเครื่องทรงอย่างลูกกษัตริย์ ให้เหมือนกับชาวบ้านทั่วไป จนมาพบพราหมณ์สามคน อยู่บ้านอินทคามจึงคบกันเป็นเพื่อน  เพราะพราหมณ์ทั้งสามนั้นก็เพิ่งเรียนวิทยายุทธจบหลักสูตรมาใหม่เอี่ยมเหมือนกัน

    คนที่ชื่อ โมรา นั้นมีความสามารถเอาฟางมาผูกให้เป็นสำเภา แล่นได้ทั้งบนดินและในน้ำ

    คนที่ชื่อ สานน มีความรู้เรียกลมเรียกฝนได้ตามต้องการ

    คนที่ชื่อ วิเชียร เป็นผู้ขมังธนูชนิดพิเศษ ยิงได้ทีละเจ็ดลูก  

    ทั้งสามพราหมณ์ก็ชื่นชมกับศรีสุวรรณที่เรียนวิชาอาวุธ แต่สงสัยว่าพระอภัยมณีที่เรียนวิชาเป่าปี่นั้นจะมีประโยชน์อันใด

     พระฟังความพราหมณ์น้อยสนองถาม
    จึงเล่าความจะแจ้งแถลงไข
    อันดนตรีมีคุณทุกอย่างไป    
    ย่อมใช้ได้ดังจินดาค่าบุรินทร์
    ถึงมนุษย์ครุฑาเทวราช        
    จัตุบาทกลางป่าพนาสิณฑ์
    แม้ปี่เราเป่าไปให้ได้ยิน        
    ก็สุดสิ้นโทโสที่โกรธา
    ให้ใจอ่อนนอนหลับลืมสติ        
    อันลัทธิดนตรีดีหนักหนา
    ซึ่งสงสัยไม่สิ้นในวิญญา        
    จงนิทราเถิดจะเป่าให้เจ้าฟัง ฯ

                       ว่าแล้วก็สาธิตการเป่าให้ฟัง จนน้องชายและเพื่อนพราหมณ์ทั้งสามหลับครอกไปหมด แต่นางผีเสื้อสมุทรมีฤทธิ์มากไม่ยอมหลับ จึงได้เกิดเรื่องลักพาตัวกันขึ้นมาในคราวนี้

                       ครั้นนางผีเสื้อพาพระอภัยเข้ามาถึงถ้ำที่อยู่อาศัย  ซึ่งคงจะเป็นเกาะที่อยู่ห่างไกลจากฝั่งมาก นางก็วางพระอภัยลงบนแท่นศิลาในถ้ำ แล้วก็นั่งชมโฉมโสมนัสไปตามประสา ผู้ที่คลั่งไคล้ใหลหลงในตัวศิลปินรูปงามทั้งหลาย

    แต่ด้วยร่างกายอันใหญ่โตทั้งหน้าตาก็น่ากลัว แบบยักษ์ทั่วไปของนางผีเสื้อนั่นเอง จึงทำให้พระอภัยถึงกับลมจับ สลบสิ้นสติไป นางจึงต้องคิดการแก้ไข ให้พระอภัยมณีหายกลัวให้ได้

     จำจะแสร้งแปลงร่างเป็นนางมนุษย์
    ให้ผาดผุดทรวดทรงส่งสัณฐาน
    เห็นพระองค์ทรงโฉมประโลมลาน  
    จะเกี้ยวพานรักใคร่ดังใจจง          
    แล้วอ่านเวทเพศยักษ์ก็สูญหาย      
    สกนธ์กายดังกินนรนวลหง
    เอาธารามาชโลมพระโฉมยง      
    เข้าแอบองค์นวดฟั้นคั้นประคอง ฯ

    แม้เมื่อฟื้นคืนสติขึ้นมา ได้เห็นรูปร่างนางเนรมิตรที่สวยไปสิ้น ทั้งรูปทรงองค์เอว แต่พระอภัยก็รู้อยู่เต็มอก ว่านางนี้ที่แท้ก็เป็นยักษ์  จึงไม่ยอมเล่นบทพิศวาสด้วย  แม้นางผีเสื้อจะอ้อนวอนโอ้โลมปฏิโลม และอดทนต่อคำด่าว่าเสียดสีของพระอภัยสักเพียงใดก็ตาม

    แต่เมื่อนางยักษ์ทนดื้อด้านไปนานเข้า พระอภัยก็ชักจะใจอ่อนลง เพราะไม่มีหนทางที่จะหนีไปไหนได้ จำใจต้องทำดีไว้ก่อน
    จึงว่านางเป็นยักษ์กินคน  ต่อไปภายหน้าถ้าโกรธเคืองขึ้นมาก็กลัวว่าจะจับกินเสีย
    นางผีเสื้อก็สัญญาว่า จะไม่ทำอย่างนั้นเป็นอันขาด

     จนสุดสิ้นดินฟ้าสุธาทวีป        
    ไม่สิ้นชีพไม่เสื่อมสโมสร
    พอให้สัตย์เสร็จคำทำฉะอ้อน    
    ระทวยอ่อนเอนทับลงกับเพลา ฯ

                       พระอภัยเจอบทนี้เข้าก็ทำใจแข็งอยู่ไม่ไหว ต้องปล่อยเลยตามเลย ให้เหตุการณ์มันดำเนินไปตามเวรตามกรรม

     พระฟังคำจำจิตพิศวาส        
    ฝืนอารมณ์สมพาสทั้งโศกเศร้า
    การโลกีย์ดีชั่วย่อมมัวเมา      
    เหมือนอดข้าวกินมันกันเสบียง ฯ

    แล้วพระอภัยมณีก็ต้องอยู่กับนางผีเสื้อด้วยความจำใจเรื่อยมาอย่างชนิดที่เรียกว่าเต็มกลืน ทั้งนี้ก็เพราะ

     สมพาสยักษ์รักร่วมภิรมย์สม      
    เหมือนเด็ดดอกหญ้าดมพอได้กลิ่น
    เป็นวิสัยในภพธรณินทร์        
    ไม่สุดสิ้นสิ่งเสน่ห์ประเวณี ฯ

                       พระอภัยมณีได้อยู่กับนางผีเสื้อ เพราะไม่รู้จะหนีไปทางไหน จนกระทั่งเวลาได้ล่วงไปร่วมเก้าปี  นางผีเสื้อนั้นก็ได้ให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง  มีหน้าตาเหมือนพระอภัย มีดวงตาแดงดังแสงอาทิตย์ มีกำลังดังช้างพลาย มีเขี้ยวคล้ายกับมารดา

    พระบิตุรงค์ทรงศักดิ์ก็รักใคร่    
    ด้วยเนื้อไขมิได้คิดริษยา
    เฝ้าเลี้ยงลูกผูกเปลแล้วเห่ช้า    
    จนใหญ่กล้าอายุได้แปดปี
    จึงให้นามตามอย่างข้างมนุษย์    
    ชื่อ สินสมุท กุมารชาญชัยศรี
    ธำมรงค์ทรงมาค่าบุรี          
    พระภูมีถอดผูกให้ลูกยา ฯ

                       จากนั้นพระอภัยก็สั่งสอน ศิลปวิทยาการต่าง ๆ  รวมทั้งวิชาเป่าปี่ด้วย จนสินสมุทมีความรู้ความสามารถ  นอกเหนือไปจากความแข็งแรงอดทนผิดมนุษย์ ว่ายน้ำและดำน้ำได้อย่างปลาตามเผ่าพันธุ์ของมารดา

    แต่ทั้งสองพ่อลูกก็ต้องอยู่ภายในถ้ำเท่านั้น เพราะเมื่อถึงเวลาออกหากิน นางผีเสื้อก็จะเอาหินปิดปากถ้ำไว้ แล้วแปลงกายกลับเป็นยักษ์ จับสัตว์ในท้องทะเลกินเป็นอาหารจนอิ่มแล้ว ก็จะกลับมาแปลงเป็นนางมนุษย์ เที่ยวเก็บผลไม้ในป่าเอามาฝากลูกผัวเป็นประจำวัน

                       พระอภัยมณีกับสินสมุทก็เลยไม่ต้องเห็นเดือนเห็นตะวันมาร่วมสิบปี และคงจะต้องอยู่อย่างนี้ต่อไป อีกนานสักเท่าใดก็ไม่ทราบ.
                                                              ##########

    จากคุณ : เจียวต้าย - [ 22 ส.ค. 49 05:05:07 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com