เอดส์...ป้องกันได้ถ้าไม่ไปตรวจ ประโยคนี้เป็นประโยคที่ผมได้ยินบ่อยๆ
บ่อยครั้งที่เพื่อนฝูงในกลุ่มของผมมักจะแซวกันเรื่องไปตรวจเลือดมาหรือยัง
เราได้แต่ขำๆ แต่ในความขำ ตลกขบขัน แต่ละคนต่างก็เสียวสันหลังไปตามๆ กัน
แต่เชื่อไหมครับ มีคนอีกไม่น้อย ที่รู้สึกว่า เอดส์ ป้องกันได้ถ้าไม่ไปตรวจ
ซึ่งเมื่อครึ่งปีก่อน ผมก็ได้รู้ซึ้งด้วยตัวเองว่า เอดส์ป้องกันได้ถ้าไม่ไปตรวจจริงๆ (ด้วย)
ลองมาฟังเรื่องราวชีวิตของผมกันดูไหมครับ แล้วให้คุณๆ ตัดสิน ว่าชีวิตผม โชคร้าย หรือ โชคดี ?
.
.
.
ผมมีเพื่อนรักอยู่สองคน เป็นเพื่อนที่สนิทมากๆ เลยครับเขาชื่อ อ๊อฟ กับ โอ (นามสมมติ)
แหม...เก๋ไม๊เพื่อน ถ้ามาอ่านเจอรู้ไว้นะ ว่าแกมีนามสมมติแล้วนะ ดังระเบิดเลยนะเฟ้ย...
อ๊อฟกับโอ เป็นเพื่อนซี้ของผมตั้งแต่เรียนมัธยม พอเข้ามหาวิทยาลัยเราก็เข้าเรียนที่เดียวกัน
เราเที่ยวด้วยกัน เรากินด้วยกัน เรานอนด้วยกัน แต่เราไม่เคย ตุงกา ตุงก้า กันนะครับ (รู้นะคิดอะไรอยู่)
เมื่อวันเวลาผ่านไปจนกระทั่งเรียนจบ เราสามคนมีอันต้องแยกย้ายกันไปตามทางชีวิตของตัวเอง
อ๊อฟได้งานในบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งเหมือนๆ กับผม
ส่วนโอ จะต้องย้ายกลับต่างจังหวัดเพื่อดูและกิจการของที่บ้าน
ในวันที่โอบวช ผมจำได้ว่า ผมและอ๊อฟ ร้องไห้กันจนไม่รู้อันไหน น้ำมูก อันไหนน้ำตา
เรามีแฟนกันหมดแล้วทั้งสามคน แต่เราก็ยังแอบคุยกันบ่อยๆ ว่าแก่ตัวไปเราสามคนจะมาอยู่ด้วยกัน
จะดูแลกัน เพราะชีวิตแบบนี้ ท้ายที่สุดของชีวิตก็คงจะต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว
เราสามคนจึงกอดคอสัญญากัน ในวันส่งโอเข้าโบสถ์
.
.
.
.....................................................................................................
ผ่านไป 4 ปี หลังจากที่เราก้าวออกจากรั้วมหาวิทยาลัย ต่างคนต่างใช้ชีวิตในโลกของการทำงาน
จนกลางปี 48 อ๊อฟต้องเข้าผ่าตัดใหญ่ซึ่งต้องมีการตรวจเลือด ตรวจ HIV ด้วย
ก็อย่างว่าแหล่ะครับ ชีวิตเกย์ สิ่งที่เกย์กลัวมาก และระแวงมากที่สุดก็คือผลเลือด
อ๊อฟก็เหมือนกับเกย์คนอื่นๆ ที่มักจะกลัวในเรื่องนี้จึงโทรมาปรึกษาผมว่าจะทำยังไง
ถ้ามันมีเชื้อ HIV จะรังเกียจมันไหม จะคบมันเป็นเพื่อนต่อไปไหม
ผมได้แต่ขำในน้ำเสียงลุกลี้ลุกลนของมัน แต่ก็ปลอบมันไปแบบติดตลกว่า...
เอาเหอะ ไม่ว่าผลจะเป็นยังไง แกก็ไม่ต้องบอกชั้น ชั้นก็เป็นเพื่อนแกคนเดิม ยังรักแกเหมือนเดิม
ถ้าไม่สบายใจที่จะบอกผลชั้น ก็ลืมไปซะว่าแกเคยพูดเรื่องนี้กับชั้น
.
.
.
จากกลางปี 48 ล่วงเลยมาถึงเดือน พฤษภาคม 49 ราวครึ่งปี ที่ผมลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท
ถ้าอ๊อฟไม่โทรมาหาผมในวันนั้น...
คืนนั้นราวสี่ทุ่ม (จำไม่ได้เหมือนกันว่าคืนไหน) อ๊อฟโทรมาหาผม ร้องไห้พูดจาไม่รู้เรื่อง
ผมก็งัวเงีย จับใจความได้แค่ว่ามันทะเลาะกับแฟน ถึงขั้นเลิกกัน...
คนเรานะครับ เขาถึงว่าเวลาที่จิตใจกำลังอ่อนแอ ความทุกข์ในใจก็ถูกระเบิดออกมาหมด
คุยกันไป คุยกันมา อ๊อฟจึงพรั่งพรู เรื่องที่มันติดเชื้อ HIV มานานเกือบปี
ก็ตั้งแต่ตอนที่มันตรวจตอนผ่าตัดนั่นแหล่ะครับ ผมได้แต่นึกย้อนไปถึงช่วงเวลานั้น
แล้วนำเรื่องราวทั้งหมดมาปะติดปะต่อกัน
อารมณ์ของผมตอนนั้นหน้ามืดตาลายไปหมด โทรศัพท์แทบหลุดจากมือ (ประมาณนางเอกมิวสิควีดีโอ)
ได้แต่ถามย้ำมันไปว่าแน่ใจแล้วหรอ มันก็บอกว่าแน่ใจ ผมก็เลยบอกมันไปว่าเรื่องแฟนเอาไว้ก่อนเลย
เอาเรื่องนี้ก่อน สอบถามไปหมดว่า พ่อแม่รู้หรือยัง ดูแลตัวเองขนาดไหนแล้ว เพราะที่ผ่านๆ มายังเห็น
มันสูบบุหรี่กินเหล้า เคล้าบุรุษอยู่เลย
ที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้น คือ อ๊อฟเล่าว่า พอมันทราบว่าตัวเองติดเชื้อ HIV ก็เลยโทรบอกกับโอ และโอเอง
ก็ติดมาแล้วเหมือนกัน (สรุปมีตูไม่รู้เรื่องอยู่คนเดียวมาจะปี) โอติดจากแฟน อ๊อฟติดจากพฤติกรรมการ
ชอบเที่ยว
วันนั้นเป็นวันที่ผมร้องไห้ได้หนักที่สุดในรอบ 10 ปี ร้องปานจะขาดใจตาย คุยกับอ๊อฟไป ก็ร้องไห้กันไปอยู่จนสว่าง ได้แต่คิดว่าจะช่วยเพื่อนยังไง จะทำยังไงให้เพื่อนมีกำลังใจ เพราะสองคนไม่เคยดูแลรักษาสุขภาพของตัวเองเลย
และที่สำคัญ ตอนนั้นความเข้าใจของผมเกี่ยวกับเรื่อง HIV ยังมีน้อยมากเลยไม่รู้จะเป็นที่ปรึกษาให้เพื่อนได้อย่างไร
ใครหนอ.............. ช่างเคยพูดไว้ เอดส์ป้องกันได้...ถ้าไม่ไปตรวจ
หลังจากที่ทราบว่าเพื่อนรักทั้ง 2 คนติดเชื้อ HIV ตัวผมเองก็ไม่ได้นึกย้อนถึงตัวเอง
ไม่คิดว่าจะเป็นเรา ...
ภาพความหลังสมัยเราเป็นเพื่อนรักกัน ภาพวันเก่าๆ ทั้งงานรับปริญญาของพวกเรา
ทั้งกิจกรรมต่าง ๆ ตั้งแต่เรียนมัธยม มหาวิทยาลัยเข้ามาวนเวียนอยู่ในหัว...
จำคำสัญญาของพวกเราได้ไหมที่ว่าแก่ไปเราจะอยู่ด้วยกัน
เราคงไม่ได้อยู่ด้วยกัน 3 คนแล้นะ คงเหลือแต่แกที่มีโอกาสอยู่จนแก่
งานศพพวกชั้นแกต้องแต่งตัวมาหล่อๆ นะ อ๊อฟพูดไปหัวเราะไป แต่ผมฟังไปน้ำตาไหลไป...
ที่จริงตัวผมเองก็มีส่วนผิดเพราะก่อนหน้าที่ผมจะทราบเราเที่ยวกันหนักมาก
โอขึ้นมาพักที่คอนโดที่แม่มันซื้อไว้สมัยเรียน...
ยิ่งช่วงสงกรานต์เรา 3 คนทรมาณสังขารกันแสนสาหัส เมากัน 5 วัน 5 คืนติด
แถมเล่นน้ำกันจนแฉะไปถึงไหนๆ
ถ้าผมรู้ก่อนหน้านั้น คงไม่ชวนพวกมันไปเล่นน้ำมาราธอนกับผมหรอก
เดือนนั้นผมตัดสินใจปิดตายอพาร์ทเมนต์ตัวเอง เรา 3 คน ไปคลุกอยู่ที่ห้องเจ้าโอ
ผมอยากใช้เวลาอยู่กับพวกมันให้มากที่สุด เรา 3 คน กอดคอกันกินเหล้า
ที่ผับกลับสว่าง แต่อย่างว่าแหละครับ เหล้าไม่ทำให้ชีวิตใครดีขึ้นได้
ไม่มีใครหนีความจริงได้ตลอดไป พอสร่างเมา พอเราตื่นมาพบกับความจริง
เราสามคน ก็ยังคงกอดกันร้องไห้เหมือนเดิม
ตัวผมเองก็แย่มาก ไม่ได้ห้ามอะไรเพื่อนเลย เพราะเอากับเขาด้วย
ทั้งสูบบุหรี่ กินเหล้า เมาหัวทิ่มหัวตำ เอาทุกอย่าง
มันเป็นช่วงเวลาที่เราโหยหา เหมือนเรา 3 คนได้ย้อนเวลากลับไปในวันเก่าๆ
สมัยที่เรายังเด็กๆ ด้วยกันอีกครั้ง...
จำกันได้ไหมครับ ผมเคยบอกว่า โอมีแฟนอยู่ ตอนนี้แฟนโอเค้าเริ่มรับยาต้านไวรัสเอดส์แล้วนะครับ
(ยาต้านไวรัสเอดส์เป็นอย่างไร ผมจะอธิบายในบทต่อๆ ไปนะครับ)
โอเองก็ไม่เคยดูแลทำอะไรกับร่างกายเลย ผมเห็นว่าทรมาณสังขารกันมาเป็นเดือนแล้ว
ถึงเวลาที่เราสามคนควรจะแยกย้ายกันไป ตัวผมเองก็ควรจะยอมรับความจริง
และกลับมาเป็นกำลังใจให้กับเพื่อนทั้ง 2 คนได้แล้ว
เราสามคนจึงถึงเวลาแยกจากกันอีกครั้ง โอกลับไปดูแลกิจการของที่บ้าน
อ๊อฟกลับไปอยู่บ้านตั้งหน้าตั้งตาทำงาน ผมกลับมาอยู่ที่อพาร์ตเม้นท์ของตัวเอง
หลายๆ คนคงอยากถามว่าตอนนั้นไปใช้ชีวิต กิน อยู่ หลับ นอน กับผู้ติดเชื้อ ไม่กลัวบ้างเลยหรอ
ตอบตามตรง ... กลัวครับ
แต่ความกลัวมันมีน้อยกว่าความรักที่มีให้เพื่อน.... เค้าไม่ใช่แค่ผู้ติดเชื้อ แต่เค้าคือเพื่อนของผม
คุณเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรมกันหรือเปล่า... เค้าว่ากันว่า (เค้าไหนก็ไม่รู้นะครับ)
คนที่มีกรรมเหมือนกันมักจะดึงดูดกัน คนประเภทเดียวกัน มักดำเนินชีวิตไปในทางเดียวกัน
ผมเองมั่นใจเต็มร้อย ว่าไม่ทางที่ผมจะติดเชื้อ HIV แน่นอน
แต่อีกนั่นแหล่ะครับ มนุษย์ทุกคนมีกรรมเป็นของตนเองที่ติดตัวมา
ถ้าเราจับกลุ่มอยู่กับใคร ลองสังเกตดูนะครับ ...เราอาจสร้างกรรมเหมือนๆ กัน ใน อดีตชาติก็ได้
... เอดส์ เกิดจาก ...เสี่ยง เวรกรรม หรืออาจจะซวยก็ได้ครับ ไม่จำเป็นต้องมั่วเสมอไป
จากคุณ :
นายต้นปาล์ม
- [
24 ส.ค. 49 18:02:14
]