ภาพสถานที่เกิดเหตุยังแจ่มชัด โฉมหน้าเหยื่อผู้ถูกกระทำ และผู้ลงมือกระทำการรุมกินโต๊ะ ทุกอย่างราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงมานี้ ทั้งที่มันเกิดมาหลายปีแล้ว
ครั้นพอคิดขึ้นมาก็ยังฮามิรู้หาย...
ณ. สำนักวิปัสสนากรรมฐานแห่งหนึ่งในตัวเมืองจังหวัดสิงห์บุรี
ในชั่วโมงการเจริญสมาธิภาวนาที่อุณหภูมิจากเครื่องปรับอากาศชวนหลับมากกว่าชวนให้มีสติเจริญกุศล
ณ. มุมเล็ก ๆ มุมหนึ่ง ฝูงมดตัวน้อย ๆ พากันเดินขบวน มุ่งตรงสู่ใจกลางแหล่งโปรตีนอันโอชะ
กองคาราวานเคลื่อนตัวเงียบเชียบ ใช้สะพานเนื้อหนังมนุษย์ข้ามจากกำแพงเพื่อให้บรรลุสู่จุดมุ่งหมาย
พวกมันมุดผ่านวัสดุตาข่าย แล้วทยอยกันล้อมตัวเป็นวงกลม ปิดล้อมบริเวณที่แฉะ ๆ แห่งนั้น แล้วใช้ปากเล็ก ๆ รุมแทะดื่มกินน้ำเหลืองสด ๆ !
นายบุรินทร์ เพื่อนผม คือเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย
เขายังไม่รู้ตัวว่าแผลที่ได้จากการเล่นฟุตบอล ตรงบริเวณด้านในข้อเท้าของเขา กำลังกลายเป็นโรงทานขนาดมหึมาสำหรับเหล่ามดตัวน้อย ๆ เกือบครึ่งร้อยชีวิต
เขานั่งหลับตาสนิท ดูเผิน ๆ ไม่อาจเดาออกว่า เขากำลังบริกรรมพุทโธอยู่ หรือว่านั่งหลับกันแน่
ส่วนผม นายดำรงเฮฮา ภายนอกอยู่ในท่านั่งสมาธิ แต่ภายในนั้นเล่า กลับเคลิบเคลิ้มอยู่ในฝัน
นี่มันที่ใดในโลกกันหนอ ไฉนน้องพอลล่ากับผมจึงกลายร่างเป็นแมลงมีปีกไปได้ สองเราบินเคียงคู่ร่วมเสพรสหวานจากเกสรดอกไม้ต้นแล้วต้นเล่าอย่างไม่รู้อิ่ม
แล้วฝันผมก็พังพาบ เมื่อต้องตกใจตื่นด้วยเสียงคล้ายคนเป่าลมออกจากปาก
"ชูว์ ชูว์ ๆ ๆ ๆ !"
เสียงไม่ดัง แต่รัวถี่ เหมือนต้องการขจัดปัดเป่าเสนียด[^_^]บางประการที่แผ้วพานมาในชีวิตของคนเป่า
ผมลืมตาขึ้นมา มองไปทั่ว กลุ่มผู้ปฏิบัติธรรมนับ 100 ชีวิต ยังตั้งมั่นในสมาธิ และมีบ้างที่นั่งสัปหงก แต่ไม่มีใครลืมตามอง
สงสัยว่าจะไม่มีใครได้ยินเสียงเป่าลมนี้เหมือนผม
แหล่งกำเนิดเสียง ชูว์ ชูว์ นั้นก็คือนายบุรินทร์เพื่อนผมนั่นเอง เขาหยุดเป่าลมชั่วคราว ทำตาโตตื่นตระหนก แล้วพูดเท่ากระซิบกับผมว่า
"เฮ้ย ดำรง ดูสิ มดกินแผลกู"
ตรงบริเวณแผลสดด้านในข้อเท้าของเขา มีมดแดงอย่างน้อยก็ 50 ตัวกำลังรุมล้อมรอบปากแผลปริ่มน้ำเหลือง
ภาพที่ปรากฏนี้คล้ายจันทรคราสแบบมด ๆ ตรงกลางเหลือง ส่วนเส้นรอบวงด้านนอกออกสีแดง
แล้วเขาก็ชี้ต่อไปที่ผ้าพันแผลที่แกะออกมาตั้งแต่แรก เผยให้เห็นมดอีกนับ 10 ตัวที่ติดอยู่ในตาข่ายผ้าก๊อตนั่น
"โห ฆ่าไม่ได้ว่ะ เดี๋ยวล่วงศีลปาณาฯ" บุรินทร์งึมงำกับตัวเอง
"เออ งั้นก็เป่าต่อไป" ผมส่งเสียงตอบอย่างเบาที่สุด เพื่อไม่รบกวนคนอื่น พร้อมเข้าไปร่วมเป่ามดออกจากแผลของเพื่อน
ผมคลายอาการตกใจร่วมกับเขาไปตั้งนานแล้ว แต่เปลี่ยนมาเป็นการกลั้นหัวเราะไว้ด้วยขันติ คนอะไรวะโดนมดรุมกินโต๊ะ
แต่ดูเหมือนบุรินทร์จะไม่ขำด้วย เขาบอกว่า
"ดูพวกมันใช้หัวแม่โป้งตรีนของกูเป็นสะพานซะด้วย"
เขาชี้ให้เห็นร่องรอยของขบวนมด ซึ่งต้องผ่านจากกำแพงมาสู่แผลของเขาด้วยสะพานข้ามแม่น้ำเหลือง จะว่าไปแล้ว หัวแม่เท้าขวาของเขาดันชิดติดกับกำแพงเองนี่นา
ผมตัดสินใจแล้วว่าผมต้องรีบออกจากห้องปฏิบัติรวมในเดี๋ยวนั้น ด้วยรู้ตัวว่าไม่อาจกลั้นหัวเราะได้อีกแล้ว
ครั้นออกมา ก็นั่งหัวเราะกร๊ากเต็มที่คนเดียว คล้ายคนธาตุไฟแตกจากการนั่งสมาธิ สักพักนายบุรินทร์ก็ตามติดออกมา
บุรินทร์ควานหาผ้าปิดแผลอันใหม่ในกระเป๋ากางเกงของเขาเพื่อปิดแทนอันเก่าที่ยังมีมดเดินจงกรมอยู่ภายใน รอบนี้เขาปิดสก๊อตเทปอย่างแน่นหนา จนผมต้องทักเขาว่า
"แล้วมรึงปิดแผลเสียมิดจนไม่มีอากาศหายใจแบบนี้ เดี๋ยวมันก็ยิ่งเน่าหรอก กูว่า" ผมตั้งข้อสังเกตุ
"เกี่ยวหรือวะ" ดูเขาไม่ค่อยแน่ใจ "แต่เอาอย่างนี้ไปก่อน กันมดเข้าแผล"
แล้วผมกับเพื่อนก็ช่วยกันคิดมาตรการป้องกันการรุกล้ำของกองทัพมดว่า ในชั่วโมงที่ต้องนั่งปิดตา ก็จะต้องเพิ่มความปลอดภัยให้กับ Danger Area ด้วยสก็อตเทปปิดแผลแบบมิดชิด แล้วค่อยให้โอกาสแผลหายใจในช่วงเวลาอื่น ๆ ที่เจ้าของแผลลืมตา เช่นในช่วงเดินจงกรม สวดมนต์ ทำวัตร อะไรแบบนี้เป็นต้น
คิดได้ดังนี้ เราก็กลับเข้าไปนั่งสมาธิต่อเพื่อให้หมดชั่วโมง
ผมสังเกตุว่ารอบนี้นายบุรินทร์ไม่มีกะจิตกะใจนั่ง แม้ปิดแผลมิดชิดแล้ว เขาก็ยังลืมตาเป็นช่วง ๆ เฝ้าสังเกตุการณ์ด้วยท่าทีลุกลี้ลุกลน
ผมได้แต่นั่งหลับตาอมยิ้ม ภายในใจได้แต่นึกขบขันถึงเหตุการณ์ทั้งหมด นับแต่ม็อบมดเคลื่อนตัวผ่านสะพานหัวแม่ตีน แล้วทำการปิดล้อมบ่อน้ำเหลือง ตลอดจนเสียงลมไล่มดดัง ชูว์ ชูว์ นั่น
กว่าจะหมดชั่วโมง ผมไม่อาจบริกรรมคำภาวนาอันใดให้จิตสงบได้เลย นอกจากเจริญขันติภาวนา ข่มกลั้นเสียงหัวเราะไว้คล้ายใจแทบจะขาด
ในชีวิต เคยเห็นภาพฝูงภมรรุมล้อมดูดดื่มน้ำหวานจากดอกไม้มาก็มาก แต่ไม่เคยคิดว่าจะได้มาเห็นภาพมดล้อมวงกันกินน้ำเหลืองจากแผลของเพื่อน ไม่รู้แบบนี้เรียกว่า "เป็นบุญตา" ได้หรือเปล่าหนอ ?!
แก้ไขเมื่อ 28 ส.ค. 49 19:04:06